ตอนผมหนุ่มๆ ผมได้ไปวัดแห่งหนึ่งที่เขาเปิดโครงการปฏิบัติธรรม โดยให้ความคิดมาว่าใครได้เข้าร่วมโครงการนี้จะได้เห็นธรรมกายเร็วกว่า เพราะหลักสูตรการปฏิบัติธรรมของเขาจะใช้การนั่งสมาธิให้มาก เอาแบบวิกฤติชนิดเอาเป็นเอาตาย นั่งและเดินปฏิบัติธรรมกันวันละ 14-16 ชั่วโมง มีเวลาพักกินข้าวและนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยมีการให้ข้อมูลมาว่าปกติคนทั่วไปนั่งสมาธิกันวันละ 1 ชั่วโมง ใช้เวลา 3-5 ปี กว่าจะเห็นธรรมกาย ถ้าเราใช้เวลามากกว่านั้น 10-15 เท่าในแต่ละวันก็จะได้ธรรมกายเร็วขึ้น 10-15 เท่าเช่นเดียวกัน
ผมยังเป็นเด็กเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ เรายิ่งนั่งสมาธิมากและนานกว่าคนอื่นเราย่อมได้ธรรมะเร็วกว่าคนอื่น เหมือนการคิดเลขโดยการคูณ 2 คูณ 3 จะได้ผลลัพธ์ตามตัวเลขที่คูณออกมา……
เรื่องจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นครับ ในโครงการนั้นแท้จริงแล้วก็มีผู้ได้ธรรมกายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ผ่านไปแค่ 7-8 วันก็ป่วยกัน โดยเฉพาะอาการปวดหัวมึนตึ๊บแทบระเบิด เพราะเราไปเพ่งไปบังคับกดดันจิตและสมองมากเกินไป เหมือนเราขับรถที่ใช้รอบเครื่องยนต์สูงๆ นานเกินไปเครื่องยนต์มันย่อมทนไม่ไหว เครื่องพังครับ เวลาผ่านไปแค่ 10 วันคนที่เข้าอบรมหายไป 40-50%
เพราะแท้จริงแล้วการได้ธรรมะหรือสมาธิมันก็เหมือนกับการหุงข้าว มันต้องใช้เวลาในการหุงโดยให้ความร้อนไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เมื่อเวลาผ่านไป 30-40 นาทีข้าวมันจะสุกเองเพราะผ่านการให้ความร้อนมาอย่างพอเพียง ไม่ใช่นึกจะให้ข้าวสุกเร็วก็ใช้ไฟความร้อนสูงๆ นอกจากข้าวจะไหม้แล้วหม้อหุงข้าวก็จะพังไปด้วย
พระบางองค์ท่านจึงให้คำแนะนำในการปฏิบัติธรรมว่า การปฏิบัติธรรมก็ทำให้เหมือนกับการไปโรงเรียน เราต้องไปเรียนหนังสือทุกวัน อยากไปบ้างไม่อยากไปบ้างแต่เราก็ต้องไปโรงเรียน บางวันก็เรียนรู้เรื่องดีบางวันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เมื่อเรียนไปจนครบกำหนดเราก็จบออกมาได้ เรียนสำเร็จการศึกษาเป็นขั้นๆ ไปจนจบปริญญา
เราจะไปเอาอย่างผู้ที่เขาฝึกมานานจนใกล้สำเร็จอยู่แล้วไม่ได้ ท่านพวกนี้มีกำลังใจสูงมาก พอท่านเร่งโดยตั้งสัจจะว่าถ้าไม่ได้ธรรมะก็จะไม่ลุกไปไหน ท่านก็สามารถทำได้เพราะต้นทุนของท่านมีมากอยู่แล้ว คนธรรมดาอย่าริอ่านไปทำตามท่านเพราะนอกจากจะไม่ได้ธรรมะแล้วพาลจะเลิกปฏิบัติธรรมไปเลย
ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ผม (อู๋) นั่งสมาธิมากวันหนึ่งนั่งสมาธิ 6-7 รอบ รอบละประมาณ 1 ชั่วโมง ผมนั่งจนก้นเป็นฝีปีหนึ่ง 4-5 ครั้งทุกปีจนก้นมีลายดำเพราะแผลจากฝีเต็มไปหมดแล้ว นั่งจนฝีแตกแล้วแตกอีกก็ยังไม่ได้ธรรมกาย ช่วงปีนี้เลยแผ่วความขยันลงมาจิตกลับนิ่งขึ้น เห็นอะไรชัดขึ้น ผมเขียนเรื่องนี้มาเพื่อเล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่าการนั่งสมาธินั้นอย่าไปเร่งจนเครื่องพัง ค่อยๆ ทำไปตามกำลังแต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอเหมือนการหุงข้าว เพราะแท้จริงแล้วการนั่งสมาธิที่ถูกต้องและสมาธิของเราจะก้าวหน้าไปก็ด้วยการทำจิตให้สงบสบาย-นิ่งนุ่มเบาต่างหาก ไม่ใช่การไปบังคับกดดันจิต ส่วนคนที่นั่งสมาธิน้อยอยู่แล้วผมคงไม่มีคำแนะนำอะไรให้ครับ
เรื่องปลอบใจ…พระท่านบอกมาว่าบางครั้งการได้ธรรมะเร็วหรือช้ามันก็เหมือนกับประเภทของต้นไม้ ต้นไม้ที่ปลูกแล้วโตเร็วมันก็มักจะมีอายุสั้น ต้นไม่สูง เนื้อไม้ไม่แข็งแกร่ง แต่ต้นไม้ที่โตช้ามักจะเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนนับร้อยๆ ปี มีขนาดต้นสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปมาก เป็นที่อยู่อาศัยของนกกาและสัตว์ต่างๆ ต้นไม้เนื้อแข็งสามารถนำมาสร้างบ้านทำประโยชน์ได้ดีกว่าไม้เนื้ออ่อน เมื่อเทียบกันแล้วต้นไม้ยืนต้นย่อมสูงด้วยคุณค่าและราคามากกว่าต้นไม้เนื้ออ่อน….พวกเราเป็นต้นไม้ชนิดไหนครับ