หลวงปู่ทองทิพย์ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)

หลวงปู่ทองทิพย์ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
นี่คือรูปของพระอาจารย์ของหลวงปู่ทองทิพย์ “พระฤๅษีปไลยโกฎิ” แห่งภูเขาควายหรือคนแถบภาคอีสานจะเรียกท่านว่า “ปู่ฤๅษีผ้าลาย” หรือ “องค์ผ้าลาย” ซึ่งอยู่ที่ภูเขาควาย ประเทศลาว โดยท่านจะรับเฉพาะลูกศิษย์ที่เป็นเชื้อสายของพระโพธิสัตว์เท่านั้น อย่างเช่นครูบาคำน้อย วัดภูกำพร้าอายุ 300 ปี และปู่บุญเหลือผู้สร้างศาลาแก้วกู่ (เมืองนิพพาน) จ.หนองคาย ก็เป็นลูกศิษย์ของท่านปู่ฤๅษีผ้าลายนี้เช่นกัน
และที่ภูเขาควายนั้นยังเป็นที่ตั้งของ “ธรรมสภา” (ไม่ใช่เทวสภา) ซึ่งธรรมสภานี้จะอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่อันลึกลับ ใช้เป็นที่ประชุมของพระอภิญญาเพื่องานค้ำชูรักษาพระพุทธศาสนาจึงมีทั้งพระ ที่ยังมีชีวิตอยู่และพระที่ละสังขารไปแล้วอยู่มากมาย เชื่อกันว่าพระอภิญญาที่ละสังขารไปแล้วนั้นท่านก็ยังสามารถอธิษฐานร่างกาย ขึ้นมาใหม่ได้ โดยผู้ที่พบเห็นสามารถจับมือพูดคุยได้เหมือนคนธรรมดาทั่วไป จนไม่สามารถแยกออกได้ว่าท่านยังอยู่หรือสิ้นไปแล้ว
หลายท่านยังไม่ทราบว่า หลวงปู่ทองทิพย์นั้นท่านเป็นพระพี่พระน้องกับหลวงปู่เทพโลกอุดรมาหลายภพหลายชาติ ดังนั้นลูกศิษย์ที่อยู่อุปัฏฐากหลวงปู่ทองทิพย์ที่วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร จ.หนองคาย หลายท่านจึงได้มีโอกาสพบกับหลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งท่านมักจะแวะมาเยี่ยมเยียนพระน้องชายของท่านอยู่เสมอ ผมได้คุยกับพระท่านหนึ่งที่เคยอุปัฏฐากหลวงปู่ทองทิพย์สมัยที่ท่านนั้นยังเป็นเณร (สามเณรเจ็ดสี) ท่านเล่าว่าเคยได้มีโอกาสบีบนวดและจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ให้แก่หลวงปู่เทพโลกอุดร แต่ตอนนั้นไม่รู้เพราะเห็นแต่เป็นพระหนุ่มผอมๆ เข้ามาเยี่ยมหลวงปู่ แต่เมื่อท่านกลับไปแล้วหลวงปู่ทองทิพย์จึงบอกว่าพระที่เณรบีบนวดรับใช้อยู่นั้น แท้จริงแล้วก็คือหลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งเป็นพระอภิญญาที่หลายๆ คนต่างอยากได้มีโอกาสพบเจอสักครั้งในชีวิต
แม้แต่การที่หลวงปู่ทองทิพย์ได้มาอยู่ที่วัดป่าสีดาฯ นี้ ก็ด้วยเป็นความต้องการของหลวงปู่เทพโลกอุดรที่ต้องการให้หลวงปู่ทองทิพย์ ได้มาอยู่ประจำการเพื่อรักษาพระศาสนาในเขตอีสานเหนือนี้ โดยหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นผู้พาหลวงปู่ทองทิพย์เหาะมาจากภูเขาควายด้วยตัวของท่านเองทีเดียว เนื่องจากบริเวณวัดป่าสีดาฯ นี้เป็นสถานที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์จะต้องมาบำเพ็ญเพียรในชาติที่เป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งก็ผ่านมาแล้ว 4 พระองค์ ในอนาคตก็จะเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระศรีอาริย์ (สถานที่จริงจะอยู่ลึกลงไปเป็นชั้นๆ ตามกฎที่ว่าเมื่อหมดหนึ่งพุทธันดรแล้วแผ่นดินจะสูงขึ้น 1 โยชน์)
เคยสงสัยกันไหมครับว่าทำไมเหล่าลูกศิษย์ของหลวงปู่ทองทิพย์จึงเคารพรักท่านมาก สงสัยกันไหมครับว่าทำไมชื่อของท่านคือ “คำศรี รัตนโคตร” ทำไมตอนท่านบวชใหม่ๆ แล้วธรรมะของท่านไม่ก้าวหน้าจนท่านเปรยๆ ขึ้นว่าอยากจะสึก ในคืนนั้นก็เกิดมีตัวหนังสือปรากฏขึ้นบนฝ่ามือว่า “เป็นพระศรี (อาริย์) ห้ามสึก” ซึ่งก็คือท่านพระอินทร์มาเขียนสั่งข้อความนี้ไว้ ท่านจึงเปลี่ยนใจอยู่ในผ้าเหลืองต่อ ทำไมท่านจึงเป็นพระองค์เดียวที่มีผู้นำแหวนมาสวมที่นิ้วทั้ง 10 ของท่านได้ เคยดูรูปของพระศรีอาริย์ที่มีแหวนสวมทั้ง 10 นิ้วว่าเหมือนกันกับท่านไหม ทำไมหลวงตายี วัดดงตาก้อนทอง ผู้แสดงการยืดเหรียญบาทได้ (หนึ่งในลูกศิษย์ของหลวงปู่เทพโลกอุดร) จึงนำพวกลูกศิษย์ของท่านมากราบหลวงปู่ทองทิพย์แล้วบอกว่าพระองค์นี้คือ “พระศรีอาริย์”
สมัยนั้นทางการไม่พอใจที่หลวงปู่สวมแหวนและนาฬิกาข้อมือที่ลูกศิษย์นำมาถวาย (ฝากเสก) ทางการได้ส่งเจ้าหน้าที่มาเพื่อสืบสวนและจับสึกหลวงปู่ แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึงที่วัดหลวงปู่ก็บอกแก่ลูกศิษย์ว่าจะมีคนมาจับผิดท่าน พวกลูกศิษย์จึงพาท่านไปแอบไว้ในที่แห่งหนึ่ง แต่ก็เกิดเหตุการณ์แปลกมากที่พอเจ้าหน้าที่ท่านนั้นมาถึงวัดแล้ว ยังไม่ทันได้สอบถามอะไรจากหลวงปู่เลยปรากฏว่าเขาเกิดอาการท้องเสียอย่างแรง (ขี้แตก) ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเป็นนานสองนาน พอออกจากห้องน้ำก็ขอตัวกลับทันทีโดยไม่ได้ตามหาหลวงปู่ด้วยซ้ำ แล้วเรื่องก็เงียบไปเพราะไม่มีใครกล้ามาวัดอีกเลย 555
หลวงปู่ทองทิพย์เคยเล่าให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดฟังว่า ท่านต้องไปร่วมประชุมเพื่อดูแลรักษาประเทศชาติและพระพุทธศาสนา สถานที่จัดประชุมอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง (ท่านไม่ยอมบอกชื่อวัด) ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับวัดพระธาตุพนม ในที่ประชุมนั้นปรากฏว่ามีหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด หลวงพ่อสดวัดปากน้ำภาษีเจริญ และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี เข้าร่วมประชุมด้วย
ก่อนที่หลวงปู่ทองทิพย์จะละสังขารไม่นานนัก ท่านได้เปรยให้พวกลูกศิษย์ฟังว่า “คอยดูนะหากเราตายไป ฝนจะตก 7 วัน 7 คืนไม่หยุดเลย” เรื่องฝนตก 7 วัน 7 คืนนี้ผม (อู๋) ขอเป็นพยานว่าเป็นเรื่องจริง เพราะช่วงนั้นผมต้องเดินทางไปกับเพื่อนชื่อคุณประจักษ์โดยต้องขับรถจากกรุงเทพไปจังหวัดหนองคาย เพื่อไปร่วมงานศพของหลวงปู่ทองทิพย์ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของวันงาน การไปครั้งนั้นต้องขับรถฝ่าฝนที่ตกพรำๆ ไปตลอดทาง แม้เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพแล้วฝนก็ยังคงตกพรำๆ ตลอดวันตลอดคืน ฝนตกตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2544 ตรงตามที่หลวงปู่พูดไว้ไม่มีผิด เหมือนว่าเหล่าเทพเทวดาได้แสดงความอาลัยจากการจากไปของหลวงปู่ทองทิพย์ก็ไม่ปาน มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ครับ
เมื่อพระโพธิสัตว์ซึ่งจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 และองค์ที่ 10 ได้มาเจอกัน
ผม (อู๋) ในฐานะที่อยู่กับหลวงป๋าท่านมาร่วม 40 ปี ขอบอกเลยว่าพระที่หลวงป๋าท่านให้ความเคารพยกย่องและหาโอกาสไปกราบเยี่ยมเยียนบ่อยๆ นั้นมีเพียงไม่กี่องค์ ซึ่งก็คือหลวงปู่ทองทิพย์ แห่งวัดป่าสีดาฯ และหลวงปู่หงษ์ แห่งสุสานทุ่งมน จ.สุรินทร์เท่านั้น (ปัจจุบันก็เหลือแต่หลวงพ่อสุพจน์ วัดศรีทรงธรรม จ.นครสวรรค์)
มีเรื่องเล่ากันมาว่าในวันหนึ่งที่หลวงป๋า เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ได้ขึ้นไปกราบหลวงปู่ทองทิพย์เป็นครั้งแรก เมื่อเข้าไปถึงวัดก็ปรากฏว่าหลวงปู่ทองทิพย์ท่านนั่งรออยู่แล้ว พอหลวงป๋าท่านเข้าไปกราบหลวงปู่ทองทิพย์ก็พูดขึ้นให้ได้ยินทั่วกันว่า “อ้าว พระสุมังคละมาแล้วๆ” ท่านเอ่ยทักทายเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าอย่างนั้น ท่านพูดขึ้นมาเพื่อให้ลูกศิษย์ของท่านที่นั่งอยู่รอบๆ ทราบว่าพระผู้ที่มานี้ต่อไปจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 10 ที่มีพระนามว่า “พระสุมังคละพุทธเจ้า” นั่นเอง ทางด้านหลวงป๋าเองก็นับถือหลวงปู่ทองทิพย์มากโดยเมื่อมีเวลาว่างจากการสร้างวัด ท่านก็มักจะแวะมากราบและน้อมถวายพระธาตุกายสิทธิ์แก่หลวงปู่ทองทิพย์เสมอ ครั้งหนึ่งหลวงป๋าท่านเตรียมพระเหล็กไหลองค์หนึ่งใส่ไว้ในย่ามเพื่อเตรียมจะถวายแก่หลวงปู่ทองทิพย์ ส่วนพระเหล็กไหลอีกองค์หนึ่งที่สวยงามกว่านั้นท่านก็ใส่ไว้ในอังสะเพื่อพกติดตัว เมื่อไปถึงหลวงป๋าก็ล้วงเอาพระเหล็กไหลในย่ามเพื่อเตรียมถวาย แต่ปรากฏว่าหลวงปู่ทองทิพย์รีบชิงพูดขึ้นก่อนว่า “อ้าว แล้วองค์ที่อยู่ในอังสะไม่ถวายหรือ” หลวงป๋าท่านตกใจที่หลวงปู่ทองทิพย์รู้เรื่องที่ท่านซ่อนพระเอาไว้ ท่านจึงเอามือล้วงเข้าไปในอังสะเพื่อนำพระออกมาถวาย ส่วนหลวงปู่ทองทิพย์เมื่อรับพระแล้วก็หัวเราะชอบใจมาก (ชอบใจพระ และชอบใจที่รู้ทันหลวงป๋า) หลวงป๋าท่านเคยเล่าให้ผม (อู๋) ฟังพร้อมกับหัวเราะชอบใจเช่นกัน
หลวงปู่ทองทิพย์ท่านก็นับถือหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เรื่องนี้หลวงป๋าท่านเล่าให้ผมฟังเอง ครั้งที่หลวงป๋าแวะเวียนไปหาหลวงปู่ทองทิพย์ หลวงปู่ทองทิพย์ท่านก็บอกว่าฉันเองก็นับถือหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ หลวงป๋าก็แปลกใจว่าเอ๊ะไปมายังไงมานับถือกันได้ เพราะหลวงพ่อสดท่านก็สิ้นไปนานแล้วแถมยังอยู่ไกลกันสุดเขตแดนแบบนี้ หลวงปู่ทองทิพย์จึงเล่าสาเหตุให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อสดมาพาท่านไปกราบพระธาตุที่สำคัญแห่งหนึ่ง โดยการพาท่านเหาะไปเพราะสถานที่นั้นอยู่ไกลและลึกลับ หลวงพ่อสดเหาะ (แบบยืน) นำหน้าแล้วหลวงปู่ทองทิพย์ก็เหาะตามท่านไป ท่านเล่าว่าถ้าหลวงพ่อสดไม่พาไปแล้วไม่มีทางที่ท่านจะเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นได้แน่เพราะลึกลับและอันตรายมาก ท่านจึงยอมรับนับถือในอภิญญาของหลวงพ่อสด เรื่องนี้เข้าใจว่าแม้แต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดของท่านก็ไม่มีใครรู้ แต่ท่านเห็นว่าหลวงป๋าเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อสดท่านจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
หลวงปู่คำน้อยลูกศิษยอีกองค์หนึ่งของปู่ฤาษีปลัยโกฏิ (องค์ผ้าลาย)
ท่านครูบาคำน้อย วัดภูกำพร้า จ.มุกดาหาร ผมเคยไปกราบหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก พระอรหันต์แห่ง จ.สุพรรณบุรี ขณะที่สนทนาอยู่กับท่านในกุฏิก็เหลือบไปเห็นรูปของท่านครูบาคำน้อย ผมก็นึกแปลกใจจึงได้ถามหลวงปู่สังวาลย์ว่า “หลวงปู่ครับนี่มันรูปครูบาคำน้อยนี่ครับ ทำไม่มีรูปนี้ได้เพราะท่านอยู่ห่างกันไกลมากอยู่กันคนละภาคเลย” หลวงปู่สังวาลย์จึงบอกว่า “ฉันกับครูบาคำน้อยเป็นเพื่อนสหธรรมิกกัน ว่างๆ ครูบาท่านก็มักจะแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน รูปนี้ถ่ายที่นี่เองแหละ ท่านมาก็เลยขอถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก เธอรู้ไหมว่าครูบานั้นท่านอายุ 300 ปี มีฟันแท้ขึ้นมา 3 ชุดแล้ว นี่เป็นเรื่องจริงนะฉันยืนยันได้”
หลายคนคงไม่รู้ว่าทำไมท่านครูบาคำน้อยถึงมีอายุยืนยาวได้ขนาดนี้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าวันหนึ่งอาจารย์ของท่านคือองค์ผ้าลาย พาท่านเหาะเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง ที่ต้องเหาะเข้าถ้ำก็เพราะว่าบนพื้นถ้ำนั้นเต็มไปด้วยงู ไม่สามารถที่จะเดินฝ่าดงงูนั้นได้ ท่านเล่าว่าเมื่อเข้าไปในถ้ำได้แล้วอาจารย์ได้ไปเด็ด “หญ้าแห้วหมูทอง” (รูปร่างเหมือนต้นหญ้าแต่เป็นสีทอง) มาให้ท่านกิน แล้วอาจารย์ก็สั่งว่าให้ท่านอยู่จนครบ 300 ปี เพื่อสร้างวัดและศาสนวัตถุต่างๆ เพื่อสืบอายุพระศาสนา นี่เองเป็นสาเหตุให้ท่านต้องอยู่มาถึง 300 ปี จนฟันแท้ขึ้นมาแล้ว 3 ชุด ท่านได้สร้างวัดมามากมายสมกับที่อาจารย์ของท่านได้สั่งไว้ ท่านเคยบอกผมว่าท่านเบื่อที่จะมีอายุยืนยาวแบบนี้เพราะคนที่ท่านรักและญาติๆ ได้ตายจากท่านไปหมดแล้ว ท่านก็ยังอยู่ไม่ตายซักที ผิวหนังของท่านก็เหมือนเกล็ดงูย่นๆ (เหี่ยว) เมื่อถึงเวลาผิวท่านก็จะลอกคราบเหมือนงูลอกคราบเพื่อให้ผิวหนังใหม่เกิดขึ้นมาแทนผิวเดิม เป็นเรื่องประหลาดที่ไม่เหมือนใครเลย
ตอนที่ผมไปกราบครูบาคำน้อย ปรากฏว่าท่านจำวัด (กลางวัน) ในห้องก็เล็กๆ คนก็พลุกพล่าน แต่ท่านก็จำวัดได้อย่างสนิท ผมรออยู่ประมาณ 45 นาที ก็เริ่มทนไม่ไหวเพราะต้องรีบกลับยังต้องเดินทางอีกไกล จำเป็นก็เลยเข้าสมาธิกำหนดจิตบอกว่าท่านครูบาผมมาจากกรุงเทพ มามุกดาหารก็เพื่อมากราบทำบุญกับหลวงปู่เพื่อเป็นบุญบารมีติดตัว แต่ผมรอหลวงปู่ตั้งนานแล้วหลวงปู่ก็ยังไม่ตื่น ผมจำเป็นต้องเดินทางกลับแล้วขอให้หลวงปู่ตื่นขึ้นมารับปัจจัยทำบุญของผมด้วย ไม่ถึง 1 นาที หลวงปู่ครูบาท่านก็ลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า “เอา จะทำบุญหรือ” ผมก็บอกว่าครับพร้อมกับยื่นปัจจัยให้ท่าน เพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันก็ถวายปัจจัยพร้อมกับผม ท่านรับเสร็จก็ให้พรเลย พอท่านให้พรเสร็จ ท่านก็ล้มลงนอนหลับไปทันที ผมกับเพื่อนๆ ก็กราบลาท่านกลับเช่นกัน กราบท่านทั้งๆ ที่ท่านจำวัดไปแล้วนั้นแหละ (นอนปุ๊บหลับปั๊บเลย) คุณว่าท่านเก่งไหมล่ะ ขนาดหลับไปแล้วยังลุกขึ้นมารับปัจจัยผมได้
เรื่องนี้แปลกกว่า ก่อนที่หลวงปู่ทองทิพย์จะสิ้น ท่านอยากจะท่องเที่ยวไปในบางสถานที่เป็นครั้งสุดท้าย แต่ท่านบอกว่าท่านจะนั่งไปบนเรือหางยาว ลูกศิษย์จะพาท่านขึ้นรถกระบะไปท่านก็ไม่ยอม ท่านบอกว่าจะนั่งไปบนเรือหางยาวเท่านั้น และก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นมาเพราะปรากฏว่ามีเรือหางยาวลำหนึ่ง เจ้าของเป็นชาวลาว เขาเอาเรือจอดไว้ที่ฝั่งลาวเฉยๆ ปรากฏว่าเรือกลับวิ่งได้เองโดยไม่มีคนพาย เรือวิ่งข้ามจากฝั่งลาวมาฝั่งไทย เท่านั้นยังไม่พอเรือวิ่งไปได้ตามถนนจนมาหยุดอยู่ที่วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์ฯ
เจ้าของเรือก็วิ่งตามเรือมาจนมาถึงวัดด้วยความแปลกใจว่าทำไมเรือมันถึงวิ่งมาเองได้ เมื่อมาถึงวัดจึงทราบว่าหลวงปู่ทองทิพย์ต้องการใช้เรือเอาไปท่องเที่ยว เจ้าของเรือจึงยอมให้หลวงปู่เอาเรือไปใช้ (ไม่ยอมก็ต้องยอมเพราะเรือมันจะมาหาหลวงปู่) หลวงปู่จึงสั่งให้ลูกศิษย์ยกเรือขึ้นไปไว้บนหลังรถกระบะ แล้วท่านจึงนั่งบ้างนอนบ้างอยู่บนเรือ ลูกศิษย์ก็ขับรถพาหลวงปู่ไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ เป็นครั้งสุดท้าย นี่เป็นเรื่องเล่าที่พิศดารที่สุดเรื่องหนึ่งของหลวงปู่-พระอภิญญา-พระศรีอารย์ครับ
สำหรับพระเครื่องที่หลวงปู่ทองทิพย์ได้สร้างไว้ก็มีไม่มากนัก แต่รุ่นที่ผม (อู๋) สัมผัสได้ว่าโดดเด่นจริงๆ ก็คือรุ่น “จันทรคราส” ลักษณะพิมพ์เป็นพระปิดทวาร 2 หน้าภายในองค์พระมีโลหะเล็กๆ ฝังอยู่ด้วย บางคนเล่าว่าเหตุที่หลวงปู่ท่านเรียกพระรุ่นนี้ว่าจันทรคราสก็เพราะท่านได้ไปนำโลหะเม็ดเล็กๆ นี้มาจากดวงจันทร์นั่นเอง พระรุ่นนี้แม้แต่คนในวัดป่าสีดาฯ เองบางคนยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ เพราะเวลาที่หลวงปู่สร้างพระนั้นท่านก็ไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง ท่านสร้างพระขึ้นมาด้วยตัวของท่านเองโดยการหันหลังไม่ให้ใครเห็นวิธีทำพระของท่าน ใครมาถามว่าเป็นเนื้ออะไร สร้างอย่างไรท่านก็ไม่บอก แถมท่านยังแจกให้เฉพาะกับบางคนเท่านั้นไม่ได้แจกให้คนทั่วไป ผู้ที่ได้รับจึงมักจะเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดบางคนและลูกหลานของท่านเท่านั้น
ถ้าให้เซียนพระดูเขาก็อาจจะบอกว่าสร้างด้วยเนื้อตะกั่วผสมดีบุก แต่เมื่อผมได้เห็นและสัมผัสครั้งแรกก็บอกได้เลยว่าน่าจะสร้างเหล็กไหลช่อทิพย์เงินยวงมากกว่า และเหล็กไหลเงินยวงนี้ก็สามารถนำมาหลอมหล่อเป็นองค์พระได้ง่ายเพราะใช้เพียงไฟอ่อนๆ ก็สามารถหลอมเป็นองค์พระขึ้นมาได้ ส่วนการปลุกเสกนั้นก็ไม่ทราบว่าหลวงปู่ท่านจะให้ใครเสกบ้าง แต่ที่แน่ๆ ก็ไม่พ้นอาจารย์ของท่านคือหลวงปู่ฤาษีปลัยโกฏิ และก็ต้องมีหลวงปู่เทพโลกอุดรอีกท่านหนึ่ง พุทธคุณของพระรุ่นนี้จึงไม่ต้องสาธายายมาก…แรงสุดๆ แล้วครับ
(เพิ่มเติม) ในความเห็นของผม พระองค์ไหนคือพระศรีอาริย์นั้นดูไม่ยาก 1.พระองค์นั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับหลวงปู่เทพโลกอุดรอย่างใกล้ชิด เพราะหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านมีหน้าที่ดูแลรักษาพระศาสนาเพื่อส่งต่อพระศาสนาแก่พระศรีอาริย์ 2.พระองค์นั้นจะต้องมีคุณวิเศษเหนือผู้อื่น มีอาจารย์ผู้สอนท่านที่ไม่ใช่พระธรรมดาแต่เป็นสุดยอดของอาจารย์ของอาจารย์อีกที 3.พระองค์นั้นต้องมีเทวดา (พระอินทร์) รักษาอุปัฏฐาก อยากได้อะไรของนั้นก็จะมาหาเอง

แชร์เลย

Comments

comments

Share: