ญาณทรรศนะ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
หลายคนคิดว่าคนที่มีญาณทรรศนะจะต้องมีสมาธิที่สูงส่ง แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ญาณทรรศนะและสมาธิมันเป็นคนละอย่างกันแต่ก็เกี่ยวเนื่องกัน ผมเคยเห็นคนที่มีสมาธิแก่กล้าแต่เขาก็มีญาณทรรศนะรู้เห็นอะไรๆ ไม่มาก (ถามอะไรก็ตอบไม่ได้) แต่บางคนที่มีสมาธิแก่กล้าแล้วก็มีญาณทรรศนะด้วยแต่ก็หาได้น้อยคนมาก
ตัวผมเองก็ไม่ได้เก่งกล้าเรื่องสมาธิ แม้ว่าจะนั่งสมาธิมานานกว่า 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ผมโชคดีที่อยากรู้อะไรมันก็เกิดญาณรู้ขึ้นมาเองแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้ไปทุก เรื่อง อาจเพราะผมมีตัวช่วย เช่น เทพนิมิต อะไรที่เกี่ยวข้องกับผมทั้งดีทั้งร้ายผมมักจะรู้ได้ก่อน แต่ส่วนใหญ่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือรู้ไปก็สักแต่รู้เพราะอย่างไรมันก็จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว 555
วิธีสร้างบารมีให้เกิดญาณทรรศนะ ไม่เห็นมีใครสอนเลยแต่ผมก็รู้ขึ้นมาเองว่า ญาณทรรศนะที่ดีคือต้องทั้งรู้และทั้งเห็น คือรู้ว่ามันเป็นอะไรแล้วก็ต้องเห็นรูปร่างหน้าตาของมันด้วยเพื่อที่เราจะ ได้ “รู้จริง” เมื่อเรารู้ว่าเราอยากได้ญาณทรรศนะทั้งรู้และทั้งเห็น เราก็ต้องถวายของที่เกี่ยวกับการรู้และเห็น เช่น แสงไฟ ไฟฉาย โทรศัพท์ เครื่องเล่นวิดิโอ โทรทัศน์ วิทยุ ฯลฯ เครื่องมืออะไรที่จะทำให้เกิดการรู้เห็นผมก็ได้ถวายพระมาหมดแล้ว ต้องสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ
ผมเคยไปถ่ายรูปเพื่อดูแสงออร่าในงานวิทยาศาสตร์ทางจิตครั้งหนึ่ง ปกติผมก็ไม่ถ่ายหรอกเพราะเสียดายเงิน เงินของผมส่วนใหญ่ไม่ได้เอาไปเพื่อการเที่ยวเล่น เงินของผมต้องใช้ไปเพื่อการทำบุญสร้างบารมี แต่บังเอิญวันนั้นทางร้านเขาประกาศว่าเงินค่าถ่ายรูปแสงออร่าทั้งหมด เขาจะนำไปทำบุญถวายวัด ผมก็เลยได้โอกาสเพราะได้ทำบุญด้วยแล้วก็ได้ถ่ายรูปแสงออร่าเอาไว้ดูด้วย
การจะถ่ายรูปแสงออร่าเราจะต้องถอดสร้อยพระและเอาของขลังต่างๆ ออกให้หมดเพื่อไม่ให้สับสนว่าเป็นแสงจากคนหรือจากพระเครื่อง เมื่อถ่ายเสร็จอาจารย์ผู้คุมบูธและเป็นวิทยากรอธิบายเรื่องแสงออร่าด้วย เขาก็เดินนำรูปมาให้ผมแล้วทำหน้าตาตื่นเต้น เขาบอกว่าเขาถ่ายรูปแสงออร่ามากมายเพิ่งจะมาเจอแสงแบบที่ถ่ายให้ผมนี้แหละ เพราะแสงออร่าของผมไม่เหมือนใครคือเป็นแสงรัศมีสีม่วงอมชมพู หมายถึงความเป็นผู้มีญาณทรรศนะรู้เห็นสิ่งต่างๆ พร้อมกับมีจิตใจเมตตามหาศาลกระจายออกไปทั่ว แสงแบบนี้เขาก็เพิ่งเคยเห็นของจริง เดิมเห็นมีแต่ในตำราเท่านั้น
เขาเลยถามผมว่าผมเป็นผู้นั่งสมาธิจนเก่งแล้วใช่ไหม ผมก็ปฏิเสธไปว่ายังไม่เก่งแต่นั่งมานานแล้ว ที่จริงอาจารย์ท่านนี้เขาไม่ได้สังเกตุในรูปให้ดี เพราะในรูปจะเห็นเป็นคล้ายๆ รูปดาวเป็นแฉกสีขาวหรือรูปมงกุฏลอยอยู่เหนือศีรษะของผม เพราะสิ่งนี้ก็คือญาณทรรศนะของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ท่านส่งมาคุ้มครองผมจนทุกวันนี้ แต่มงกุฏรูปดาวนี้ก็ยังมีคนเคยเห็นเหมือนกันคือเจ้าน้องชายของผมที่ได้ ธรรมกายนั่นเอง เขาเคยแอบถอดกายมาดูผมที่บ้านแล้วเขาก็แปลกใจโทรกลับมาหาผมเพื่อบอกว่า “พี่อู๋ครับ แปลกมากเลยผมเห็นมีพระอรหันต์โบราณท่านอยู่บนหัวพี่อู๋เหนือขึ้นไปประมาณ 1-2 คืบด้วยครับ” ผมก็เลยหัวเราะตอบกลับไปว่า “พระที่คุณเห็นนั้นคือญาณของหลวงปู่เทพโลกอุดรครับ ท่านประทานมาให้ผมนานนับ 20 ปีแล้ว คนที่บอกผมคนแรกก็คืออาจารย์รังษีญาณครับ”
อีกท่านหนึ่งที่ทราบก็คือหลวงป๋า เพราะมีอยู่วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังตรวจของให้หลวงป๋าอยู่นั้น หลวงป๋าท่านก็พูดโพร่งทำนองตกใจขึ้นมาว่า “ไอ้อู๋นี่มันใช้ญาณของหลวงปู่ใหญ่นี่หว่า” ผมก็เลยยิ้มๆ ตอบกลับท่านไปว่า “หลวงป๋าทราบได้อย่างไร ก็ผมยังไม่เก่งนี่ครับ” คือแม้แต่หลวงป๋าผมก็ไม่เคยบอกท่าน ผมอยากให้ท่านรู้และพูดขึ้นมาเองเพื่อที่ว่าผมจะได้มั่นใจว่าเป็นของจริง หรือไม่ มาร่วมกันสร้างบุญบารมีทางญาณทรรศนะกันนะครับ…รู้ดีกว่าไม่รู้
หลายคนคิดว่าคนที่มีญาณทรรศนะจะต้องมีสมาธิที่สูงส่ง แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ญาณทรรศนะและสมาธิมันเป็นคนละอย่างกันแต่ก็เกี่ยวเนื่องกัน ผมเคยเห็นคนที่มีสมาธิแก่กล้าแต่เขาก็มีญาณทรรศนะรู้เห็นอะไรๆ ไม่มาก (ถามอะไรก็ตอบไม่ได้) แต่บางคนที่มีสมาธิแก่กล้าแล้วก็มีญาณทรรศนะด้วยแต่ก็หาได้น้อยคนมาก
ตัวผมเองก็ไม่ได้เก่งกล้าเรื่องสมาธิ แม้ว่าจะนั่งสมาธิมานานกว่า 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ผมโชคดีที่อยากรู้อะไรมันก็เกิดญาณรู้ขึ้นมาเองแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้ไปทุก เรื่อง อาจเพราะผมมีตัวช่วย เช่น เทพนิมิต อะไรที่เกี่ยวข้องกับผมทั้งดีทั้งร้ายผมมักจะรู้ได้ก่อน แต่ส่วนใหญ่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือรู้ไปก็สักแต่รู้เพราะอย่างไรมันก็จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว 555
วิธีสร้างบารมีให้เกิดญาณทรรศนะ ไม่เห็นมีใครสอนเลยแต่ผมก็รู้ขึ้นมาเองว่า ญาณทรรศนะที่ดีคือต้องทั้งรู้และทั้งเห็น คือรู้ว่ามันเป็นอะไรแล้วก็ต้องเห็นรูปร่างหน้าตาของมันด้วยเพื่อที่เราจะ ได้ “รู้จริง” เมื่อเรารู้ว่าเราอยากได้ญาณทรรศนะทั้งรู้และทั้งเห็น เราก็ต้องถวายของที่เกี่ยวกับการรู้และเห็น เช่น แสงไฟ ไฟฉาย โทรศัพท์ เครื่องเล่นวิดิโอ โทรทัศน์ วิทยุ ฯลฯ เครื่องมืออะไรที่จะทำให้เกิดการรู้เห็นผมก็ได้ถวายพระมาหมดแล้ว ต้องสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ
ผมเคยไปถ่ายรูปเพื่อดูแสงออร่าในงานวิทยาศาสตร์ทางจิตครั้งหนึ่ง ปกติผมก็ไม่ถ่ายหรอกเพราะเสียดายเงิน เงินของผมส่วนใหญ่ไม่ได้เอาไปเพื่อการเที่ยวเล่น เงินของผมต้องใช้ไปเพื่อการทำบุญสร้างบารมี แต่บังเอิญวันนั้นทางร้านเขาประกาศว่าเงินค่าถ่ายรูปแสงออร่าทั้งหมด เขาจะนำไปทำบุญถวายวัด ผมก็เลยได้โอกาสเพราะได้ทำบุญด้วยแล้วก็ได้ถ่ายรูปแสงออร่าเอาไว้ดูด้วย
การจะถ่ายรูปแสงออร่าเราจะต้องถอดสร้อยพระและเอาของขลังต่างๆ ออกให้หมดเพื่อไม่ให้สับสนว่าเป็นแสงจากคนหรือจากพระเครื่อง เมื่อถ่ายเสร็จอาจารย์ผู้คุมบูธและเป็นวิทยากรอธิบายเรื่องแสงออร่าด้วย เขาก็เดินนำรูปมาให้ผมแล้วทำหน้าตาตื่นเต้น เขาบอกว่าเขาถ่ายรูปแสงออร่ามากมายเพิ่งจะมาเจอแสงแบบที่ถ่ายให้ผมนี้แหละ เพราะแสงออร่าของผมไม่เหมือนใครคือเป็นแสงรัศมีสีม่วงอมชมพู หมายถึงความเป็นผู้มีญาณทรรศนะรู้เห็นสิ่งต่างๆ พร้อมกับมีจิตใจเมตตามหาศาลกระจายออกไปทั่ว แสงแบบนี้เขาก็เพิ่งเคยเห็นของจริง เดิมเห็นมีแต่ในตำราเท่านั้น
เขาเลยถามผมว่าผมเป็นผู้นั่งสมาธิจนเก่งแล้วใช่ไหม ผมก็ปฏิเสธไปว่ายังไม่เก่งแต่นั่งมานานแล้ว ที่จริงอาจารย์ท่านนี้เขาไม่ได้สังเกตุในรูปให้ดี เพราะในรูปจะเห็นเป็นคล้ายๆ รูปดาวเป็นแฉกสีขาวหรือรูปมงกุฏลอยอยู่เหนือศีรษะของผม เพราะสิ่งนี้ก็คือญาณทรรศนะของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ท่านส่งมาคุ้มครองผมจนทุกวันนี้ แต่มงกุฏรูปดาวนี้ก็ยังมีคนเคยเห็นเหมือนกันคือเจ้าน้องชายของผมที่ได้ ธรรมกายนั่นเอง เขาเคยแอบถอดกายมาดูผมที่บ้านแล้วเขาก็แปลกใจโทรกลับมาหาผมเพื่อบอกว่า “พี่อู๋ครับ แปลกมากเลยผมเห็นมีพระอรหันต์โบราณท่านอยู่บนหัวพี่อู๋เหนือขึ้นไปประมาณ 1-2 คืบด้วยครับ” ผมก็เลยหัวเราะตอบกลับไปว่า “พระที่คุณเห็นนั้นคือญาณของหลวงปู่เทพโลกอุดรครับ ท่านประทานมาให้ผมนานนับ 20 ปีแล้ว คนที่บอกผมคนแรกก็คืออาจารย์รังษีญาณครับ”
อีกท่านหนึ่งที่ทราบก็คือหลวงป๋า เพราะมีอยู่วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังตรวจของให้หลวงป๋าอยู่นั้น หลวงป๋าท่านก็พูดโพร่งทำนองตกใจขึ้นมาว่า “ไอ้อู๋นี่มันใช้ญาณของหลวงปู่ใหญ่นี่หว่า” ผมก็เลยยิ้มๆ ตอบกลับท่านไปว่า “หลวงป๋าทราบได้อย่างไร ก็ผมยังไม่เก่งนี่ครับ” คือแม้แต่หลวงป๋าผมก็ไม่เคยบอกท่าน ผมอยากให้ท่านรู้และพูดขึ้นมาเองเพื่อที่ว่าผมจะได้มั่นใจว่าเป็นของจริง หรือไม่ มาร่วมกันสร้างบุญบารมีทางญาณทรรศนะกันนะครับ…รู้ดีกว่าไม่รู้