หลวงปู่อิง โชติโญ สหธรรมิกผู้มีหลายสิ่งคล้ายคลึงหลวงปู่หมุน หลวงปู่หมุนกับหลวงปู่อิงนั้น นับว่าเป็นสหธรรมิกธรรมที่คุ้นเคยกันอย่างมาก อีกทั้งนิสัยอุปนิสัยของท่านสองยังมีหลายอย่างที่ใกล้เคียงกัน มีใจใฝ่รักในวิชาความรู้ เป็นผู้เข้มขลังในพลังด้านพุทธคุณ สันโดษ เป็นผู้ใฝ่ความก้าวหน้าทางกรรมฐาน มีทั้งเมตตาและอภิญญาเป็นเลิศ อายุยืนยาวนานกว่าร้อยปี และทั้งมีจริยวัตรอันงดงามไม่มีที่ติ จึงกล่าวได้ว่าท่านทั้งสองมีคุณธรรม จริยธรรมอันสูงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย หลวงปู่อิง ท่านเป็นเถราจารย์ที่เลื่องลือในแถบอีสาน เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีพลังจิตแก่กล้าอย่างไม่มีใครเสมอเหมือน แม้แต่ตอนกลางคืนเทวดายังลงมาฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่าน นอกจากนี้ท่านยังเป็นศิษย์ของ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าเป็นตำนานอันเกรียงไกรและเร้นลับ มาจวบจนถึงปัจจุบัน

ส่วนเหตุการณ์ที่ท่านได้พบกับหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นเมื่อสมัยที่ท่านเป็นฆราวาสเป็นชาวไร่ชาวนายากจน วันหนึ่งขณะที่ท่านรับจ้างหักข้าวโพดอยู่นั้น ได้พบพระธุดงค์รูปหนึ่งปักกลดอยู่ไม่ไกล พระธุดงค์เจอท่านก็ชักชวนให้ท่านบวช หลวงปู่อิงท่านเคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรบวชให้ท่านในป่า พอบอกว่าจะบวชก็มีจีวรลอยมาสวมใส่ให้เลย นอกจากนี้ ยังมีคนเคยเรียนถามท่าน ถึงเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่อิงท่านเมตตตาตอบว่า “เราไม่รู้หรอกว่าท่านจะมาตอนไหน บางครั้งท่านก็เป็นเณร บางครั้งท่านก็เป็นคนธรรมดา สุดแล้วแต่ท่านจะมาในรูปแบบใด” ซึ่งคำบอกเล่าเรื่องหลวงปู่ใหญ่ เทพโลกอุดรที่หลวงปู่อิงท่านกล่าวไว้นี้ นับว่าตรงกันกับครูบาอาจารย์หลายๆ ท่าน ที่เคยได้ฝึกปรือวิชากับคณะพระในดง และเคยมีประสบการณ์ได้พบกับ “หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร” มาแล้วทั้งสิ้น หลังจากที่ได้บวชกับหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรแล้ว หลวงปู่อิงท่านก็ได้ฝึกฝน ปฏิบัติธรรมกับ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” อยู่พักหนึ่ง ก็ได้ออกแสวงหาความวิเวกองค์เดียวในป่าเขาทั่วภาคเหนือและอิสาน จนพบกับแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรม ปรมาจารย์ของพระกรรมฐาน นั่นก็คือ “หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต” ที่ภุเขาควาย ประเทศลาว หลวงปู่อิงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ได้ศึกษาการปฏิบัติภาวนาอยู่พักหนึ่ง ซึ่งท่านก็นับถือ “หลวงปู่มั่น” ว่าเป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ที่นั่งในใจท่าน ตราบสิ้นลม เช่นเดียวกับ “หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล” ก็นับถือ “หลวงปู่มั่น” เป็นครูบาอาจารย์ เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ สิ่งที่เหมือนกันจากประวัติของท่านทั้งสองนั้น คือเรื่องของการถ่ายรูป หากใครที่ไม่ขออนุญาต ก็จะถ่ายไม่ติด มีปัญหา อุปสรรค ไม่สามารถที่จะได้ภาพถ่ายของท่านง่ายๆ ดังเรื่องที่เล่าไว้ในนิตยสารโลกทิพย์ ปีที่ 17 ฉบับที่ 359 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ในส่วนหนึ่งของเป็นประวัติของหลวงปู่อิง  ซึ่งใช้ชื่อเรื่องว่า “ถ่ายรูปไม่ติด” ความว่า “มีญาติโยมมากราบหลวงปู่ที่วัดหลวงปู่ที่สำนักสงฆ์โคกทมและได้ถ่ายรูปหลวงปู่ โดยไม่ได้รับอนุญาต กล้องเสียหายใช้การไม่ได้ เรื่องนี้สอบถามได้ที่พระอาจารย์ดุน เจ้าสำนักสงฆ์โคกทม ที่ถ้ำสุริยันจันทรา มีญาติโยมขอถ่ายรูปหลวงปู่กับพระรูปอื่นอีกหลายรูป ปรากฏว่าทุกองค์มีภาพติดในรูปแต่ไม่มีรูปหลวงปู่ สอบถามได้ที่หลวงตาแสวงเป็นพระรูปเดียวที่เฝ้าถ้ำสุริยันจันทรา อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี”  เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องยืนยันถึงบารมีและบุญญาธิการของท่าน ว่าหากท่านไม่อนุญาตแล้วไซร้ ก็ไม่มีใครที่จะได้รูปของท่านไปได้โดยง่ายเช่นเดียวกับ “หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล” ที่เมื่อมีคนอยากถ่ายภาพของท่าน ก็จะต้องขออนุญาตและได้รับคำอนุญาตจากท่านเสียก่อนเช่นเดียวกัน นอกจากนั้น ท่านยังมี “วาจาสิทธิ์” เช่นดียวกัน เป็นที่รู้กันในบรรดาลูกศิษย์ลูกหาว่า เมื่อท่านไม่อนุญาตก็ทำไม่ได้ และเมื่อท่านกล่าวอะไรก็จะเป็นไปตามนั้น รวมถึงเรื่องการได้รับพรจากท่าน ชีวิตก็จะรุ่งเรืองตามวาจาสิทธิ์ของท่านด้วย

นอกจากนั้น จวบจนเมื่อท่านละสังขาร ก็ยังเกิดความน่าอัศจรรย์ ในสังขารของท่านทั้งสอง “สังขารของหลวงปู่หมุนแข็งกลายเป็นหิน” ส่วนสังขารของหลวงปู่อิงในวันที่ระชุมเพลิงศพหลวงปู่ “ปรากฏหลวงปู่ไม่ไหม้ไฟ เพียงแต่ดำเป็นตอตะโก” ทั้งที่หลวงปู่อิง ท่านเป็นรุปร่างเล็กบาง แต่ครั้งนั้นต้องใช้ถ่าน ๓-๔ กระสอบ ร่างของหลวงปู่อิงก็ยังไม่สามารถสลายสังขารของหลวงปู่ได้ จนต้องมีการขอขมาต่อสังขารของท่าน ขอให้ไหม้ไฟไปตามธรรมชาติ จึงลุล่วงไปด้วยดี ครั้นงานบุญครบ ๑๐๐ วันของหลวงปู่อิง ทางศิษยานุศิษย์ก็ได้ทำการจัดสร้างวัตถุมงคล รูปหล่อหลวงปู่อิง “รุ่น100 วันหลวงปู่อิง” ซึ่งก็ได้นิมนต์หลวงปู่หมุนมาเป็นประธานในพิธี พอได้ฤกษ์ท่านก็มาที่ปะรำพิธี ท่านบอกพระอาจารย์มงคล ว่าจะเสกให้ ๑๕ นาที เมื่อท่านนั่งเข้าที่อันดับแรกเลยที่ท่านทำ คือ “ชักยันต์กลางอากาศ” อากัปกิริยาที่ท่านทำก็คือ กระดิกนิ้วชี้รัวเร็วๆ เหมือนกำลังจับวัตถุบางอย่างอยู่ในอากาศอันว่างเปล่า ท่านทำเช่นนี้ไปรอบทิศ และพูดออกมาว่า
“อยู่แดนนิพพานไหนก็ลงมา…ลูกหลานเขามาทำบุญกัน” สักพักเมื่อท่านหยุดนิ้วลงน้ำตาเทียนก็ชะงักหยุดไหลในกระทันหัน แล้วท่านก็บอกพวกเราว่า “เอ้า..ท่านมาแล้ว ทำไมไม่กราบกันซะ” พวกในงานก็ก้มลงกราบกันเป็นแถว ตามที่ท่านบอก ในที่นั้นแม้จะไม่เห็นร่างสังขารของหลวงปู่อิง แต่ทุกคนก็เชื่อมั่นในตาทิพย์ หูทิพย์ แห่งหลวงปู่หมุน อย่างไม่มีข้อกังขา

แล้วหลวงปู่หมุน ท่านก็นั่งพูดเหมือนนั่งสนทนากับหลวงปู่อิงว่า “ดีใจที่เห็นลูกหลานมาทำบุญ…จะร้องไห้ทำไม ผมเองก็ต้องตายคือกัน” หลังจากนั้นท่านก็ได้เสกวัตถุมงคลในงานแต่ที่แปลกพิศดาร คือ ท่านนั่งพูดไปเรื่อย ๆ เชิญองค์นั้นองค์นี้มาตลอด ที่พอจำได้ก็ “…พระกัสสปะขอเอาตีนจุ่มทำน้ำมนต์ด้วย…” “นิมนต์หลวงพ่อถ้ำวัวแดงด้วย…” “…หลวงปู่บุญถ้า บ่มาก็บ่ศักดิ์สิทธิ์..” (เหมือนหยอก ๆ กัน) แล้วก็เชิญฤาษีต่างๆ มาชุมนุมรวมกัน ณ ที่นั้น ตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้คือ ๑๕ นาที แล้วหลวงปู่ท่านก็หันมาถามท่านมงคลว่า ครบกำหนดเวลาหรือยัง อันที่จริงนั้นครบแล้ว แต่ท่านมงคลก็ปล่อยให้เกินเวลาออกไปอีก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงหรืออาจนานกว่านั้น พอท่านเสกเสร็จท่านลุกขึ้นยืนแล้วชี้ไปที่ข้าวตอกดอกไม้ที่โปรยในพิธี บอกว่า “ของศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้นทำไมไม่เก็บกันไว้” ทุกคนต่างทำตามที่ท่านบอก ข้าวตอกดอกไม้ที่เมื่อครู่เคยเกลื่อนอยู่กับพื้น ก็ถูกผู้เข้าร่วมพิธีในวันนั้นแย่งกันเก็บจนหายวับหมดจดไปในพริบตา จากเรื่องราวทั้งหมดนั้น จึงสรุปรวมความได้ว่า “หลวงปู่อิง” และ “หลวงปู่หมุน” ทั้งสองท่านต่างก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “เถราจารย์๕ แผ่นดิน” มีอายุยืนยาวมากกว่า ๑๐๐ ปีด้วยกันทั้งสองรูป หลวงปู่อิงละสังขารมีอายุกาล ๑๑๕ พรรษา ส่วนหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล มีอายุกาลได้ ๑๐๙ พรรษา ทั้งคู่เป็นเป็นผู้เลิศในอภิญญา อีกทั้งทรงไว้ซึ่งภูมิรู้ ภูมิธรรม และวาจาศิษย์ อันสิ่งเหล่านี้มีอยู่ก็แต่เฉพาะในภิกษุที่เหนือโลกแล้วเท่านั้น ข้อมูลจาก : หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล มหาเถระ๕แผ่นดิน  เรียบเรียงโดย : ทิพย์วารี (ทีมข่าวปัญญาญาณ  ทีนิวส์)


#ประวัติและอิทธิฤทธิ์หลวงปู่อิง_ศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร

ต่อไปนี้ คือ ประวัติ และ อิทธิปาฏิหาริย์ ของ หลวงปู่อิง แห่งสำนักปฏิบัติธรรมคงคำโคกทม ต.กันทรารมย์ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

“หลวงปู่อิง โชติโญ วัดโคกทม” ท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่หมุน แห่ง วัดบ้านจาน

ท่านนับเป็นพระเถราจารย์ที่มีอายุยาวนาน ๕ แผ่นดิน นับถึงพ.ศ. ๒๕๔๓ ท่านมีอายุถึง ๑๑๕ ปี

ชื่อเดิมท่าน คือ อิง กรรัมย์ เกิดเมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๔๒๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ บิดาชื่อ ฮอน มารดาชื่อ พิม กรรัมย์ ภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านตาไก้ ต.กระสัง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ไม่ได้รับการศึกษาใด ๆ ทั้งสิ้นในทางโลก มีพี่น้อง ๓ คน ท่านเป็นคนสุดท้อง บวชเมื่ออายุมากแล้ว คือ ๕๕ ปี

โดยที่เมื่อภรรยาท่านเสียชีวิตแล้ว ท่านได้ออกบวชที่บ้านหนองแคน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์

หลังจากบวชได้เพียงวันเดียว ท่านได้ออกเดินธุดง ครั้งแรกมุ่งตรงมาที่อำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา ณ บริเวณชายป่าที่ท่านเคยมารับจ้างทำไร่อ้อย ข้าวโพด สมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก ท่านเคยมากับพ่อแม่ ด้วยตอนนั้นครอบครัวนั้นยากจนขัดสนนักจึงต้องเดินทางร่อนเร่รับจ้างเขาไปทั่ว

ณ ที่นี้เอง ท่านได้พบหลวงปู่เทพโลกอุดร ได้ขอฝากตัวเป็น #ศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร ได้อยู่ศึกษาและปฎิบัติธรรมกรรมฐานกับหลวงปู่เทพโลกอุดรระยะหนึ่ง

หลังจากนั้นท่านก็ธุดงค์ไปเรื่อย ๆ ทั่วเมืองไทยโดยไม่แวะเข้าชุมชนใด ๆ ส่วนใหญ่จะธุดงค์อยู่ในป่าลึกเพียงลำพังเพียงรูปเดียว ท่านจะธุดงค์ในเขตป่าลึกในแถบทางภาคเหนือ และในเขต จ.เลย จ. เพชรบูรณ์ เขตเขาใหญ่ จ. นครราชสีมา และแถบเทือกเขาพนมดงรัก ในเขตอีสานใต้ ประเทศเขมร และ ลาว

ในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ท่านได้เดินทางออกจากป่าลึกเป็นครั้งแรก ได้มาโปรดญาติโยมในเขต อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ได้มีญาติห่าง ๆ ของท่านได้เข้ากราบนมัสการ สอบถามเรื่องราวต่าง ๆ จากท่าน ญาติของท่านเกิดศรัทธา อาราธนานิมนต์ท่านมาจำพรรษา ที่ สำนักสงฆ์บ้านโคกทม ต.กันทรารมย์ อ.กระสัง จ. บุรีรัมย์

ในปี ๒๕๓๖ มีศิษย์ได้ชมใบสุทธิท่าน พบว่า ท่านมีอายุถึง ๑๐๗ ปี

ต่อมาในปี ๒๕๓๘ หลวงปู่ได้ไปเยี่ยมญาติที่ จ.เพชรบูรณ์ ด้วยบุพกรรม ท่านจึงโดนคนร้ายลักย่ามของท่านไป ทำให้สิ่งของต่าง ๆ ที่เป็นของใช้ส่วนตัวในการเดินธุดงค์ รวมทั้งใบสุทธิ หายไปทั้งหมด

ต่อมาท่านได้เดินทางกลับมาที่ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ได้แจ้งความที่ท่านเจ้าคณะอำเภอกระสัง ได้รับคำบอกกล่าวจากท่านเจ้าคณะอำเภอว่า ไม่จำเป็นต้องทำใบสุทธิก็ได้ เนื่องจากชราภาพมากแล้ว

ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ ท่านได้มาอยู่จำพรรษาอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมบ้านโคกทม อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ โดยมีหลานชายของท่าน ชื่อ พระอาจารย์ดุน อนีโฆ เป็นเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์แห่งนี้

หลวงปู่ละสังขารเมื่อวันที่ ๑๑ มี.ค.๒๕๔๔ อายุ ๑๑๖ ปี ได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ เมื่อวันที่ ๑ เม.ย.๒๕๔๔

ตอนประชุมเพลิงศพหลวงปู่ ปรากฏว่าศพหลวงปู่ ไฟไม่สามารถเผาไหม้สรีรสังขารของท่านได้เลย เพียงแต่ดำเป็นตอตะโก คณะกรรมการจัดฌาปนกิจต้องจัดพิธีขอขมาต่อสังขารของท่าน ขอให้สังขารท่านไหม้ไฟไปตามธรรมชาติ

หลวงปู่อิง ท่านเก่งมากแต่ท่านถ่อมตน แม้หลวงปู่หมุนสหายธรรมของท่าน ก็ยังยอมรับว่าท่านเก่งจริง

ในยูทูปนี้ มีรายละเอียดเรื่องอิทธิฤทธิ์ของท่าน ที่ประจักษ์ต่อศิษย์ที่ติดตามท่านไปธุดงค์ด้วยกัน เช่น การย่นระยะทางจากป่าลึกมาบิณฑบาตที่ลาดพร้าวกรุงเทพฯได้เพียงชั่วพริบตาเดียว การสะเดาะกุญแจ ห้ามฟ้าฝน ด้วยวาจาสิทธิ์ จากการที่ศิษย์นั้นก็รักเคารพเทิดทูนท่านอยู่แล้ว ก็ยิ่งรักเคารพเทิดทูนเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยเท่า.. หากผิดพลาดพลั้งไป ขออภัยต่อลูกหลานหลวงปู่ใหญ่ทุกท่าน .. ขออนุโมทนาบุญต่อเจ้าของช่องยูทูปเป็นอย่างสูง นะจ๊ะ

https://www.youtube.com/watch?v=C2va8TROBVM

แชร์เลย

Comments

comments

Share: