หลวงปู่ต้นกัปป์ โดย รอบทิศ ไวยสุศรี
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นนิทานอ่านกันเพลินๆต้อนรับปีใหม่ไทยนะครับ ลองอ่านแล้วพิจารณากันเองตามอัธยาศัย
หลายวันมานี้พอหลับตาทีไร ผมมักจะเห็นภาพของภูเขาสูงลูกหนึ่ง มีหิมะปกคลุมอยู่เต็มยอดเขา พร้อมลมพัดแรงตลอดเวลา ผมเลยคิดว่าคงต้องมีอะไรบางอย่างกับภูเขาลูกนี้ คืนนี้พอมีเวลาว่าง ก็เลยเข้าที่นั่งสวดมนต์ภาวนาตามปกติ แล้วนึกถึงภาพภูเขาลูกนั้นไปด้วย
สักพักหนึ่งตัวผมก็สว่างกลายเป็นสีทอง และลุกออกจากร่างของผมที่นั่งอยู่ออกไป ผมเดินออกไปเรื่อยๆ การเดินนั้นเหมือนเดินช้าๆ แต่ฉากข้างทางกลับผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนวิ่งไปไกลหลายพันกิโลเมตร ผมเดินผ่านป่าหน้าตาแปลกๆไปเรื่อยๆจนถึงภูเขาลูกนั้น
เขาลูกนั้นดูเหมือนไม่มีถ้ำอะไรอยู่เลย แต่พอเดินเข้าไปใกล้ กลับพบปากถ้ำกว้างใหญ่โผล่มาจากตรงไหนก็ไม่รู้ เมื่อมองเข้าไปข้างในเห็นมีแสงสว่างสีขาวนวลสว่างไสวมาก ผมเลยเดินตามเข้าไป
เมื่อเข้าไปถึงก็พบกับสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก เป็นร่างของมนุษย์คนหนึ่ง ห่มจีวรสีน้ำตาลเก่าๆเหมือนพระภิกษุ แต่ที่บอกว่าอัศจรรย์มากก็คือ พระสงฆ์รูปนั้นมีความสูงจนหัวติดผนังถ้ำ ประมาณดูแล้วท่านน่าจะสูงไม่ต่ำกว่า 10 เมตร ท่านนั่นนิ่งไม่ไหวติง ร่างกายดูซูบผอมแต่ผิวกลับขาวสดใสเหมือนกับผิวเด็ก
ผมจึงก้มลงกราบท่าน 3 ครั้ง พอกราบเสร็จปรากฏว่า มีแสงสว่างจากกลางอกของท่าน ส่องลงมาตรงหน้าผม แล้วแสงนั้นก็ค่อยๆกลายภาพเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งขนาดตัวสูงปกติเหมือนมนุษย์ทั่วไป ผิวขาว ผมขาว ตาโต ปากแดง แก้มมีเลือดฝาด แล้วท่านก็คุยกับผมว่า
พระ – มาแล้วเหรอ
ผม – ท่านเป็นใครครับ ทำไมจึงตัวสูงใหญ่ขนาดนี้
พระ – เราอยู่มานานแล้ว อยู่มาตั้งแต่ต้นกัปป์
ผม – หมายถึงกัปป์นี้ที่มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์นี่เหรอครับ
พระ – ใช่ เราอยู่มาตั้งแต่สมัยพระเจ้ากกุสันโธ บรมพุทธเจ้า
ผม – โอ้ นั่นมันนานมากเลยนะครับ ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆๆๆปี
ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
อย่างมากก็เคยได้ยินแต่คณะหลวงปู่โลกอุดรที่อยู่มาตั้งแต่ต้นสมัยพุทธกาลองค์ปัจจุบัน
พระ – พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสไว้เหมือนกันทุกพระองค์ ผู้ใดเจริญซึ่งอิทธิบาทภาวนา หากจะอยู่จนหมดกัปป์ก็สามารถอยู่ได้
ผม – อันนั้นผมก็เคยได้ยินครับ แต่ไม่คิดว่าจะมีพระที่อยู่ข้ามยุคพระพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ได้แบบนี้ด้วย
พระ – ทำไมจะไม่ได้ละ โลกนี้นับแต่พระเจ้ากกุสันโธ ถึงพระโคดม
มันก็ยังไม่สลายจนไปถึงยุคพระศรีอาริย์
อีกหลายล้านปีข้างหน้ามันก็ยังไม่สลาย เราก็อยู่ได้สิ
จะอยู่ดูให้ครบทั้ง5พระองค์นี้ละ
ผม-แล้วทำไมท่านต้องทรงอายุอนู่นานขนาดนี้ครับ
พระ – ก็จะอยู่ดูไง จะอยู่ดูสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ครบทั้ง 5 พระองค์ ตามที่เสด็จพ่อกกุสันโธได้ทำนายไว้
ผม – โอ้ ถ้าจะอยู่ดูเฉยๆ ขึ้นไปรอดูบนพระนิพพานก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องลำบากทรงขันธ์ไว้นานขนาดนี้
พระ – มันก็ใช่ แต่คำว่าดูนี้ เราไม่ได้แค่จะดูพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์
เราดูแลด้วย ช่วยดูแลจนพุทธทำนายเกิดขึ้นครบถ้วน สำเร็จซึ่งพระพุทธเจ้า 5
พระองค์ในภัทรกัปป์นี้
ผม – ทำไมต้องดูแลละครับ มันเป็นงานที่น่าจะยาวนานและลำบากมาก ยู๋นานขนาดนี้
พระ – มันเป็นงานนะ งานเก่าที่ตกค้างของเรา สมัยก่อนเราเคยปรารถนาพุทธภูมิ
ทำมาซะเยอะเลย แต่ก็มาลาในสมัยเสด็จพ่อกกุสันโธนี้
งานพุทธภูมิมันเลยค้างอยู่ ก็ต้องทำงานสุดท้ายต่อให้เสร็จ
คืองานช่วยดูแลพระศาสนาจนครบภัทรกัปป์
ผม – แสดงว่าท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว เพราะลาพุทธภูมิแล้ว
พระ – เราไม่เกิดอีกแล้ว งานนี้คืองานในชาติสุดท้ายของเรา
ผม – งานหนักแบบนี้ ทำไมไม่ให้พุทธภูมิท่านอื่นทำละครับ พระอรหันต์น่าจะดับทุกข์ไปนิพพานสบายแล้ว
พระ – ไม่ได้หรอก พุทธภูมิเขาต้องมีรูปลักษณ์มาก เขาต้องเกิดมาก
เพื่อกระจายรูปลักษณ์ทุกๆชาติของตัวเองในการสร้างบารมี
แต่ของเรามันเป็นงานที่ต้องใช้รูปลักษณ์เดียว เอาทีเดียวยาวๆให้เสร็จ
ผม – ทำไมไม่ต่องานกันละครับ เกิดใหม่ ก็หาคนมาช่วยทำงานนนี้ต่อ ทำไมต้องอยู่ยาวๆทีเดียว
พระ – มันลำบากนะ ถ้าลงมาเกิดใหม่ เกิดมามันก็ยังทำอะไรไม่ได้ใช่ไหม
โตมาแล้วก็ยังมาหลงโลกนู้นนี่นั่นอีก กว่าจะนึกออกว่าต้องมาทำอะไร
มันไม่ต่อเนื่อง มันไม่ทันการณ์ มันจึงต้องมีคนทำหน้าที่อยู่ยาวๆ
เพื่อเป็นแกนหลักเอาไว้ ใครมาเกิด มาช่วยงาน
ก็ค่อยตามไปเรียกไปเตือนเขาให้มาทำงานต่อ มันต้องมีแกนเอาไว้
ผม – อ้อ
แบบนี้แสดงว่า ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่โลกอุดรที่อายุยืนมากๆ
ส่วนใหญ่ก็ทำงานแบบนี้ใช่ไหมครับ
เพราะท่านต้องอยู่ยาวๆเพื่อช่วยดูแลพระศาสนาให้ครบตามพุทธทำนาย
พอมีโพธิสัตว์ลงมาเกิด ก็คอยไปเตือนให้ไม่หลงโลก ให้สร้างบารมีต่อ
พระ – ใช่ อย่างนั้นละ เราทำงานกันแบบนั้น มีทำกันมาตั้งแต่พระเจ้ากกุสันโธ
โกนาคม กัสสปะ โคดม ก็มีคนทำงานนนี้มีทุกยุค มาช่วยๆกัน
ส่วนใหญ่ก็พวกพุทธภูมิเก่าทั้งนั้นมันถึงมีกำลังมาก มีภาระมาก
พอลาแล้วก็ต้องทำงานส่งท้าย ช่วยขนคนที่อธิษฐานตามตัวเองมา ให้พ้นทุกข์
ให้ได้พบพระพุทธศาสนา ใหได้พบพระพุทธองค์ ที่จะได้ไปปฏิบัติธรรมต่อไป
ผม – แล้วสมัยพระเจ้ากกุสันโธ มีแบบท่านหลายองค์ไหมครับ
พระ – มีสิ มีหลายท่านเลย ทุกยุคก็มีมาหลายท่าน มาช่วยๆกันคนละไม้ละมือ
ผม – แล้วทำไมท่านถึงตัวใหญ่ขนาดนี้ครับ
พระ – ก็เราอยู่มาตั้งแต่ต้นกัปป์ คนต้นกัปป์ตัวใหญ่กว่าคนปัจจุบันมาก
ก็เท่าที่เจ้าเห็นนี่ละ แล้วก็ค่อยๆลดขนาดลงจนเท่าปัจจุบัน
เดี๋ยวยุคพระศรีฯท่าน ก็จะกลับตัวโตขึ้นอีก
ผม – แล้วท่านก็นั่งอยู๋ในเขาอย่างนี้เลยเหรอครับ แล้วท่านจะออกไปทำงานยังไง ตัวใหญ่ขนาดนี้ คนคงตกใจถ้าเห็น นุึกว่ายักษ์
พระ – เราก็อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ต้นกัปป์ละ
นั่งเข้าสมาบัติภาวนานิ่งอยู่อย่างนี้
จนหินมันงอกมาทับเราจนเป็นภูเขาลูกนี้ ทั้งลูกนี้คือตัวเราทั้งหมดนี่ละ
แต่เวลาเราออกไปทำงาน เราไม่ได้เอาร่างนี้ไป มันเอาไปไม่ได้
คนเขาจะไม่เข้าใจ และมันสิ้นเปลืองพลังงานมาก เราเอาไปแค่จิต
เหมือนที่เราคุยกับเธออยู่นี้ เธอก็เห็นเราตัวเท่าเธอนี่เอง จิตมันเข้มข้น
มันมีกำลังนะ จะแยกไปให้ใครเห็นยังไงก็ได้ทั้งนัน เราไปแค่จิตนี่ละ
แต่ร่างอยู่ที่นี่ นั่งเข้าสมาบัติตั้งกำลังอยู่ที่นี่
ผม – แล้วอย่างนี้จะไม่มีคนเผลอบังเอิญเดินป่าเข้ามาเจอท่านบ้างเหรอครับ
พระ – ไม่ได้หรอก นี่ไม่ใช่ที่ที่คนทั่วไปจะมองเห็น จะเข้ามาได้
มันซ้อนมิติไว้ อย่างเธอนี่ ถ้าเราไม่เรียกมา เธอก็มาไม่ได้
ไม่มีใครเห็นหรอก นึกว่าภูเขาธรรมดา
ผม –
แล้วแบบนี้เวลาช่วงว่างพระศาสนา หลวงพ่อทำยังไงครับ
คงไปโผล่ให้ใครเห็นไม่ได้ เพราะน่าจะผิดต่อพระพุทธเจ้าที่ยังไม่มาตรัสรู้
ถ้ามีพระอรหันต์ไปปรากฏทั้งที่ยังไม่มีพระพุทธเจ้า
พระ – เอ้อ
เธอนี่ฉลาดถาม ถูกแล้ว เราไปปรากฏตัวพร่ำเพรื่อไม่ได้ ต้องดูความเหมาะสม
ในช่วงพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไปยังไม่มาตรัสรู้ เราก็ไปแบบนี้ไม่ได้
มันจะขัดกับท่าน แต่เราก็ไปแบบอื่นได้ไง ไปในร่างฤาษีบ้าง พ่อค้าบ้าง
ขอทานบ้าง ไปได้หมดละ แล้วแต่จะนึกไป
ก็มีไปบ้างเพื่อสงเคราะห์คนที่เคยเกี่ยวข้องกับเรา
บางทีก็ไปสอนศีลธรรมทั่วไปให้เขาไว้เป็นพื้นฐาน
แต่ถ้าพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้แล้ว เราไปในร่างพระสงฆ์นี้เลย
พระองค์จะทราบเลยว่าเราเป็นใคร ทำงานอะไร ท่านจะทราบ
เราก็เข้าไปกราบในหมู่สงฆ์นั่นละ แต่ยากที่สงฆ์ทั่วไปจะรู้ว่าเราเป็นใคร
แต่เราปิดพระพุทธเจ้าไม่ได้หรอก
ผม – แล้วท่านทำยังไงถึงทรงอายุได้อยู่นานเท่านี้ครับ นี่มันหลายล้านๆๆๆๆปีมากๆนะครับ
พระ – ก็จะไปยากอะไร จิตมันเป็นต้นกำเนิดของธาตุ เพราะมีจิตมาปฏิสนธิ
ธาตุร่างกายถึงเกิด ถ้าเราคุมจิตได้ เราก็คุมกายได้ เราก็ทรงสมาบัติเอาไว้
ธาตุมันไม่เผาผลาญนะ จิตมันอธิษฐานเอาไว้ มันมีกำลัง ก็แค่นึกให้มันอยู่
มันก็อยู่ แต่มันเป็นงานเฉพาะนะ ไม่ใช่ทุกคนทำได้
พระอรหันต์ถ้าท่านไม่มีงาน ท่านไม่อยากอยู่หรอก ท่านเข้านิพพานไปนานแล้ว
สบายจะตาย นี่เรามีงาน และอธิษฐานกำลังมาแต่เก่า พุทธภูมิเก่า มันถึงทำได้
เธอไปถามเถอะ หลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่โลกอุดร อะไรที่เธอเรียกๆกันน่ะ
พุทธภูมิเก่าทั้งนั้น เรามาทำงานกันยาวๆในชาติสุดท้ายนี้
ผม – แล้วงานยาวนานยากลำบากขนาดนี้ ทำไมไม่สร้างบารมีต่อเป็นพระพุทธเจ้าไปเลยละครับ ท่านทำได้ขนาดนี้ น่าจะบารมีใกล้เต็มแล้ว
พระ – ไอ้ที่เธอเห็นเราอยู่ยาวนานเป็นล้านๆๆปี เป็นกัปป์นี้
มันไม่ยาวหรอกนะ
ถ้าเทียบกับพุทธภูมิอย่างพวกเธอที่ต้องบำเพ็ญเพียรกันนับชาติไม่ถ้วน
ไม่รู้กี่อสงไขย กว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ มันยาวนานเหลือเกินนะ
เราเลยขอลาเอาแค่นี้ แค่นี้สบายกว่ามาก ไม่ได้ลำบากอะไร
ทุกข์ใดๆเราก็ไม่มีแล้ว การอยู่นานๆนี้ ก็แค่ทรงสมาบัติไว้ตามที่อธิษฐาน
คนที่ทำเป็น มันไม่ได้ยากลำบากอะไร
คนที่เราไปช่วยก็ไม่ได้มีมากมายเหมือนสาวกของพระพุทธเจ้า
เราก็ช่วยแค่ตามเก็บตกสาวกที่อธิษฐานตามเรามาบางคน
ให้ได้มีพระพุทธเจ้าได้โปรดต่อไป
และช่วยโพธิสัตว์บางท่านที่ลงมาเกิดสร้างบารมี คอยเตือนงานให้ท่าน
เธอก็เคยเจอไม่ใช่เหรอ
ผม- ครับ ตอนเด็กๆ
ผมก็เคยฝันถึงหลวงปู่โลกอุดร ท่านมาชี้มือขึ้นฟ้า
บอกว่าอยากเป็นพุทธภูมิต้องพยายามมากว่านี้ ผมนี่ตื่นขึ้นมา
รีบวิ่งขึ้นห้องพระไปกราบขอลาพุทธภูมิใหญ่เลย ไม่อยากเกิดแล้ว
แต่ไปๆมาๆก็หนีไม่พ้น สุดท้ายก็ต้องมาทำบารมีเป็นพุทธภูมิต่อ
พระ –
เห็นไหมล่ะ นั่นละงานของพวกเรา ใครบอกว่าสร้างบุญบารมีมาเยอะแล้ว
คงไม่ลืมหรอก คงลงมาสร้างบารมีต่อได้เลยหรอก มันไม่จริงนะ โลกมันน่าหลงมาก
ลงมานี่หลงกันทุกคน แม้แต่บารมีเต็มแล้วเธอไม่เห็นเหรอ เจ้าชายสิทธัตถะ
หลงอยู่ในพระราชวังจนมีลูกมีเมียไปตั้งกี่ปี กว่าจะนึกได้ กว่าจะออกบวช
ถ้าไม่มีเทวดาไปเตือน นั่นละงานพวกเรา มันต้องมีคนทำงานนะ งานพระศาสนา
ต้องทำกันเป็นทีมเป็นระบบไม่ใช่ตัวใครตัวมัน ต้องเกื้อกูลกันทั้งนั้น
ตั้งแต่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจก พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ เทวดา
ก็ต้องทำงานด้วยกันคนละไม้ละมือเพื่อสืบอายุพระศาสนา
ผม – อ้อ งานพระศาสนานี่ลึกซึ้งมากนะครับ
พระ – ใช่ ถ้าไม่ใช่พระอภิญญาหรือพุทธภูมิก็ยากจะเข้าใจ มันไม่เหมือนตามตำราหรอก ไม่มีในตำรา
ผม – แล้วที่ผมเห็นภาพภูเขาบ่อยๆแล้วตามมาจนเจอท่าน คือหลวงพ่อต้องการบอกอะไรผมเหรอครับ
พระ – ก็ไม่มีอะไร เรามาเตือนไม่ให้ประมาท ให้หมั่นสร้างบุญกุศล
สร้างความดีเสมอๆ ยิ่งสร้างเธอก็จะยิ่งเจอข้อสอบที่จะทำให้เธอก้าวหน้าขึ้น
และได้เจอครูบาอาจารย์ในระดับที่สูงขึ้น
พุทธภูมินี่มี่ครูอยู่ทั่วจักรวาลนะ อะไรที่ทำแล้วไม่เสื่อมจงเร่งลงมือทำ
อะไรที่ทำแล้วเจริญยิ่งขึ้นไป ไม่เสื่อมลง จงเร่งลงมือทำ
ผม – สาธุครับ อะไรเหรอครับที่ทำแล้วไม่เสื่อม ทำแล้วยิ่งเจริญไม่เสื่อม ฟังดูเหมือนขัดกับหลักไตรลักษณ์
พระ – ไม่ขัดหรอก ไตรลักษณ์เขากล่าวถึงเรื่องรูปนามที่เกิดและดับไปทางโลก
ถ้าเราเหนือโลก มันก็ไม่เกี่ยวกับกฏนั้น บุญกุศลนั้นไง ให้หมั่นสร้างไป
ยิ่งสร้างเรายิ่งมีแต่เจริญยิ่งขึ้น และเมื่อเราสร้างมันจนถึงที่สุด
มันก็ไม่เสื่อมแล้ว จิตเข้าถึงพุทธะแล้วมันจะเสื่อมได้อย่างไร
ไอ้คนที่บอกทำดีไม่เห็นได้ดี ทำบุญแล้วก็ยังลำบาก นั่นมันทำไม่จริง
ทำไม่ถึง แล้วจะมาบ่นอะไร ขี้เกียจเติมน้ำ แล้วมาบ่นว่าน้ำไม่เต็มแก้วซะที
จะไปโทษใครละนอกจากตัวเอง คนอื่นเขาเติมจนเต็มแก้ว
จนได้กินเย็นชื่นใจดับทุกข์กันไปตั้งเยอะแล้ว
ยังมานั่งโอดโอยว่าตัวเองคอแห้ง ตัวเองทุกข์ แต่ไม่เติมน้ำเอง จะไปโทษใคร
ขอให้ไปทำให้ถึงเท่านั้นธรรมะคือต้องทำ ทำจริงก็เห็นผลจริง ทำดีจริง
ก็ดีจริง ให้หมั่นเพียรทำไป เติมมันทุกวัน มันจะไม่เต็มแก้วได้อย่างไร
ผม – สาธุครับ ผมจะพยายามปฏิบัติต่อไปให้ดีที่สุด
แล้วหลวงพ่อมีวิชาอะไรดีๆบ้างไหมครับ
ช่วงนี้ผมกำลังชอบศึกษาเรื่องยันต์และคาถาต่างๆ
พระ –
จะไปเอาอะไรกับคาถาเลขยันต์ เอาธรรมะสิ ถ้าบุญบารมีเธอถึง
เธอไม่ต้องไปลงเลขยันต์อะไรหรอก แค่นึกจะทำอะไร มันก็ได้ผลอย่างนั้นทันที
เทวดาเค้าเกรงใจคนดี คนดีอยากได้อะไรเขามาทำให้เองนะ แต่เอาเถอะ
ถ้าเธออยากได้อะไรเพื่อระลึกถึงเรา ก็เอานี่ไป
(มีแสงสว่างพุ่งจากร่างของพระมาที่มือผม จนเกิดเป็นยันต์ขึ้นมาตัวหนึ่ง
เป็นเส้นสีแดงสว่างมาก)
ผม – อันนี้คือยันต์อะไรเหรอครับ
พระ – เอ้อ เอาไว้แทนตัวเรานะ มีอะไรก็เขียน หรือมองแล้วระลึกถึงเราก็ได้ ถ้าเราไม่ติดธุระอะไร เราจะมาสงเคราะห์ให้
Cr: Dr. Robtis Waiyasusri
ที่มา: https://www.facebook.com/robtis/posts/2096715047045072