กระทู้นี้อยากจะขอรบกวนเนื้อที่เวปคนรักมีดสักหน่อยเพื่อโพสส่วนหนึ่งของความความทรงจำ เกี่ยวกับองค์ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ ที่ผมรู้จัก และได้มีส่วนรู้เห็นเป็นแง่มุมหนึ่งของลูกศิษย์คนนึงที่จะเล่าถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เครพรักยิ่ง
เมื่อหลายปีที่แล้วผมเองยังชอบที่จะไปหาพระอาจารย์ดัง ๆ ตามวัดต่าง ๆ ก็พอดีได้อ่านประวัติท่านหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญจากหนังสือต่าง ๆ ก็รู้สึกว่าชอบจริยาวัตรของท่าน ก็พอมีโอกาศก็ได้มากราบท่าน ยิ่งรู้สึกชอบอุปนิสัยท่านจนมากราบท่านบ่อยครั้งขึ้น บางครั้งที่ผมได้มีโอกาศไปกราบหลวงปู่ฯท่าน และถือโอกาศพักค้างที่สุสานทีละหลาย ๆวัน
สุสานที่ว่า ก็คือสุสานทุ่งมน ป่าช้าท้ายหมู่บ้านทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ เป็นป่าช้าที่มีมาตั้งแต่สร้างบ้านทุ่งมนอายุกว่า 200 ปี เมื่อปี 2543 ตอนที่ผมเข้าไปกราบหลวงปู่ท่านใหม่ๆ สิ่งก่อสร้างต่างๆยังไม่มากนัก บรรดากุฏิต่างๆตามแนวกำแพงยังไม่มี ที่จำได้แม่นยำคือต้นปีป ที่ออกดอกสีขาวสวย กลิ่นหอมอ่อนๆชื่นใจ และบรรดาช่องปูนก่อที่ใช้เก็บศพทั้งหลาย และโกฏิกระดูกหลากสีสรรตั้งเรียงรายตระหง่านอยู่กลางลานสุสาน อย่างน่าเกรงขาม
ครับ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ พระอาจารย์ของผมนั้นท่านอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ท่านอยู่ป่าช้านี้มานานหลวงปู่ท่านเล่าว่า บ้านเกิดท่านก็อยู่ท้ายป่าช้านี้ องค์ท่านเองนั้นเป็นเจ้าอาวาส วัดเพชรบุรี ย้อนไปหลายปีเมื่อตอนท่านยังแข็งแรง ท่านก็มักจะมาปลีกวิเวกที่ป่าช้านี้เสมอๆ กลางวันอยู่วัดกลางคืนนอนป่าช้า สำหรับผมยิ่งได้รู้มากเห็นมาก ยิ่งเครพ ยิ่งศัทธา มากขึ้นทุกที เคยได้ยินผู้ใหญ่พูดว่าถ้าจะดูว่าพระองค์นั้นดีมั๊ยให้ดูว่าชาวบ้าน ละแวกวัดมีความเครพนับถือพระองค์นั้นเพียงใด แต่กับหลวงปู่ฯท่านทุกเย็น ชาวบ้านจะพากันมากราบท่านโดยที่มีกรวยดอกไม้เข้ามากราบท่านทุกวัน พวกเด็กๆก็เหมือนกันจะพากันมารออยู่ข้างหลังผู้ใหญ่ พอผู้ใหญ่กราบเสร็จ พวกเด็ก ๆ ก็จะเข้าไปกราบต่อ ช่วงเวลานี้หลวงปู่ท่านจะแจกขนมที่ท่านซื้อเอาไว้ให้เด็ก ๆ ทีละคน ๆ บางครั้งเป็นนมขวด ท่านก็จะเอาหลอดเจาะให้เด็กทีละขวดๆ ทีละคน ๆ ไปอย่างนี้ทุกคน บางทีแม่ลูกอ่อนลูกไม่สบายก็อุ้มลูกมาหาหลวงปู่ฯ ๆ ท่านก็รับเด็กจากมือแม่ลูกอ่อน มาอุ้มแล้วก็เป่าแล้วก็เป่าให้ทั่วตัว ท่านเป่าเหมือนกับจะให้เด็กน้อยหายไข้เดี๋ยวนั้น และภาพเหล่านี้เป็นเรื่องปกติเป็นอย่างนี้มาเนิ่นนาน พอกราบหลวงปู่กันแล้วชาวบ้านก็จะพากันไปนั่งเล่น นอนเล่นที่ ศาลาเล็ก ๆ ตรงปากทางเข้าสุสาน(ย้ำ…ว่าสุสานที่แปลว่าป่าช้าครับ) เหมือนกับเป็นศาลาประชาคมประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านจะมาก็นั่งคุยนอนคุยกัน จนมืดค่ำก็จะได้แยกย้ายกันกลับบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกวัน ผมซึ่งเป็นคนได้รู้ได้เห็นก้ไม่รู้ว่าจะบรรยายควารู้สึกและความทรงจำเหล่านี้อย่างไรดี อาจจจะเรียกได้ว่ารู้สึกประทับใจก็ได้ และก็รู้สึกสนิทใจและสบายใจเวลาที่อยู่กับหลวงปู่ฯท่าน เพราะลึกๆในใจรู้แล้วว่าเราเจอครูบาอาจารย์ของเราแล้ว
เมื่อก่อนผมแขวนพระ 5-7-9 องค์ องค์ละหลวงพ่อ ๆ อย่างเหรียญพระชินสีห์ ธรรมศาสตร์ 60 ปี เนื้อเงิน เหรียญท่านอ.วัน อุตตโม สำนักทรัพย์สิน เนื้อนวะฯ เหรียญหลวงปู่ชอบ ที่หล่อจากฝาบาตรท่าน ล็อคเก็ตหลวงตามหาบัว รุ่นแรก ทรงกลม สีฟ้า ถ่ายแค่หัวไหล่ หลังมีเกษาท่าน ลุงชาญณรงค์ที่เป็นคนถือบาตรหลวงตาฯ ที่สวนแสงธรรมให้มา เหรียญ รูปหล่อ รุ่นแรก เนื้อเงิน หลวงปู่เจี๊ยะ อาจารย์เรา ฯลฯ อีกมากมายทั้งของผมและของตกทอดจากพ่อของผม แต่พอมาเจอหลวงปู่เหมือนกับเราเจอ อาจารย์ของเราแล้วท่านจะขลังยังไง ขนาดไหนไม่ทราบได้ในตอนนั้น แต่ข้อวัตรปฏิบัติของท่าน มั่นทำให้เราอบอุ่นเย็นใจ ใจเราถึงเครพศัทธาท่านสนิทแน่บแน่น เราก็เต็มใจที่จะแขวนพระท่านเพียงองค์เดียว หรือไม่ก็จะขาดไม่ได้ต้องมีในคอเสมอ อารธณาติดตัวเพราะศรัทธา ไม่ใช่เพราะขลัง
หลวงปู่ ฯ ท่านชอบซื้อชีวิตสัตว์มาปล่อย ชอบขุดบ่อน้ำ ฝายก้นน้ำ ซื้อที่ขยายป่า ใครจับงูมาได้จะงูอะไรก็เอามาขายหลวงปู่ฯ ท่าน ๆ ก็ซื้อ ถ้าใครเคยไปสุสานจะเห็นกองหินที่เรียงรายเป็นตั้งสูงนั่นคือที่อยู่ของงู ตะขาบ แมงป่อง ฯลฯ ที่ท่านซื้อมาปล่อย หรือไม่ก็เอาไปปล่อยในป่า ที่หลวงปู่ท่านได้สร้างรั้วล้อม ทำการอนุรักษ์ไว้ โดยที่ก่อนปล่อยท่านจะเป่าก่อน ท่านว่าเป่าให้คนมองเขาไม่เห็นและเขาก็ไม่กัดคน
ลูกศิษย์หลวงปู่ฯ(งู ะขาบ แมงป่อง) จึงไม่เคยกัดใครแม้แต่คนเดียว บางครั้งพวกขายปลาช่อน ปลาดุก จากตัวจังหวัด ขายไม่หมดก็เอามาขายหลวงปู่ ฯ ท่าน ๆ ก็ซื้อเอามาปล่อย ที่ละ 2-3หมื่นบาท(ผมยังเคยชั่งปลาและคิดเงินให้ท่าน) มีเรื่องแปลกที่ผมได้พบอยู่เรื่องนึง คืนนั้นผมนอนเฝ้าท่านตามปกติ ก็นั่งคุยกับท่านสักพัก ก็มีศิษย์ร่วมสำนัก(แมงป่อง)ตัวใหญ่มาก กำลังมุ่งตรงเข้ามาทางเรา(ผมกับหลวงปู่ฯ) พอหลวงปู่ ฯ ท่านเห็นท่านก็พูดเปรย ๆขึ้นว่า นั่นเขามาลาหลวงปู่
ครับ..เขามาลาหลวงปู่ ฯ แต่ถ้าเขาเข้ามาใกล้กว่านี้ผมก็จะลาอีกคน จึงกราบ ๆ ท่านแล้วก็เอาที่โกยผงมาช่วยพาเพื่อนออกไปอยู่ข้างนอก คืนนั้นนอนผวาทั้งคืน ตื่นเช้ามา ตี 3 หลวงปู่ตื่น เราก็ตื่น ล้างหน้าแปรงฟัน จัดการเรื่องของท่านเรียบร้อย พอเช้าฟ้าสางก็กวาดสุสาน พอกวาดไป ๆ ก็ไปเจอเพื่อนคนเมื่อคืนที่มาลาหลวงปู่นอนหางตก ตายสนิทเรียบร้อย เราก็มานึก…….เออ..เขามาลาหลวงปู่ฯ จริงอย่างท่านว่าป.ล. ผมเป็นผู้เขียนบทความนี้ขึ้น โดยเผยแพร่ครั้งแรกในเว็ป คนรักมีด และผมเห็นควรว่าควรนำมาปรับปรุงแก้ไข และเพิ่มเติมบางสิ่งตามความหมาะสม
ชาวบ้านทุ่งมนเล่าว่าเมื่อก่อนตอนหลวงปู่ท่านยังไม่ดัง กิจนิมนต์ไม่มากเหมือนสมัยหลังๆ หลวงปู่ท่านจะนั่งรถกะบะเวลาไปกิจนิมนต์ และข้อวัตรประจำองค์ท่านคือ ท่านไม่นั่งหรือนอนบนฟูกหรือเบาะที่นุ่ม ๆ คราวใดที่ท่านได้รับกิจนิมนต์ทีนึงท่านก็จะซื้อพวกขนมถุงเล็กๆ มามากมาย แล้วเอาแขวนตามซี่กรงข้างกะบะรถมาเพื่อเอาไว้มาเเจกเด็ก ๆ เพราะที่พื้นกะบะรถมีที่พอให้หลวงปู่กับลูกศิษย์นั่งเท่านั้น รถกะบะของหลวงปู่ที่บรรทุกขนมมาจนเพียบนั้น ถ้าคนไม่ทราบอาจจะนึกว่าเป็นรถขายของเร่ได้
เด็ก ๆ ลูกชาวบ้านใครไม่มีเงินเรียน ก็มาขอเงินหลวงปู่ ฯ ท่าน ๆ ก็ให้ไม่เคยขัด บางคนมาขอเป็นแสนบอกส่งลูกไปเรียนกรุงเทพ ท่านก็ให้(ผมอยู่ตอนหลวงปู่ส่งเงินให้เขา) ท่านมีเมตตามากจริง ๆ แม้แต่ทุกวันนี้ ก็เมื่อ 14 พ.ค. 51 ที่ผ่านมาก็ได้ไปกราบหลวงปู่ ฯ และค้างคืนที่สุสาน ก็มีผู้หญิงวัยกลางคน ๆ นึงได้อุ้มเด็กน้อยเข้ามา พอหลวงปู่ ฯ ท่านทักและคุยสักพักท่านก็เอาเงินยื่นใน 1000 บาท พอหญิงคนนั้นไปโยมก็ถามหลวงปู่ ฯ ว่าเขาขอเงินหลวงปู่ ฯ ไปทำอะไร หลวงปู่ ฯ ท่านก็ตอบว่าเด็กคนนี้พ่อแม่เขาเลิกกัน ทิ้งไว้ใหญาติเลี้ยงญาติก็ยากจนไม่มีเงินซื้อนมให้เด็ก เค้ามาหาหลวงปู่ท่าน เมื่อไหร่ ท่านก็จะให้เงินอย่างนี้ทุกครั้ง หลวงปู่ ฯท่านเป็นอย่างนี้เสมอมา ยิ่งได้รู้ได้เห็น ยิ่งรัก ยิ่งศัทธา
หลวงปู่ท่านไม่สอนธรรมอะไรมากมาย แต่ทุกคำที่สอนผมว่าดีกว่าคำเทศนายาว ๆ แต่จับหลักใจความไม่ได้มากนัก อย่างท่านทราบว่าพ่อผมเสียไปแล้ว คืนนึงก่อนนอนท่านก็พูดกับผมว่า
……ให้รักแม่ รักครูบาอาจารย์ และ รักตัวเอง แล้วจะเจริญ….
ผมมาคิดดู เออ ไม่เคยมีใครสอนเราอย่างนี้ หลวงปู่ ฯ ท่านบอกอย่างนี้เป็นเรื่องจริง ตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครสอนเรา เราก็ไม่เคยคิด แปลกแต่จริง ตั้งแต่นั้นทำตามที่ท่านบอก ชีวิตถึงจะลุ่ม ๆดอน ๆ แต่ก็เจริญก้าวหน้าในอาชีพมาโดยลำดับ
และ
…..ใจเราก็เหมือนบ้าน มีจิตเป็นเจ้าของ ถ้าเราไม่ทำความสะอาดวันนึงก็สกปรกมากขึ้นวันนึง ต้องทำความสะอาดทุกวัน….
และ
……ใครจะทำอะไรเรา หนีอย่างเดียวชนะทั้งโลก….
อันนี้เมื่อก่อนไม่เข้าใจแต่เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้วครับ และก็ใช้เป็นประจำ
คำสอนท่านเหมือนมีดสั้น ที่แทงทีเดียวทะลุถึงหัวใจเลย ถึงไม่วิจิตรพิศดารแต่ก็ มากด้วยคุณค่าสมควรที่จะเอามปฏิบัติทุกประการ
และก็
…….ถ้าเรารักครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็รักเรา….
ครับผมนึกถึงคำพูดนี้เสมอครับ ขอกราบหลวงปู่ ฯ ก่อนนอนที่ตรงนี้ด้วยครับ
ผมเคยสร้างพระกริ่งของหลวงปู่กับ คุณ วีระพงษ์ แซ่เตี้ย อยู่รุ่นนึงมีพระอะไรเท่าไหร่ทุ่มใส่ลงไปเป็นชนวนหมด (ประมาณ 200 องค์ และเป็นเนื้อเงินเสียส่วนมาก) และได้ทองแดงที่ดาดเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ชนวนรูปหล่อครูบาบุญปั๋น วัดร้องขุ้ม ชนวนพระกริ่งไจยเบงชร ครูบาอิน แผ่นทองแดงกะไหล่ทองที่ดาดองค์ พระธาตุหริกุญไชย ฯลฯ อีกมากมาย
หล่อเป็นเนื้อชนวนล้วน ๆ ได้กี่สิบองค์จำไม่ได้ แต่หล่อเป็นเนื้อทองผสมน่าจะ ราว 1000 องค์ พระกริ่งชุดนี้นี้หลวงปู่เสกมานับครั้งไม่ถ้วน หลวงพ่ออุตตมะเสกน่าจะ 2-3 ครั้ง เนื้อทองผสมที่มีอยู่ 100กว่าองค์ ก็ถายหลวงปู่ไปแจกพวกเจ้าสีหณุที่พนมเปญหมดแล้ว เหลืออยู่ 6 องค์ อยู่กับแม่ 1 องค์ (ปัจจุบัญ 2559 เหลือ 2 องค์)
พระกริ่งองค์ที่อยู่กับแม่นี้ แม่เคยเอาทำน้ำมนต์เพราะ วันนั้นผมได้โทรไปหาแม่ถามสารทุกข์สุก ๆ ดิบ ๆ ตามประสาแม่ลูก แม่ก็บอกว่าปวดฟันมากจะไปหาหมอถอน วันสองวันนี้ปวดจนนอนไม่หลับ ผมก็จำได้ว่าเคยให้พระกริ่งแม่ไว้ 1 องค์เลยบอกถ้าเชื่อเดี๋ยว เอาพระกริ่งแช่น้ำ ท่อง นะเมติ และระลึกถึงหลวงปู่ฯ ท่าน แล้วดื่มดู แม่ก็เชื่อทำตาม
พอวันรุ่งขึ้นเราโทรไปอีก แม่ก็บอกว่า ….เมื่อคืนฉันทำตามเราบอกพออมน้ำมนต์ปุ๊ป ฟันมันก็หายปวดทั้นที…. และต่อมาทราบว่าไม่เคยปวดอีกเลย จนกระทั่งผมกลับไปอยู่บ้านและลืมเรื่องนี้ไปแล้ว มาวันนึงแม่อาบน้ำ พออาบเสร็จแม่ ก็ถือเอาฟันซี่นึงมายื่นให้ ผมถามว่าแม่ถอนหรือ แม่ก็ว่า …..ปล่าวแปรงฟันแล้วมันหลุดเอง ซี่นี้แหละที่ปวดแล้วฉันกินน้ำมนต์หลวงปู่
เมื่อก่อนนี้เคยได้ยินหลวงปู่ท่านเล่าเรื่องทีท่านพาเจ้าสีหณุและพวกหนีพวกเขมรแดงออกมาจาก เขาพนมมาลัย ประเทศเขมร และในประวัติที่คนอื่นเอาไปเขียนไว้ก็มีอยู่ แต่เราลูกศิษย์หัวดื้อของท่าน ก็ยังถือกาลามสูตรไว้อย่างเหนียวแน่นเช่นเคย
จนเมื่อประมาณปี 2545 ได้มีข้าราชการชั้นสูงของเขมรมาทำพิธีอะไรสักอย่างกับหลวงปู่ฯ ท่าน พอกลับไปก็ไปทูล พระญาติของเจ้าสีหณุ พระญาติพระองค์นั้นก็เสด็จมาทำพิธีบ้าง พอหลวงปู่ฯท่นทราบว่า เจ้าพระองค์นี้เป็นพระญาติของเจ้าสีหณุ หลวงปู่ ฯ ท่านก็ บอกว่า…..ให้บอกเจ้าสีหณุด้วยว่าพระครูพนมมาลัยยังไม่ตาย….
เจ้าพระองค์นั้นก็นำความไปกราบบังคมทูลเจ้าสีหณุ เมื่อเจ้าสีหณุท่านทราบความท่านก็เลยนิมนต์หลวงปู่ไปที่พระราชวังที่กรุงพนมเปญ หลายต่อหลายครั้งนับจากนั้นมาซึ่งผมยังเคยเห็นรูปถ่ายตอนหลวงปู่ฯ ท่านไปที่นั่นด้วย ปลื้ม….ครับ
…………แต่ที่สำคัญคือที่มาที่ไปของเรื่องมันมีอยู่ว่า………..
เมื่อตอนที่เขมรเกิดสงครามกลางเมือง เจ้าสีหณุและกองทหาร ได้พากันไปหลบที่ภูเขา พนมมาลัย แล้วโดนทหารฝ่ายตรงข้ามตีกรอบล้อมจะบุกขึ้นมาจากตีนเขา บุญยังรักษาหลวงปู่ซึ่งตอนนั้นท่านยังธุดงค์อยู่ ได้ผ่านไปธุดงค์ที่เขาลูกนั้นพอดี พอหลวงปู่ฯท่านทราบเรื่อง ท่านก็ทูลเจ้าสีหณุว่าไม่เป็นไร จะพาเจ้าสีหณุและกองทหารของท่านฝ่าทหารที่ล้อมเขาหมู่นั้นไปเอง
เจ้าสีหณุก็ว่า ถ้าหลวงปู่ฯท่านพาท่านและทหารฝ่าวงล้อมศัตรูออกไปได้จริง จะตกรางวัลบำเน็จเป็นแผ่นดิน ที่พระองค์ถือครองให้ครึ่งนึง แต่หลวงปู่ท่านก็บอกปฏิเสธไป ท่านว่าท่านเป็นพระไม่ทราบจะเอาแผ่นดินไปทำอะไร แล้วท่านก็บอกเจ้าสีหณุว่า ให้เจ้าสีหณุ จับชายจีวรท่านไว้ แล้วให้ทหารทุก ๆ คนแต่ละคนก็จับชายเสื้อเจ้าสีหณุและจับต่อ ๆ กันไปเรียงไปจนครบทุกคน แล้วท่านก็พาเจ้าสีหณุและพวกเดินลัดเลาะผ่านกองกำลังทหารข้าศึกหมู่นั้นไปได้อย่างปลอดภัยทุกคน
นี่เป็นอีกเรื่องนึงในการกำบังกายของหลวงปู่ท่าน ท่านกล่าวเสมอว่าพระท่าน อย่าทำองค์ใหญ่เวลามีภัยจะได้อมเข้าปากได้ ท่อง นะเมติ ๆ แล้วครูบาอาจารย์จะมากำบังให้ศัตรูมองไม่เห็น ได้ฟังก็(กาลามสูตร) พอมีหลักฐานพยานให้เห็นอย่างนี้เลยเชื่อท่านมากขึ้นไปอีกขั้นนึง
หลวงปู่ท่านไหว้ครูลงกระหม่อมปีละ 3 ครั้ง วันมาฆบูชา เข้าพรรษา และก็ออกพรรษา รวม 3 ครั้ง ทุกครั้งจะมีพี่น้องชาวกัมพูชาเดินทางมาร่วมพิธีด้วยทุกครั้ง บ้างก็เดินมาก็มี หลายคนมาทุกครั้ง หลายคนมาทุกปี เพราะศัทธาท่านตั้งแต่ท่านยังธุดงค์อยู่ในเขมร เมื่อครั้ง 30 กว่าปีก่อน และยังเล่าว่า ……..ลูกปืนเท่าปลายนิ้วนะเรื่องเล็ก สมัยหลวงปู่ฯท่นอยู่เขมร ลูกปืนลูกเท่าศอก(เขาเรียกปืนคอ) ยังทำอะไรพวกลูกศิษย์ไม่ได้เลย ……..
บางท่านก็เป็นพระสงฆ์ พอเราเข้าไปคุยด้วยคุยไปคุยมาก็พูดอยู่ประโยคนึงเราจำไม่รู้ลืมเลยท่านว่า……..หลวงปู่หงษ์ น่ะท่านเป็นพระในตำนานของประเทศเขมร……………….
และความศัทธาเหล่านี้แม้ทุกวันนี้ก็ยังคงอยู่ยังไม่จางหายไป แม้แต่เมื่อครั้ง ปี 2545 ที่หลวงปู่ท่านกลับไปเหยียบแผ่นดินเขมรอีกครั้ง ชนชาวเขมรตามชายแดนยังมารอรับท่านเป็น พันคน บางคนเป็นลูกศิษย์ท่านตั้งแต่เมื่อครั้ง 30 กว่าปีที่แล้วนู้นก็มีมาก
เหตุการณ์ที่ “หมู่บ้านกรู” ประเทศกัมภูชา ณ หมู่บ้านนี้เองที่ชาวบ้านต่างกล่าวขานคุณงามความดีในวีรกรรมหลายๆสิ่งที่ไม่อาจลืมเลือนได้ จากหัวใจของทุกคน แม้หลวงปู่จะธุดงค์กลับประเทศไทยแล้วก็ตามจนขณะนี้หลวงปู่มีอายุย่าง 85 ปี จึงได้เดินทางไปเยี่ยมชาวกัมพูชา เมื่อชาวบ้านทราบข่าวว่าหลวงปู่จะมาต่างดีใจ ครั้นหลวงปู่ไปถึงชาวบ้านเกือบพันคนต่างนอนคว่ำเรียงรายตั้งแต่ถนนจนถึงศาลา แล้วอาราธนาให้หลวงปู่เดินเหยียบบนหลังของเขาเหล่านั้น หลวงปู่จะไม่เดินชาวบ้านเขาก็ไม่ยอม กล่าวว่ายอมพร้อมพลีกายด้วยความเคารพบูชา หลวงปู่ขัดเขามิได้จึงยอมเดินบนหลังของเขาเหล่านั้น แม้แต่ผู้เฒ่าอายุราว 100 กว่าปี เมื่อทราบข่าวว่าหลวงปู่หงษ์ มาก็อุตส่าห์ลากไม้เท้าหลังงองกเงิ่นเดินทางมากราบบูชา
ผู้ติดตามหลวงปู่ทุกคนต่างแปลกใจและถามว่าทำไมจึงศรัทธาองค์หลวงปู่ขนาดนี้ พวกเราทุกคนต่างก็ถึงบางอ้อ! เพราะพ่อเฒ่าต่างเล่าให้ฟังว่า .. “หลานเอ๋ย ถ้าวันนั้นหลวงพ่อไม่ได้อยู่กับเราแล้ว หมู่บ้านกรูทั้งหมู่บ้านก็แตกกระจายป่นปี้ไปแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องแปลก ตาเองก็ไม่เคยเห็น ว่าลูกระเบิด และลูกปืนใหญ่ขนาดแตงโม มันตกมาบนหลังคาหญ้าแฝก แปลกที่มันไม่ทะลุหล่นลงมา กลับกลิ้งคลุกๆ ไปตามทางลาดชายคา พวกเราก็นึกว่าต้องตายแน่ๆ ถ้าลูกระเบิดตกกระทบกับพื้นดิน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังตุ้บ! ปรากฏว่าลูกปืนจมดินเกือบครึ่งลูก แต่มันอัศจรรย์มาก หลานเอ๋ย มันไม่ระเบิด! “…. เท่านั้นแหละเม็ดกรวด เม็ดหิน แม้แต่ดินใต้แคร่ไม้ไผ่ เขายังขุดไปลึกเป็นเมตรเอาไปปั้นเป็นลูกอมตากแดด ครั้นหลวงพ่อกลับประเทศไทยไปแล้ว แคร่ตัวที่ท่านนั่งก็ยังไม่มีเหลือ ชาวบ้านเขาจุดธูปเอามาพลีแบ่งกันจนหมดไม่เหลือหรอ หลวงพ่อเน้อ! พร้อมกับยกมือไหว้ทางหลวงปู่หงษ์ พวกตาและชาวบ้านรอดตายมาได้ทุกคน เสมือนตายแล้วเกิดใหม่ เท่ากับหลวงพ่อท่านมาชุบชีวิตให้ใหม่”
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมชาวบ้านเขาจึงพร้อมใจกันยอมนอนคว่ำให้หลวงปู่ท่านเดินบนหลังของพวกเขา ชาวบ้านทุกคนเคารพรักหลวงปู่เสมือนเป็นเทพของพวกเขาทีเดียว เพราะมิใช่ว่าหลวงปู่ จะป้องกันภัยให้พวกเขาได้อย่างเดียว แต่หลวงปู่ได้แผ่เมตตาปล่อยสัตว์ ขุดบ่อ ขุดสระ สร้างฝายน้ำล้น ปลูกป่า ปล่อยช้าง วัว ควาย เต่า งู ตะขาบ สัตว์ทุกชนิด และสั่งห้ามมิให้ชาวบ้านทำลายป่าไม้ โดยอบรมสั่งสอนให้เห็นคุณและโทษของการไม่มีป่าไม้ไม่มีน้ำ จะเกิดความเดือนร้อนนานาประการ พร้อมทั้งสอนให้ชาวบ้านทุกคนถือศีลห้า ห้ามดื่มเหล้าเมายา แล้วครูอาจารย์ของหลวงปู่ท่านจะคุ้มครอง ทุกคนเคารพศรัทธาในหลวงปู่ได้ประพฤติปฏิบัติตาม จึงมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ด้วยเหตุและผลหลาย ๆ ประการที่กล่าวมานี้นั้นและอีกหลายเรื่องราวที่กล่าวต่อ ๆ ไป จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึง รักและเครพครูบาอาจารย์ของผมองค์นี้มากมายเหลือเกิน
4
ส่วนตัวผมเองก็ได้เคยสร้างพระเครื่องถวายหลวงปู่ท่าน เพื่อแเป็นการฉลองพระเดชพระคุณอยู่บ้าง ก็พยายามจะนำข้อมูลมารวบรวมไว้ให้ครบถ้วน จะได้เป็นประโยชน์ทางหลักฐานข้อมูลต่อไป
พระผงหลวงพ่อพระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญบรมไตรโลกนาถ วัดหน้าพระเมรุ จ.อยุธยานี้ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา และมีเจตนาที่บริสุทธิ์โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆทั้งสิ้น โดยปราถนาให้พระนี้จะมีผลในการทำนุบำรุงพระศาสนาได้ไม่มากก็น้อย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งหรืออย่างน้อยก็ให้ท่านที่ได้รับไปได้เอาไว้เป็นอนุสสติ คือการระลึกถึงพระรัตนไตรอย่างน้อยเวลาจะใส่พระ ได้นึกถึงคุณพระอันสงบร่มเย็นสักวันละหนก็นับว่าดีนักแล้ว และพื่อเป็นการสร้างกุศลให้แก่ตนเองและครอบครัว รวมถึงน้อมถวายให้แด่ครูบาอาจารย์องค์ผู้อยู่เหนือเศียรเกล้า อันมี สมเด็จเจ้าฯหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด และท่านพระครูปราสาทพรหมคุณ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ วัดเพชรบุรี อ. ปราสาท จ. สุรินทร์ เป็นที่สุด
ซึ่งพระผงนี้ได้สร้างจาก อิฐ-ปูน-ดินใต้ฐานชุกชีหลวงพ่อพระพุทธนิมิตฯ วัดหน้าพระเมรุ อยุทธยา จำนวนมาก (2 กระสอบปุ๋ย) ผงกระเบื้องโมเสส-ทองเปลว หลวงพ่อโต วัดอินทร์ บางขุนพรหม จำนวนมาก (1 ปี๊ปฮอลล์) ปูนฐานชุกชี หลวงพ่อมงคลบพิตร บัวรอบฐานหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง กระเบื้องโบสถ์วัดเจดีย์หลวง ช.ม. หินข้าวเย็นฤษีวัดพระพุทธบาทสี่รอย ผงรักทองพระประฐานวัดกษัตราธิราช ผงรักทอง พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ วัดสุทัศน์ กิ่ง-ใบ-ด้วงเลียบ(ตาไม้ของต้นเลียบ)ต้นที่ฝังรกหลวงปู่่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สงขลา 1กระสอบ
เกศา หลวงปู่ชม วัดนางใน จ.อ่างทอง เกศา-อังษะ หลวงปู่เมตตา วัดโพธิ์เลื่อน จ.ปทุมธานี เกศา-อังษะหลวงพ่อสวัสดิ์ วัดศาลาปูน จ.อยุทธยา อังษะหลวงปู่หรุ่ม วัดบางจักร อ่างทอง หลวงพ่อสิริ วัดตาล นนทบุรี หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว ผ้าคาดอกหลวงปู่ทิม วัดพระขาว ท่านให้หลังพิธีเสกพระที่วัดบวรฯ
พลอย 5 สีแทนพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ (1บาตรเต็ม ๆ ) ปัฐวีธาตุจากแม่น้ำปาย จแม่ฮ่องสอน ซึ่ง 2 อย่างนี้หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ ท่านกรุณาแช่น้ำมนต์เสกให้ที่ห ัวนอนท่านนานนับเดือน ลูกอมดินเจ็ดนคร เก้าบุรี ดินโป่ง จอมปลวก รังตัวชันโรงที่ขึ้นบนยอดจอมปลวก ดินโป่งจากโป่งอาถรรพ์ เขาพ่อตาโจงโดง ระนอง กะลาตาเดียว ข้าวสารหินของ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ ท่านเสกมากว่า 2 ปี (2 ถังสังฆทาน)ท่านกรุณามอบให้เพื่อเอามาไว้สร้างพระ
ผงพุทธคุณของ วัดนครอินทร์ เมืองนนท์ ผงพุทธคุณหลวงพ่อฑูรณ์ วัดโพธินิมิตร ตลาดพูล ผงพุทธคุณ-เกษา ท่านครูบาบุญปั๋น วัดร้องขุ้ม (1ขัน ) ช.ม. สายประคำที่ หลวงพ่ออุตตมะ อุตตมะรัมโภ ตกสายประคำ เสกทีละเส้นกับมือทุกเส้น 56 เส้น
ผงสร้างพระพิมพ์สมเด็จ รุ่นญาณวิลาส หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี แป้งเสก หลวงปู่บุดดา ถาวโร แร่บางไผ่ แร่เหล็กโคกยายเหลือง แร่เหล็กน้ำพี้ แร่เพชรหน้าทั่ง ว่านมงคล 32 ชนิด เช่น เกราะเพชรไพฑูรณ์ พระตะบะ ถอนโมกขศักดิ์ ปลาไหลเผือก เพชรน้อย เพชรใหญ่ หัวว่านดอกทอง ดินสอฤษี พญากาหลง จูงนางฯลฯ
ชานหมาก กรวย-ดอกไม้บูชาครู ทราย-บายศรีสีผึ้ง (อย่างละ 2 กระสอบปุ๋ย) พระเครื่องรุ่นก่อนๆที่ชำรุด ของหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ หลายร้อยองค์
และในการสร้างพระผงหลวงพ่อพระพุทธนิมิตวิชิตมาร วัดหน้าพระเมรุนี้ ก็ได้สร้างพระผงพิมพ์หลวงปู่นั่งโต๊ะหมู่ขึ้นมาด้วย พระโต๊ะหมู่นี้ได้รับความร่วมมือจากเฮียเบ๊นซ์ (พอเพียง เพียงพอ…ขออนุญาตเอ่ยชื่อ) ในการจัดสร้างด้วย โดยที่พระทั้งหมดไม่มีการจำหน่าย แต่มอบให้เป็นที่ระลึกกับผู้ที่มาร่วมงานที่วัดปทุมวนาราม ที่เหลือก็ได้แจกจ่ายในการทำผ้าป่าถวายหลวงปู่หลายต่อหลายครั้ง
และในการสร้างพระโต๊ะหมู่นี้ เฮียเบ๊นซ์ยังมีศรัทธาแรงกล้า ไปเก็บเหล็กโคกยายเหลืองเองอีกด้วย ไม่น่าเชื่อท่าทางเฮียแกอาเสี่ยแบบนี้ แต่แรงแกดีแฮะเหล็กโคกยายเหลือง เอาใส่กระสอบหนักเป็นสิบ ๆ กิโล เฮียแกยกลอยแบกไปได้หน้าตาเฉย
ซึ่งมวลสารทั้งหมดได้ผ่านการอธิฐานจิตมาก่อนที่จะนำมาสร้างทั้งสิ้นโดย หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังวิเวการาม เสกผงมลสาร 2 ครั้ง หลวงพ่อสง่า วัดบ้านหม้อ หลวงพ่อพูน วัดไผ่ล้อม เสกผงให้ที่พิธีของ วัดลุ่มเจริญศัทธาธรรม นานกว่า 2 ช.ม. และองค์ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ เมตตาเสกมวลสารเองอีกหลายครั้ง
ในส่วนของการอธิฐานจิตนั้น เมื่อทำเป็นองค์พระแล้วได้จัดพิธีเมื่อ 14-15 ธันวาคม 2545 ณ.ศาลาไชยสินธพ วัดปทุมวนาราม โดยเป็นพิธีที่คณะศิษย์จัดถวาย หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ ซึ่งวันที่ 14 นั้นเป็น พิธีพุทธาภิเษก และวันที่ 15 นั้นเป็น พิธีครอบมงคลจักรวาล ซึ่งเป็นวิชามหาพิชัยสงครามตำรับขอมโบราณสามารถคุ้มครองตนได้ตราบเท่าที่ยังอยู่ในศีลธรรมอันดีงามและรำลึกนึกถึงครูบาอาจารย์อยู่เสมอ
ซึ่งพิธีมหามงคลนี้หลวงปู่ฯท่านได้เกิดศุภนิมิตอันเป็นมงคล เห็นครูบาอาจารย์มาในรูปเทพยดาเจ้ามาประทับยืน กายสูงใหญ่ ผายมือออกดั่งจะกางกั้นกันภัยอันตรายต่างๆและโอบอุ้มเอาวัตถุมงคลและผู้ร่วมพิธีทั้งหมดไว้
พระพิมพ์หลวงพ่อพระพุทธนิมิตฯ นี้ ได้จัดสร้างเป็น 2 เนื้อคือเนื้อขาวธรรมดา 10,000 องค์ เนื้อแดงพิเศษ 1,000 องค์ ในส่วนของการอาราธณาบูชานั้น ท่านต้องรักษาศีล 5 โดยเฉพาะข้อสุราฯ และกาเมฯ อย่างเคร่งครัด และห้ามด่าพ่อล้อแม่ ซึ่งถ้าท่านถือได้แล้วก็นับได้ว่าท่านมี พระรัตนไตรอันประเสิรฐ์เป็นสรณะ และมีคุณครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง อันอบอุ่นร่มเย็นอย่างมิต้องสงส ัย
เมื่อจะอาราธณาพระของหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ ตั้ง “นะโมฯ” 3 จบ และ”นะเมติ” 12 จบ จึงอธิฐานตามปราถนา
และขอฝากคำสอนของหลวงปู่ฯท่านไว้ว่า….“ถึงเราจะสร้างพระให้ศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหนแต่ถ้าเขาถือ (ศีล)ไม่ได้ก็ไม่ขลัง”….
ป.ล. 1.พระที่สร้างทั้งหมดได้ถวายโดยมิได้หักค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นท่านที่ต้องการได้ไว้บูชากรุณาติดต่อที่ วัดหน้าพระเมรุเท่านั้น
2.พระพิมพ์หลวงพ่อพระพุทธนิมิตวิชิตมาร วัดหน้าพระเมรุ สร้างเป็นเนื้อแก่มวลสารออกสีแดง 1000 องค์ เนื้อขาว 10000 องค์ พระโต๊ะหมู่สร้าง 3 เนื้อ เนื้อแก่มวลสารสีน้ำตาลเข้มองค์พระหนา 1000 องค์ เนื้อธรรมดา 10000 องค์ เนื้อผสมเหล็กน้ำพี้ซึ่งเฮียเบ๊นซ์สร้างไว้แจกจ่ายเป็นการส่วนตัวอีกจำนวนหนึ่ง และพระพิมพ์หลวงพ่อพระพุทธนิมิตวิชิตมาร วัดหน้าพระเมรุเกษาใส่เฉพาะพระเนื้อแดง เท่านั้น
3. นะเมติ คือรสน้ำนมแม่พระธรณีย์หมายถึง ข้าวและพืชพรรณทุชนิดที่เลี้ยงทุกชีวิตบนโลก เปรียบคุณครูบาอาจารย์เหมือนความรักของแม่ ที่ไม่มีวันจืดจางและคอยตามดูแลรักษาลูก(ศิษย์) ให้ได้อยู่ดีมีสุขทุกประการ
เนื้อแดงไม่ทราบว่าทางวัดจัดการอย่างไร แต่เนื้อแดงนี้คนสร้างเขาเอาไปงานทำบุญพระกรรมฐานที่ กระทรวงศึกษาฯ ปี 2545 มีหลวงปู่เหรียญเป็นประธาน เอาได้เอาไปขอเมตตาให้ หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก หลวงปู่หลวง วัดป่าสำราญนิเวศ หลวงปู่พวง วัดศรีธรรมมาราม ยโสธร หลวงปู่ท่อน ญาณธโรเมืองเลย หลวงปู่พวง วัดป่าปูลู เมืองอุดรฯ ครูบาแสงหล้า พม่า อธิฐานจิตเพิ่มให้เป็นพิเศษอีก
และยังเข้าพิธีเจริญพระพุทธมนต์ของนิตยสารโลกทิพย์ ซึ่งมีครูบาอาจารย์มามากมายหลายองค์ เช่น หลวงปู่จันทร์โสม หลวงปู่ผ่าน หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก หลวงปู่แปลง หลวงปู่บุญมา หลวงปู่พวง ยโสธร หลวงปู่พวง อุดร หลวงปู่ท่อน หลวงพ่อวิชัย ฯลฯ และอีกหลายองค์ที่ผมไม่รู้จัก
สิ่งมงคลทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากความศรัทธาเป็นเบื้องต้น จนถึงทุกวันนี้ (เม.ย. 2559) ก็ยังเป็นที่สุดของความภูมิใจของผมอยู่เสมอ ภูมิใจที่ได้ทำถวายครูบาอาจรย์ซึ่งองค์ท่านเป็นที่เครพรักยิ่ง ภูมิใจที่ทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้ อุทิสสิกกเจดีย์ที่ผมได้สร้างไว้ให้เป็นสมบัติของโลกก็ยังบริสุทธิ์อยู่ ภูมิใจที่ได้สร้างพระไว้ให้คนได้กราบไหว้บูชาเป็นอนุสสติ ขอกราบแทบเท้าครูบาอาจารย์ผู้อยู่เหนือเศียรเกล้าตลอดไป
พระอีกชุดนึงที่ผมและเพื่อนๆลูกศิษย์หลวงปู่ท่านได้สร้าง เพื่อถวายให้ หลวงพ่ออุตตมะ และหลวงปู่หงษ์ โดยที่พระชุดนี้ท่านทั้งสองได้อธิฐานจิตร่วมกัน เป็นรูปพระแก้วมรกต หลัง นะเมติ ล้อมด้วยสายประคำ หลวงพ่อโสธร* หลังนะชนะสิบหกทิศ พระตรีมูรติ หลังฤาษี 3 องค์ ท้าวเวสสุวรรณ และมีพระผงรุ่น ใจรวมใจ** ที่สร้างพร้อมกันด้วยแต่ไม่ได้ถวายให้หลวงพ่ออุตตมะอธิฐานจิต ในส่วนการอธิฐานจิตนั้นผมเอาไปขอให้หลวงพ่ออุตตมะอธิฐานจิต ที่พุทธมณฑล สาย 3 ผมเรียนท่านว่าเป็นพระของหลวงปู่หงษ์ จะทำถวายหลวงปู่กับหลวงพ่อ หลวงพ่ออุตตมะ ท่านก็ว่า เอามาเลย
พอเอาพระตั้งปั๊ปท่านก็สั่งให้ไปเอาเทียนจากหน้าหิ้งพระในสำนักมาจุดเป็นเทียนชัย ท่านก็สวดไปอธิฐานจิตไปประมาณ 1ชั่วโมง ก็พอดีพระมาทำวัตรกัน หลวงพ่อท่านก็ว่าให้พระเณรมาสวดช่วยกันก่อนพระท่านก็มาช่วยกันสวดมนต์ มีธรรมจักรกัปปวัตนสูรเป็นต้น ประมาณ 1 ช.ม. หลวงพ่อท่านก็ดับเทียนชัย ประพรหมน้ำพระพุทธมนต์มนต์ เมื่อพิธีทางนี้เสร็จ
ก็นำพระกลับไปให้หลวงปู่หงษ์ท่านอธิฐานจิตต่อ พระแก้วมรกตเสกที่สุสาน ส่วน ฤาษีพรหม กับพระอื่น ๆ ขนขึ้นไปเสกกันที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง พิธีของวัดทุ่งเศรษฐี ในวันนั้นเป็นวันที่แสงอาทิตย์จะส่องผ่านประตูปราสาทเขาพนมรุ้งทุกบาน พระเถระที่มาร่วมอธิฐานจิตก็มี หลวงพ่อฤทธิ์ หลวงปู่หงษ์ หลวงปู่ชื่น วัดตาอี หลวงพ่อเณร และอีกหลายองค์ พวกเราก็พากันขนพระขึ้นไปพนมรุ้ง คณะเราก็ประหลาดกว่าชาวบ้านชาวเมือง ด้วยเพราะไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะได้เข้าไปร่วมในพิธีสำคัญ เลยไม่ได้เตรียมชุดขาวมากัน
เขาแต่งขาวกันหมดมีแต่คณะเรา มีพระโป๊ย(ท่านอริยมุนี) ป๋อง(ท่านพระป๋อง วัดยานนาวา) ผู้ชอบเสื้อบอดี้โกลฟเป็นชีวิตจิตใจ ลุงกุ๊ก ผู้นิยมชมชอบเสื้อแดงมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และผมเสื้อเชิตลายตารางย้อนยุค ก็มีคนมองเราแปลกๆเวลาเราเดินไปมา แต่พวกเรามั่นมากเลยรู้สึกเฉยๆ
เมื่อไปถึงพิธีก็ไปขออนุญาติ หลวงพ่อเณร วัดทุ่งเศรษฐี บอกกล่าวท่านๆ ก็อนุญาติให้เอาเข้าพิธี ก็เป็นโชคดีของพวกเราที่เจอผู้ที่มีเมตตา เราเลยขนเอาพระทั้งหมดไปวางไว้ในกองวัตถุมงคลของวัดทุ่งเศรษฐี ซึ่งจัดวางกันอยู่ในห้องครรภคฤหะของปราสาทเขาพนมรุ้ง
พิธีนี้หลวงปู่ท่านอธิฐานจิต อยู่นานมาก ประมาณ 4 ช.ม. พอเสร็จหลวงพ่อเณรก็ถามหลวงพ่อฤทธิ์ว่าพิธีดีมั๊ย เป็นยังไงบ้าง หลวงพ่อฤทธิ์ ท่านก็ให้ไปถาม หลวงปู่หงษ์ นู่น
หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า ….ดีม๊าก มาก พระอิศวรสูง 88 ศอกมาเป็นประธาน พระนารายณ์ก็มาครูบาอาจารย์มากันมาก ฤาษี มากันมากกว่า 108 องค์ ….ผมได้จังหวะเพราะมีพระพิมพ์ ฤาษี 3 องค์ ที่ทำถวายหลวงพ่ออุตตมะ กับหลวงปู่ ไปเข้าพิธีด้วย ก็เลยถามว่ามีองค์ไหนที่หลวงปู่ไม่รู้จักบ้างมั๊ยครับครับ หลวงปู่ท่านก็มองหน้าผมอย่างพิจจารณาอึดใจนึง แล้วท่านก็ตอบว่า …มี มีอยู่บางองค์หลวงปู่ไม่รู้จัก….
ผมก็คิดเอาว่า น่าจะเป็นพระมหาฤาษี 3 องค์ ครูของ หลวงพ่ออุตตมะ ก็เก็บคำถามไว้ พอมาถึง กทม. ก็ตรงไปสำนัก หลวงพ่ออุตตมะ ที่พุทธมณฑลสาย 3 นำเอาพระแก้ว กับ ฤาษี ไปถวายท่านทันที่ ก็ไปบอกท่านว่า หลวงพ่อครับพระเสกเสร็จแล้ว หลวงพ่ออุตตมะท่านก็ลุกขึ้นนั่งทันที ถามว่า ไหน ก็เปิดกล่องให้ท่านดู แล้วก็ได้ทำการถวายให้ท่าน ท่านยังถามว่าถวายหมดเลยหรือ คนสร้างก็ตอบว่าครับ
…….แล้วก็ตั้งปุจฉาทันทีว่า…….
…..หลวงพ่อครับพระ ฤษี เอาไปเสกพนมรุ้ง หลวงปู่หงษ์ ท่านว่า ฤษี มากันมาก และมีบางองค์ท่านไม่รู้จักครู ฤษีสามองค์ ได้ไปร่วมพิธีหรือไม่ครับ …….
ท่านก็นั่งเข้าที่ภาวนาสักอึดใจ เมื่อลืมตาขึ้นท่านก็บอกว่า…..ไป……
ผมล่ะปลื้มใจที่สุด ทราบว่าตอนหลวงพ่อท่านมรณะภาพ พระทั้งสองรุ่นนี้ก็หมดไปจากสำนักพร้อม พระอื่น ๆ ของท่านด้วยเช่นกันครับ
ท้าวเวสสุวรรณนั้น ผมได้สร้างไว้แจกเป็นการส่วนตัว 1000 องค์ ได้นำเข้าเสกในพิธีของหลวงปู่ท่านทุกพิธีที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้อง รวม 5 พิธี และ ที่สำคัญได้เข้าในพิธีไหว้ครูลงกระหม่อมที่วัดเพชรบุรีด้วย ปัจจุบัญ(2559) หมดไม่เหลือแม้แต่องค์เดียว
ส่วนพระพิมพ์ ใจรวมใจ ลุงกุ๊ก สุขสันต์ พรจินดา ได้ขอยืมแม่พิมพ์ด้านหน้าไปกดพระเนื้อพิเศษ เป็นการกดมือหลัังเรียบ ฝังข้าวสารหิน มวลสารแก่แร่บางไผ่ และ ผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จากวัดนครอินทร์ นนทบุรี ก่อนที่จะทำลายแม่พิมพ์ ซึ่งแม่พิมพ์พระทุกพิมพ์ที่ผมและเพื่อนๆสร้าง เมื่อครบตามจำนวนจะทำการทำลายแม่พิมพ์ทุกครั้งทุกพิมพ์ ปัจจุบัญแม่พิมพ์ที่ทำลาย ส่วนมากอยู่กับ พระเรวัต วัดยานนาวา (พระป๋อง)
*หลวงพ่อโสธร ได้ถวายให้หลวงพี่น้อย วัดดอน ไปเป็นจำนวนมาก เพื่อสมทบทุนบูรณะวัดที่ถูกไฟไหม้ใน จ.สุรินทร์ ที่เหลือก็เอาทำผ้าป่าจนหมดไม่มีเหลือ เลยไม่มีรูปถ่าย เป็นพิมพ์รูปวงรีขนาดเล็กที่มีขนาดประมาณ 1.5 ซ.ม.
**พระพิมพ์รูปหลวงปู่ “ใจรวมใจ” ท่านพระป๋อง วัดยานนาวา และ ครอบครัว ทรัพย์คงมั่น ได้สร้างถวายหลวงปู่ท่าน เพื่อทำผ้าป่า “ใจรวมใจ” นำปัจจัยไปสมทบสร้าง “ปราสาทมรกตจตุรมุข” ตามดำริของหลวงปู่ท่าน และได้มอบให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่ร่วมทำผ้าป่าอีกหลายครั้งด้วยกัน พระพิมพ์นี้มีผู้ที่ได้รับไปแล้วติดตัวบูชา ได้ไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทถูกแทงด้วยขวดปากฉลาม แต่ปรากฏว่าไม่เข้า (โปรดใช้วิจจารณญาณ)
ป.ล.สายประคำ 56 เส้น ที่หลวงพ่ออุตตมะนับกับมือ ที่นำไปบดเป็นผงไว้สร้างพระชุดต่อมา คือ หลวงพ่อวัดหน้าพระเมรุ พระผงโต๊ะหมู่ พระ3ทวด พระพิฆเณศวร ก็มาจากพิธีนี้ครับ
เล่าเรื่องว่าเคยสร้างพระเครื่องไปแล้วก็ติดลม เลยจะเล่าเรื่องมวลสารและ ขั้นตอนการทำประกอบไปด้วยจะได้ครบเครื่อง เมื่อแรกเริ่มสร้างพระชุดแรกของหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ นั้น มีมวลสารหลักคือ กระเบื้องโมเสส และทองคำเปลว จากพระบาทขององค์ หลวงพ่อพระศรีอาริยเมตไตร วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม ไปกราบไหว้หลวงพ่อโต วัดอินทร์
แล้วไปเจอเอาจังหวะที่ช่างเขากำลังบูรณะกระเบื้องที่ปิดองค์หลวงพ่อโตพอดี ช่างเขาว่าจะเอาไปทิ้งก็เลยขอเขามาพร้อมบอกกล่าวองค์หลวงพ่อโตอย่างเรียบร้อย ได้มาจำนวนไม่น้อยกระเบื้องร่วม 10 กิโล ทองเปลวที่ติดกันเป็นปึกอีกร่วมกิโล มาพิจารณาดูก็เข้าเค้าอยู่เหมือนกัน ว่ามวลสารกระเบื้องและทองเปลวนี้ดั่งมีเลือดเนื้อ(กระเบื้องโมเสส) และสมบัติ(ทองคำเปลวของพระศรีอาริยเมตไตรผสมอยู่
พลอย 5 สีได้จากเพื่อนที่เป็นพ่อค้าพลอย หินแม่พระธรณีปัฐวีธาตุ จากแม่น้ำปาย จ.แม่ฮ่องสอน เมืองแม่เมืองเดียวในประเทศไทย มวลสารที่มีอยู่แค่ 2-3 อย่างนี้ (แต่หนักนับ10 ก.ก.) ก็ได้หอบหิ้วลงไป จ.สงขลา ปัตตานี เพราะมีใจศัทธาหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
เมื่อไปถึงสงขลาก็ได้เอามวลสารที่ได้มานั้นถวายให้ หลวงพ่อพล วัดนาประดู่ เสกเป็นองค์แรก และนำไปอธิฐานที่สถุปหลวงปู่ทวดฯที่วัดช้างไห้ และต่อมาได้ถวาย หลวงพ่อสุข วัดมุจจลินวาปี ปัตตานี เสกเป็นองค์ที่สอง และนอนค้างที่วัดนี้ 1 คืน วันต่อมาก็ไปหาดใหญ่ ไปถวายให้ หลวงปู่ทอง วัดป่ากอ เสกทานเมตตาเสกให้ 1 คืนเต็ม
ในเย็นวันต่อมาก็ไปสทิ้งพระไปสำนักสงค์ต้นเลียบ วันนั้นฝนตกพรำ ๆ ตอนแรกกะว่าจะไปขอด้วงเลียบมาสักหน่อย ก็เลยพอไปถึงก็ไปหาคนดูแลเขาก็ให้ด้วงเลียบ มา 9 องค์(ขอเรียกเป็นองค์) องค์ขนาดเม็ดถั่วเเหลือง เราก็ไม่ว่าไร ก็เดินไปไหว้รอบ ๆ ต้นเลียบ เห็นกิ่งเลียบที่เปียกน้ำฝนหักลงมาเราก็คิดว่า ไม่ได้ด้วงเลียบเอากิ่งเลียบก็ได้
ก็เก็บ ๆ มาได้ 1 กระสอบ และยังเจอเศษไม้อยู่ชิ้นหนึ่ง* ขนาดเท่านิ้วก้อยหงิกงอ ก็เก็บมางั้น ก็ไปนั่งพักคุยกับกรรมการวัดสักพัก เขาก็ว่าเออเก็บไปได้เยอะนิ ดีที่ฝนตกกิ่งเลยหักลงมาเยอะ นี่ฝนแรกของปีเลยนะ คุยกันสักพัก ก่อนกลับก็ควักเศษไม้ที่เก็บได้มาให้คนดูแลดู แกก็รับไปดู แกก็ โห………. นี่ด้วงเลียบตัวใหญ่จริง ๆ ไม่เคยเห็นใหญ่ขนาดนี้ นี่หลวงปู่ท่านให้แล้วนะเก็บไว้ให้ดี
ด้วงเลียบ-ตาไม้เลียบ |
พอเสร็จเรื่องก็รีบกลับไปวัดป่ากอ ไปถึงจัดข้าวของเสร็จไม่อาบน้ำละ ห้องน้ำวัดอยู่นู่น….. ก็เลยหลับไปเลย พอตอนเช้ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอลืมตาก็รู้ว่าเรานอนตะแคงอยู่ ตาก็มองไปที่พื้นห้องเห็น กระดาษห่อด้วงเลียบที่คนดูแลต้นเลียบให้มาตกอยู่บนพื้น ก็ตกใจรีบลุกขึ้นค้นหาทันที ก็ถามคนที่เดินทางไปด้วยกันว่าตอนตื่น เห็นตาไม้ลักษณะอย่างนี้ ๆ มั๊ย
เขาก็บอกไม่เห็นเราก็เสียดายซะ เพราะตอนนั้นคิดว่ามีแค่ 10 องค์ จะเก็บไว้บูชาส่วนกิ่งเลียบจะไว้จ้างร้านยาบด บดเพื่อเอาไว้ทำพระ ก็นั่งทำใจอยู่พักนึง ก็เก็บที่นอน พอยกหมอนขึ้น ก็เห็นด้วงเลียบ 9 องค์ ที่เขาให้มา และ ปู่ด้วง มารวมกันอยู่ใต้หมอนเรา ครบทุกองค์ไม่ขาดหายไปสักองค์เดียว (นี่เป็นเหตุผลที่เราเรียกด้วงเลียบเป็นองค์)
เราก็เลยเรียกคนที่ไปด้วยกันและพระหลวงตาที่เป็นเจ้าของห้องให้มาดู ก็ตืนเต้นกันใหญ่ หลวงตาท่านก็ใจดี พอรู้ว่าเราจะกลับยังมาส่งที่หาดใหญ่และเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวอีก คนละชาม
พอกลับมาถึงกรุงเทพ เอากิ่งเลียบไปตากแดด พอแห้งก็ว่าจะส่งไปร้านยาบด ก็เอามาเรียง ๆ ดู ก็พบว่า ตามกิ่งเลียบมี ตาไม้เลียบ หรือที่เรียกว่าด้วงเลียบอยู่เต็มไปหมด เราก็รีบแกะ ๆ เก็บ ๆ ได้ 100 กว่าองค์ สุดยอด แต่ตอนหลังก็เอาไปบดทำพระหมดละ คัดที่ใหญ่เท่าเม็ดถั่วเหลืองไว้ 8 องค์ และปู่ด้วงไว้ตรงกลาง เป็น 9 องค์ พอดี ก็บูชากราบไหว้มาจนทุกวันนี้
ตอนหลังมารู้จักคนมาเข้า ๆ เขารู้ว่าจะสร้างพระถวายหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ เขาก็ช่วยสละผงที่เก็บรักษามาร่วมทำบุญ ก็คัดแล้วเลือกแล้ว พิจจารณาความน่าเชื่อถือคนให้แล้วถึงเอามาผสม และอธิฐานว่าครูบาอาจารย์อยากให้เอาอะไรผสม ก็ให้ดลใจให้ไปเอา ก็ได้จริงๆและมีที่มาที่ไปแน่นอนทั้งสิ้น
อย่างบัวรอบฐานชุกชี รักทองที่ลอกออกจากองค์หลวงพ่อพระพุทธนิมิตฯ วัดหน้าพระเมรุ จ.อยุธยา โดยเฉพาะส่วนพระพักตรได้มาขนาด 1 ฝ่ามือกาง ปูนดินใต้ฐานชุกชี ผมภูมิใจเป็นนักหนาที่ได้เอามาสร้างพระถวายหลวงปู่ เพราะหลวงพ่อพระพุทธนิมิตฯ วัดหน้าพระเมรุ เป็นพระพุทธรูปที่ผมเครพบูชามาตั้งแต่เด็ก ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปกราบไหว้เพราะอยู่คนละภาค คนละจังหวัด ก็ได้แต่ตัดรูปท่านจากหนังสือไว้บูชา และบูชามาจนถึงทุกวันนี้เป็น 10 กว่าปีแล้ว
และดินใต้ฐานนั้นคืออุปมาได้กับพระแม่ธรณีย์ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาของหลวงปู่ ฯ ท่านด้วย ในส่วนของดินใต้ฐานชุกชีองค์หลวงพ่อพระพุทธนิมิตวิชิตมารนั้น ทางพระที่ดูแลวิหารเมื่อท่านทราบว่าจะสร้างพระ ท่านก็มอบมา 2 กระสอบปุ๋ย ท่านว่าเก็บไว้ 4 กระสอบ โดยที่ 2 กระสอบอยู่ที่ผม 1กระสอบอยู่ที่ คุณวีระพงษ์ เเซ่เตี้ย อีก 1 กระสอบอยู่ที่ คุณเนาว์ นรญาณ ยังได้บัวรอบฐานชุกชีหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง ที่แตกหักร่วงหล่นมาเป็นมวลสารเพิ่มเติม
ว่าน 32 ชนิด ทำไมต้อง 32 ชนิด ทำไมไม่ 108 ชนิด ผมคิดว่าเอาว่านที่มีอานุภาพจริง ๆ แค่ 32 อย่างก็พอเน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณ ว่านนี้ก็ได้จากพี่ชาติเจ้าของร้านว่านที่จุตจักร์(รองแชมป์แฟนพันธุ์แท้เรื่องว่าน) ให้มา 1 กระสอบ พี่ชาติถามอยู่ว่าจะเอา 108 ชนิดมั๊ยจะจัดให้ แต่ผมว่าเอาแค่ 32 ชนิดก็พอ ว่านนี้ถึงเวลาต้องกู้ขึ้นมา เฉพาะหัวว่านดอกทอง แท้ ๆ ให้มาประมาณ 1 ขัน (ดอกว่านพี่แกก็มีขายครับเมื่อปี 2545 ดอกละ 300 บาท ) เกราะเพชรไพฑูรณ์ (คงกระพัน)ที่พี่ชาติบอกว่าหายากนักหนา ก็ให้มาอีก1ขัน พระตะบะ ถอนโมกขศักดิ์ (กันคุณไสย) จูงนาง ดินสอฤาษี เพชรน้อย เพชรใหญ่ ฯลฯ นี่คือความศัทธาที่คนเขามีให้หลวงปู่ฯ ท่านครับ
ชานหมาก บายศรี กรวยดอกไม้ ประมาณปี 2544 ผมได้ไปกราบหลวงปู่ท่าน และแวะนอนค้างที่สุสานหลายครั้ง ครั้งนึงก่อนกลับผมได้เข้าไปกราบลา หลวงปู่ท่านๆก็บอกว่า ให้ไปเอาชานหมาก-กรวยดอกไม้เอาไปบดไว้ทำพระ ซึ่งในสมัยที่หลวงปู่ท่านยังฉันหมากอยู่ ชานหมากของท่านจะไม่ทิ้งจะเอาไปตาก ให้แห้งบนแผ่นสังกะสีหลังกุฏิ กรวยดอกไม้ก็เช่นกันเมื่อมีผู้นำมากราบไหว้ท่าน ท่านก็จะเอาขึ้นไปไว้บนหิ้งครู
ที่อยู่เหนือหัวนอนท่าน แล้วจึงเอาไปตากแห้งเช่นเดียวกับชานหมาก ผมเองก็น้อมรับคำสั่งอย่างเต็มที่ หลวงปู่ท่านสั่งให้เอาไป ผมเลยเอามาอย่างละกระสอบปุ๋ย เมื่อมาถึงกรุงเทพจึงเอาไปจ้างร้านขายยาแผนโบราณบด เพื่อเอาไว้เป็นมวลสารต่อไป
บายศรีนั้นหลวงปู่ท่านเคยบอกว่า ต้นกล้วย มะพร้าว ที่ใช้ทำบายศรีให้เอาไปปลูกที่บ้านเป็นสิริมงคล ทรายที่รองบายศรีก็เอาไปโรยรอบๆบ้านกันโจร กันสัตว์มีพิษ อย่าเอาไปทิ้งเปล่า แม้แต่กรวยดอกไม้ ก็เอาไปบูชากับบ้านกันโจรกันขโมยได้้ ผมเลยเฝ้าเก็บบายศรีและทรายหลังเสร็จพิธีพุทธาภิเษก มาได้พอสมควรและได้นำมาผสมเป็นมวลสารที่ไว้สร้างพระทุกๆรุ่นต่อมา
มีวันนึงในระหว่างที่ไปพักที่สุสานทุ่งมน หลวงปู่ฯท่านบอกว่า
…เดี๋ยวไปเอาเหล็กโคกยายเหลืองมาไว้ทำพระ….
ก็ยังไม่ทราบ ว่ามันคืออะไร อยู่ที่ไหน ก็มาคุยกับโป๋ย หลานหลวงปู่ฯ โป๋ยก็บอกว่า โอ้ย…พี่ที่นั่นมันแรง คนจูงควายเดินผ่าน พอควายผ่านโคกมันหยุดเดิน เจ้าของมันตีควายด่าควาย ปากก็เบี้ยว แขนขาก็บิดหมด เดี๋ยวนั้นเลยพี่ คนไปทำนามาใกล้ๆโคก ด่าลูกก็ปากเบี้ยว ต้องเอาดอกไม้ ธูป เทียน ไปขอขมาถึงหาย
เขากลัวกันทั้งนั้น ผมก็เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ฯท่านสั่งให้เราไปเอาเหล็กโคกยายเหลืองมาทำพระ โป๋ยแกก็ว่าหลวงปู่ท่านจะลองพี่แล้วว่าพี่เจตนาบริสุทธิ์จริงหรืเปล่า ผมก็ อืม……หลวงปู่สั่ง อย่าว่าแค่นี้เลยต่อให้ยิ่งกว่านี้ก็จะไปเอามาถวายให้
โป๋ยแกก็ว่างั้นผมไปด้วย ก็เลยชวนพวกลูกศิษ์หลวงปู่ฯรุ่น เล็กที่นอนเฝ้าท่านด้วยกัน ไปด้วยกันอีก 2 คน พากันไปเก็บพอไปถึงโคกบอกกล่าวแล้วก็เก็บ ๆๆๆๆ มีอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นแผ่นเหล็กมันวาวใหญ่ขนาด 2 ฝ่ามือสวยงามมาก โป๊ยแกเก็บได้ก็เอาใส่ย่าม ช่วยกันเก็บมาได้สัก 5 กระป๋องสังฆทาน ก็กลับ มาถึงสุสานก็เอามาเท ๆ ออกกองรวมกัน
โป๋ยแกก็ว่า เอ…. ชิ้นสวย ๆ ที่ผมเก็บได้ไปไหนล่ะ หากันไงก็ไม่เจอ ไม่มีใครเอาไปทางไหนแน่เพราะแกถือใสย่ามแกมาคนเดียว ตอนเทก็เห็นกันอยู่ สรุปว่าหาไม่เจอ..หาย พอชาวบ้านเขามาเห็นเขาก็ว่าเหล็กอย่างนี้ที่ป่านู้นก็มี โป๊ยก็บอกว่า นี่เหล็กโคกยายเหลือง ลุงคนนั้นก็ร้อง โอ้…แล้วยกมือไหว้ทันที ชาวบ้านเขาฮือฮากันใหญ่
ก็เอาไปถวายให้หลวงปู่ฯ เสกตามระเบียบ วันรุ่งขึ้นผมก็ไปที่โคกอีก เพราะเมื่อวานของหลวงปู่ท่าน แต่วันนี้เราจะไปเอาของเราเอง ไปถึงก็บอกเจ้าที่ว่าขอแค่ชิ้นเดียวขอสวย ๆ ก็ไปเก็บ วันนี้เจอชิ้นที่สวย ๆ เหมือนคนมาแกะเกลาไว้สวย ๆ ตั้งหลายชิ้นก็เกิดโลภ จะเอาหมด (สัก6-7 ชิ้น) พอจะก้าวออกจากโคก หูมันเกิดดับไม่ได้ยินเสียงอะไรขึ้นมา เราก็ นะ…ตูโดนละ
ด้วยว่าหูดับกระทันหันก็ได้ยินเพียงเสียงแว่ว ๆ ว่าฝูงวัวแถวนั้นมันตื่น มันพากันร้อง ผมก็ตัดใจว่าเราคงเอาเหล็กชุดนี้ออกไปหมดในวันนี้ไม่ได้แน่ เพราะขอแค่ชิ้นเดียว ก็เลยเอาไปซ่อนไว้ที่โพรงต้นไม้ตรงกลางโคก บอกฝากเจ้าที่พรุ่งนี้จะมาเอา แต่วันนี้เอาไปแค่อันเดียวก่อน หูก็ได้ยินเสียงชัดเจนดังเดินทันที ผมก็เอาเหล็กชิ้นนั้นมาให้หลวงปู่ฯ ท่านดู ท่านเห็น ท่านก็ว่า อันนี้ขลัง ม๊าก มาก
เราก็เลยถวายท่านไป ไม่เสียดายเพราะยังมีที่ซ่อนไว้อีกหลายก้อน พรุ่งนี้ค่อยไปเอา วันรุ่งขึ้นก็ไปอีกรีบตรงไปที่โพรงไม้ไปค้นดู หาไม่เจอหายหมดเลย ก็เลยอดหมด ไม่มีใครเข้าไปเอาแน่นอน เพราะโคกนั้นเป็นที่เคารพเกรงกลัวของชาวบ้านมานับร้อย นับพันปี คนสร้างพระคณะอื่นมาเอาเหล็กยังมากันเป็นสิบ ชาวบ้านแถวนั้นไม่ต้องพูดถึง และคิดให้ดีๆ ถึงมาจริงจะรู้หรือว่าเราซ่อนเหล็ก 6 ก้อนไว้ในโพรงไม้กลางโคก อย่างนี้ นับว่าเป็นเรื่องแปลกมากอย่างหนึ่ง
ประคำหลวงพ่ออุตตมะ อุตตมะรัมโภ วัดวังก์วิเวการาม เป็นสายประคำที่หลวงพ่ออุตตมะ ท่านเมตตานับให้เองกับมือท่านจำนวน 56 เส้น ผมได้นำไปจ้างร้านยาสมุนไพรบด เพื่อนำมาทำเป็นมวลสาร ประคำ 1 เส้นมี 108+3 เม็ด 108 คือกำลังคุณพระรัตนไตร อย่างที่ทราบกันดีว่าประคำของหลวงพ่ออุตตมะ นอกจากจะมีความหมายถึงคุณพระรัตนตรัยแล้ว ยังมีคุณทางแคล้วคลาด กันไฟ กันฟ้า กันสิ่งอัปมงคลได้ และองค์ท่านเองคุณธรรมก็เป็นที่ประจักษ์มาช้านาน นับว่าเป็นสิ่งอันเป็นมงคลยิ่งนัก
ประคำนั้นจากหนังสือประวัติหลวงพ่ออุตตมะ กล่าวถึงประวัติความเป็นมาว่า ในปีพ.ศ.225 คณะสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย ประชุมตกลงกันจัดส่งพระอรหันต์เถระเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ ในการนี้ได้มอบหมายให้พระอรหันต์ 2 รูป คือ พระโสณเถระ และพระอุตตรเถระ มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาและนำพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์มาประดิษฐานในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งมีเมืองนครปฐมในปัจจุบันเป็นจุดศูนย์กลาง
พระอรหันต์เถระทั้งสองรูปเดินทาง ออกจากเมืองปาฏลีบุตรในอินเดีย ผ่านเมืองสะเทิม ประเทศมอญ ได้พบพระฤๅษี 3 ตนพำนักบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่บริเวณภูเขาสุทัศน์คีรีใกล้เมืองสะเทิม คือ พระฤๅษีคุปตะ พระฤๅษีจุลละ พระฤๅษีเทวิละ
พระฤๅษีทั้งสามเมื่อได้เห็นพระจริยาวัตรและปฏิปทาอันงดงามของพระอรหันต์ทั้ง 2 รูป ก็บังเกิดศรัทธาความเลื่อมใสชักชวนกันไปกราบไหว้นมัสการ โดยซักถามว่า “ท่านเป็นศิษย์ของผู้ใด ใครคือพระศาสดาของท่าน” พระอรหันต์เถระตอบว่า “พระสมณโคดมศากยบุตรอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ของพวกเรา พระองค์คือพระศาสดาของพวกเราทั้งหลาย” พระฤๅษีจึงร้องขอให้เล่าเรื่องราวความเป็นมาของพระพุทธศาสนา พระอรหันต์เถระทั้งสองได้อธิบายให้ฟังโดยละเอียด พระฤๅษีทั้ง 3 ตนเมื่อได้ทราบว่าพระรัตนตรัยได้บังเกิดขึ้นในโลกนี้แล้วก็รู้สึกปีติยินดี แต่มีความเสียดายที่ไม่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เพราะทรงเข้าปรินิพพาน
นานแล้วถึง 225 ปีจึงถามว่า พระรัตนตรัยมีคุณเท่าใด พระอรหันต์เถระทั้งสองอธิบายว่า คุณพระพุทธเจ้ามีจำนวน 56 ดังบทสวดพระพุทธคุณ (อิติปิโสภควา) คุณพระธรรมเจ้ามีจำนวน 38 ดังบทสวดพระธรรมคุณ (สวากขาโต) และคุณพระสังฆเจ้ามีจำนวน 14 ดังบทสวดพระสังฆคุณ (สุปฏิปันโน) เมื่อรวมกันแล้วคุณพระศรีรัตนตรัยมีจำนวนทั้งสิ้น 108 พระฤๅษีทั้งสามถามอีกว่า ในกัปของเรานี้จะยังมีพระพุทธองค์ใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่ พระอรหันต์เถระทั้งสองอธิบายว่า ในขณะนี้เราอยู่ในภัทรกัป จะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 5 พระองค์ พระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในภัทรกัป ในกัปนี้จึงยังเหลือพระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดขึ้นอีกหนึ่งพระองค์ คือ พระศรีอริยเมตไตรย
พระอรหันต์เถระทั้งสองอำลาออกเดินทางมายังสุวรรณภูมิ ฝ่ายพระฤๅษีทั้งสามก็ได้ปรึกษาหารือกันว่า ควรจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อให้น้อมระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยอยู่เสมอ ที่สุดได้ตกลงกันสร้างลูกประคำขึ้นมาเพื่อใช้ในการสวดมนต์ภาวนา โดยกำหนดให้ลูกประคำมีจำนวน 108 เม็ด เท่ากับคุณพระศรีรัตนตรัยซึ่งมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 108 และที่ยอดของสายประคำได้ใส่ลูกประคำไว้อีก 3 เม็ด เพื่อแทนพระศรีรัตนตรัยเจ้าทั้งสาม คือพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆเจ้า
แม่พระธรณี ปัฐวีธาตุ ได้เก็บรวบรวมจากแม่น้ำปาย จ.แม่ฮ่องสอน เมืองแม่เมืองเดียวในประเทศไทย ในส่วนนี้ได้แยกไปถวายหลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย นครพนมท่านเสก ไม่ได้หวังจะให้เป็นปัฐวีธาตุแบบของหลวงปู่คำพันธ์ท่าน แต่ขอให้ท่านเสกธาตุให้ ท่านก็เมตตาเสกให้
ออกจากหลวงปู่คำพันธ์ก็เข้าอุดร ไปกราบขอความกรุณาหลวงปู่ถิร วัดทิพยรัฐนิมิต ที่หลังคุกเมืองอุดรท่านเสกให้ ท่านก็เมตตาเสกให้ ก็ทราบมาว่าท่านไม่ค่อยยินดียินร้ายกับการเสกอะไร ๆนักพระทีวัดว่ามีก็เหรียญ รุ่นเดียว (7-8ปีก่อน)แต่เราก็ใจกล้าเข้าไปขอท่านว่าจะเอาไปสร้างพระแจกทหาร ตำรวจ
ท่านก็มองหน้า แล้วก็บอกให้เราตามมาท่านก็ดินนำไปกุฏิท่านเข้าไปในห้อง พอท่านนั่งท่านก็ให้เราส่งปัฐวีธาตุมาท่านนิ่งสั่งพักแล้วบริกรรมมนต์อยู่ 5-6คำ (แค่5-6คำจริง)แล้วก็ยื่น ปากถุงปัฐวีธาตุให้เราเราก็จับแต่ท่านไม่ยอมปล่อยสักพักท่านถึงปล่อย เราไม่ทราบว่าเป็นอะไรแต่มันรู้สึกได้ว่า ท่านตั้งใจเสกจริง ๆ และรู้สึกเกิดความหวงแหนปัฐวีธาชุดนี้ขึ้นมาทันที
ต่อมาถึงเอาไปให้หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญท่านเสก พร้อมกับพลอย 5 สี โดยที่แช่น้ำมนต์ไว้ในบาตรเอาไปวางที่หัวนอนท่าน นานเป็นเดือน ๆ หลานท่านเล่าว่า ท่านเมตตาตาคอยเอาน้ำมนต์มาเติมให้เต็มอยู่ตลอด พอท่านไปไหนไม่อยู่ท่านกลัวหายท่านก็สั่งให้เก็บเข้า ห้องนอน(เก็บของ)ท่าน ซึ่งท่านที่เคยไปกราบหลวงปู่ที่สุสาน คงทราบว่าหลวงปู่ท่านนอนตรงที่ท่านรับแขกนั่นแหละครับ ห้องนอนของท่านท่านไว้เก็บของ
เรื่องปัฐวีธาตุ***นี้ที่เอามาผสมเพราะเห็นหลวงปู่พูดถึงบ่อยๆ ท่านเล่าว่าสมัยท่านธุดงค์ที่เขมรเขมรรบกัน ทหารหมู่นั้นมาขอของป้องกันตัวจาหลวงปู่ฯ ๆท่านก็เสกน้ำมนต์ให้ไปใส่ขวดเล็กห้อยคอบ้าง กิ่งไม้ ใบไม้ เอามาจารเป็นตะกรดบ้าง ก้อนกรวดเอามาเสกบ้าง ท่านยังกล่าวสำทับว่า ไม่เห็นมีลูกศิษย์คนไหนเป็นอะไร และท่านว่า
…..ถ้าเชื่อหลวงปู่นะ นี่…(เอานิ้วเคาะไปที่กระโถนหมาก)เอามาห้อยคอ(ท่านยกกระโถนขึ้นมาที่อกท่าน) ก็ยิงไม่ออก….
แล้วท่านเคยสั่งผมว่า
….ไปเก็บก้อนหินมาหลวงปู่จะเสกให้ กันได้ทุกอย่าง….
เราก็ว่า ครับ เขามีขายเป็นกระสอบเดี๋ยวผมไปซื้อมาเลยนะครับ
ท่านว่า ….อย่า อย่าไปซื้อเรา(หมายถึงผม) ไม่ค่อยมีเงิน ไปเก็บมาตามข้างทาง เอาที่สวย ๆ หลวงปู่จะเสกให้ กันได้ทุกอย่าง…..เราฟังแล้วมัน ตื้อขึ้นมาจุกออกเลย
ดิน 7 นคร 9 บุรี ดินยอดจอมปลวกใหญ่ ดินยอดโป่ง ่ส่วนนี้โดยมากใช้ลูกอมรุ่นนี้เป็นมวลสาร เพราะลูกอมรุ่นนี้ผสมด้วย ดิน 7 นคร 9 บุรี ดินจอมปลวก ดินโป่ง ที่หลวงปู่ท่านเก็บมาตั้งแต่ยังธุดงค์ และ ได้มวลสารดิน ดิน 7 นคร 9 บุรีจาก อ.ยุทธนันต์ ประวงศ์ มาพอสมควร ผมก็แค่ไปเก็บเอาดินยอดจอมปลวกใหญ่ๆและดินโป่งมา แล้วเอาคุลีผสมเข้าด้วยกันเชื่อว่าใช้การได้ สำหรับมวลสารในส่วนนี้
ยอดจอมปลวก ที่ได้มาได้ที่ระนองที่แปลกคือมี 2 ยอด ยอดนึงเป็นยอดจอมปลวก อีกยอดนึงเป็นรังชันโรง เลยเอามาทั้ง 2 ยอด ดินโป่งก็ไปเอาที่ระนอง ที่เขาพ่อตาโชงโดง ไปหาป่าไม้เขตก็บอกไม่มีใครพาขึ้นไปหรอก เขากลัวกันเราก็ว่าเขากลัวอะไร ป่าไม้ก็เลยแนะนำให้ไปหา ลุงมนตรี เสือแก้ว หมอยาแผนโบราณผู้ชำชองพื้นที่ป่า ลุงมนตรีก็เล่าให้ฟังว่า ที่ไม่มีใครกล้าเขามาโป่งพ่อตาโชงโดง เพราะใครเข้ามาใกล็จะต้องปวดท้องทุกคน พรานเอาหน้าไม้เอาปืนไปยิงสัตว์ เห็นสัตว์ล้มลงกับตา แต่พอเข้าไปใกล็กลับลุกขึ้นวิ่งหนีจับไม่ได้
เอาแร้วไปดักก็ติดแร้ว แต่พอเข้าไปเอาก็หลุดทุกที พรานถิ่นนั้นเลยไม่มีใครอยากขึ้นมาที่ โป่งเขาพ่อตาโชงโดงกัน พอขึ้นไปถึงโป่งก็สังเกตุเห็นว่าเป็นผาเตี้ยๆ มี่เกิดจากรอยแทะของสัตว์ และมีน้ำซับขึ้นมานิดหน่อยพอดื่มกินได้ น้ำนั่น หวาน สะอาด และให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
ครั้งหนึ่งในชีวิตผมเดินขึ้นเขาตั้งแต่ 8 โมง และลงมาถึงตีนเขาเกือบ 5 โมงเย็น เกือบจะขอนอนบนเขาแล้ว สุดๆจริงๆ เมื่อได้ดินโป่งมาแล้ว ก็เอาไปเข้าพิธีเสกพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ของวัดๆหนึ่ง(จำไม่ได้) ซึ่งนิมนต์หลวงปู่ท่านไปประกอบพิธีอธิฐานจิตพระประธาน โดยทางวัดได้จัดบายศรีชุดใหญ่ 21 ต้น ในพิธีครั้งนี้ด้วย
เกษา ผงว่าน ผงพุทธคุณ ครูบาบุญปั๋น วัดร้องขุ้ม จ.เชียงใหม่ มูลเหตุที่ได้มาเพราะเมื่อปี 2545 ได้เข้าไปที่ โรงงานทำพระผงที่หลังวัดบางเสาธง ผมเดินดูรอบโรงงาน เห็นขันเงินใบย่อมขนาดประมาณ 7 นิ้วใบนึง ข้างขันมีกระดาษแปะเขียนว่า ครูบาบุญปั๋น ผมก็เลยถามช่างทำพระว่า
….วัดร้องขุ้มมาทำที่นี่ด้วยหรือ ….
นายช่างก็ตอบอย่าภูมิใจว่า
…..ครับ เขาเอามวลสารมาไว้ให้แต่ใส่ไม่หมด** พระก็ได้ครบตามจำนวนเสียก่อน ….
ผมเลยถามว่า
….แล้วมวลสารนี่จะทำยังไง….
นายช่างก็ตอบมาว่า
….คงเอาไว้อย่างนี้ อาจเอาไปถวายวัด หรือเอาไปจำเริญ……
ผมถามย้ำ
….เขาไม่เอาแล้วแน่นะ…
นายช่างยืนยันว่า
….ครับตอนเขามาเอาพระ ไม่เห็นถามถึงหรือว่าอะไร…
ผมก็เลยช่วยหาทางออกให้ว่า
….ถ้าอย่างนั้นผมขอก็แล้วกัน จะได้เอาไว้ทำพระต่อ…..
เรื่องก็มาจบตรงที่ ผงพุทธคุณ เกษา ครูบาบุญปั๋น มาอยู่ในการอุปฐากของผมด้วยประการฉะนี้ ก็ได้ผสมกับมวลสารต่างๆที่มี และ สร้างพระมาตั้งแต่ พระแก้วมรกต ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่ผมสร้างถวายหลวงปู่ท่าน จนตลอดมาทุกรุ่น และที่แปลก มวลสารชุดนี้ ท่านพระป๋อง วัดยานนาวา ขอแบ่งไป จนผ่านไประยะนึง ท่านป๋องก็โทรมาหาผมเล่าเรื่องว่า
….ผงมวลสารพี่ใส่เกษาหรืออัฐิใครหรือเปล่าครับ…
ผมก็ตอบว่า
…ไม่นี่ ก็มีเเต่เกษาครูบาบุญปั๋นนั่นแหละ มีอะไรรึ?….
ท่านป๋องก็เล่าต่อว่า
…..ในมวลสารเกิดเป็นเม็ดใสๆ กลม เหมือนพระธาตุมาปนอยู่ด้วย ป๋องเลยร่อนดู ก็ได้เม็ดที่ว่ามาเก็บไว้ เอาไปถวายให้หลวงปู่ท่าน พิจจารณาดูท่านก็บอกว่า เป็นพระธาตุที่เสด็จมาอยู่กับมวลสาร…..
บางทีเรื่องอจิณไตยก็เกินปัญญาที่ปุถุชนอย่างเราจะคิดไปเองได้
แป้งเสกหลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข มีคุณลุงท่านนึงเมื่อทราบว่าจะสร้างพระเครื่องถวายหลวงปู่หงษ์ คุณลุงท่านนี้ก็มอบแป้งเสกของหลวงปู่บุดดามาร่วมบุญ 1 กระป๋อง ก็ได้จัดการตามความประสงค์ของคุณลุง สำเร็จลุล่วงอย่างดีแล้วนะครับ
เกษาที่ผสมในพระพุทธนิมิต เป็นเกศา หลวงปู่ชม วัดนางใน จ.อ่างทอง เกศา-อังษะ หลวงปู่เมตตา วัดโพธิ์เลื่อน จ.ปทุมธานี เกศา-อังษะหลวงพ่อสวัสดิ์ วัดศาลาปูน จ.อยุทธยา อังษะหลวงปู่หรุ่ม วัดบางจักร อ่างทอง หลวงพ่อสิริ วัดตาล นนทบุรี หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว ผ้าคาดอกหลวงปู่ทิม วัดพระขาว
เกษา-อังษะของท่านพระคุณเจ้าเหล่านี้ก่อนจะนำไปผสมทำพระเครื่องนั้นผมเอาไปถวายให่หลวงปู่ท่านพิจจารณาดูให้ องค์ไหนท่านบอกว่าดีผมถึงจะเอามาผสมในพระเครื่อง ซึ่งของทุกองค์ที่เอามาผสมนี้ เมื่อหลวงปู่ท่านพิจจารณาแล้ว ท่านเอา(เกษาบ้าง อังษะบ้าง)ไปจบที่หน้าผากท่านทุกองค์ครับ หลวงปู่ฯ ท่านว่า …..พระองค์นี้ดีม๊าก มาก
พระคุณเจ้าทุกองค์ที่กล่าวถึงองค์ท่าน มีคุณธรรมสูงยิ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแก่สาธุชนมาช้านาน และมีบางองค์ที่มีอะไรที่พิเศษในบางเรื่อง กล่าวคือท่านหลวงปู่ชม วัดนางใน ผมได้ยินชื่อท่านมานานตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก และทราบมานานว่าดวงตาท่านเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสุกสว่างได้ เมื่อเวลาท่านปลุกเสกวัตถุมงคล อีกอย่างเป็นเรื่องแปลกคือ
พระเครื่องของหลวงปู่ชม วัดนางใน หลายรุ่นมี…พระธาตุเสด็จ….ผมเคยถามพระที่วัดนางใน ท่านก็ตอบเลี่ยงๆว่า เขาว่ากันอย่างนั้น แต่เห็นพระสมเด็จ กับ รูปหล่อหลวงปู่ชม ส่วนมากจะมี….พระธาตุเสด็จ…เป็นเรื่องปกติ นับว่ามีวาสนาที่อาจจะเคยร่วมบุญกับท่านจึงได้เกษาท่านมา 1 กระป๋องคุ๊กกี้
ท่านพระคุณเจ้าเหล่านี้ทุกท่าน มีความเมตตาอย่างที่สุด ไปขอท่าน ๆก็ให้ ซื้ออังษะไปเปลี่ยนก็ไม่เอา ถอดให้เดี๋ยวนั้นเลย แต่มีองค์หนึ่ง ท่านประทับใจผมมากที่สุด คือ หลวงปู่ พระครูเมตตาธรรมคุณ วัดโพธิ์เลื่อน ปทุมธานี
ผมไปกราบท่านครั้งแรกไปขอแผ่นจาร ท่านก็บอกว่าจะเอากี่แผ่น ก็เรียนท่านว่า แล้วแต่หลวงปู่จะเมตตาครับ ท่านว่า งั้นเอามา 3แผ่น อีก 2-3 วันมาเอา พอต่อมาผมไปเอา ท่านก็จารยันต์แบบมอญ มาให้เต็มทั้ง 3 แผ่น และบอกว่า ถ้าวันหลังมีอะไรให้หลวงปู่ช่วยทำก็บอกนะ หลวงปู่จะช่วยเอาบุญ เราก็ค่อนข้างจะทึ่งท่านหน่อย ๆ แต่ก็ประทับใจมาก ๆ ท่านยังให้ตะกรุดโทนดอกเล็ก ๆ มาดอกนึง ท่านว่าท่านจารเองทุกดอก
ตอนหลังมาไปกราบท่านอีก พอดีมีโยมมาพบท่านอยู่ก่อนแล้วเป็นผู้หญิง กับ ผู้ชาย 2-3คน คนผู้หญิงก็ถามท่านว่า
….หลวงปู่คะตะกรุดของหลวงปู่เอาใส่กระเป๋าได้มั๊ยคะ …
หลวงปู่ท่านว่า
…ได้เอาใส่ได้ …
โยมนั่นก็ว่า
….เนี่ยคะหนูเอาใส่พวงกุญแจแล้วใส่ในกระเป๋ากางเกง พอหนูเอากุญแจไปสตาร์ทรถยนต์ ยางรถมันระเบิดเลยค่ะ …
หลวงปู่ท่านก็ว่า
….เออ เอาใส่กระเป๋ากางเกงไม่ได้ มาเอาดอกใหม่ไป ……
ผมก็ทึ่งท่านอีกครั้งนึง
มาอีกครั้งนึงผมพา คุณวีระพงษ์ แซ่เตี้ย และ คณะ ไปกราบท่านอีก เวลาประมาณ 5 โมงเย็น วัดท่านเป็นวัดที่ติดแม่น้ำ ยุงตัวเล็ก ๆ หลังสีขาว ๆ กัดเจ็บเหมือนมดคันไฟ มีเป็นโขยง ผมก็นั่งด้านหน้าสุด หลวงปู่ท่านก็นั่งบนยกพื้นหน้ากุฏิท่าน พอนั่งกันไปได้สักพักเริ่มเข้าหัวค่ำกองทัพยุง ก็ยกกันมาโจมตีเราทุกคน จริง ๆอยากจะตบ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ก็เกรงใจหลวงปู่ท่าน เลย ฮึ่ม….สัพเพ สัตตา…ปาณาติปาตา…พอยุงมาเราก็….ฯ
พอคุยกับท่านไปได้อีกสักพัก ก็เริ่มสังเกตุ เอ..ยุงไม่กัดท่านเลยนี่หว่า ก็ดูจนแน่ใจ เราอยู่ห่างท่านแค่2 คืบยุงกัดเป็นสิบ ๆ ตัว แต่ตรงที่ท่านนั่ง ไม่มียุงบินขึ้นไปเลยสักตัวเดียว ดูจนแน่ใจ ก็กระซิบบอกเพื่อน เพื่อนก็เลยดู ก็เห็นว่าจริง เราเลยเอ่ยปากขอเกษา กับอังษะท่าน หน้าซื่อ ท่านก็เมตตาเข้าห้องไปถอดมาให้ทันที และเอาเกษามาให้อีก 1 ขันอาบน้ำเต็ม ๆ และบอกว่า เออ…ช่วยกันเอาบุญ ไม่รู้จะบรรยายว่าอย่างไร แต่หลวงปู่พระครูเมตตาธรรมคุณ องค์นี้เรายังกราบไหว้ระลึกถึงท่านมาจนทุกวันนี้ และจะไม่ลืมเมตตาของท่านเลย
เพชรหน้าทั่ง หรือ ไพไรต์ เป็นแร่กายสิทธิ์ชนิดหนึ่งเป็นของมงคลที่หายาก สรรพคุณ108 มีถิ่นกำเนิดในภาคใต้บริเวณภูเขาล้อมลอบ โบราณเชื่อว่า มีเทพเทวาและคนธรรพ์รักษา ท่านพระป๋องเอามาร่วม 1 ก้อน เป็นเพชรหน้าทั่งที่ยังไม่ได้สกัด ยังฝังตัวอยู่ในก้อนหิน ท่านพระป๋องเอาให้หลวงปู่พิจจารณา ท่านบอกว่าเป็นของดีมีเทวดารักษา ก็ได้ใช้ครกเหล็กสากเหล็กของโรงงานตำป่นผสมลงในมวลสารเรียบร้อย
แร่เหล็กน้ำพี้ จากอุตรดิตถ์ ทางโรงงานทำพระ ไปซื้อมามาจากอุตรดิตถ์เพื่อรับงานพิเศษจากผู้ว่าจ้างรายนึง ผมเลยขอแบ่งซื้อเอามาผสมเป็นมวลสาร นำไปถวายให้หลวงปู่ท่าน และหลวงพ่ออุตตมะอธิฐานจิตก่อนนำมาสร้างพระ
หินข้าวเย็นฤาษี
วัดพระพุทธบาทสี่รอย เมื่อประมาณปี 2539-2540 ผมได้ไปนอนค้างที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 7 วัน วันนึงผมได้ไปอ่านเจอหนังสือประวัติของท่านครูบาธรรมธิ วัดสันป่าตึง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ในประวัติมีการกล่าวถึงพระพุทธบาทสี่รอย และส่วนหนึ่งมีการกล่าวถึง หินข้าวเย็นฤาษี โดยบอกรูปพรรณสัณฐานและระบุว่าอยู่ภายในอาณาเขต ใกล้รอยพระพุทธบาท
ความที่ยังหนุ่มแน่นคึกคะนองเลย อยากจะไปลองดูให้เห็นกับตา ว่าหินข้าวเย็นฤาษีที่ว่าเป็นอย่างไร พอรุ่งขึ้นผมก็เริ่มออกทำการค้นหาทันที เดินไปตามทิศทางที่หนังสือบอก เดินหาอยู่หลายชั่วโมง ก็มาพบหินข้าวเย็นฤาษีจนได้ หินนี้มีลักษณะเหมือนบาตรคว่ำสูงประมาณ 3 เมตรผิวเรียบเเบบหินทั่วๆไป
แต่ที่แตกต่างก็คือ มีก้อนหินรูปทรง 6 เหลี่ยม มีสัณฐานกลม ติดอยู่กับก้อนหินใหญ่มากมาย ตามตำนานในหนังสือประวัติครูบาธรรมธิ กล่าวว่าเป็นข้าวก้นบาตรของฤาษีที่มาจำพรรษา สักการะบูชาพระพุทธบาทฉันเหลือ แล้วอธิฐานเอาติดกับก้อนหินไว้ เวลาผ่านไปก็กลายเป็นหิน และหินลักษณะนี้ ในบริเวณใกล้เคียง เท่าที่ผมสังเกตุดู ก็ไม่ปรากฏหินที่มีลักษณะเหมือนกันอีกเลย ผมเลยอธิฐานขอเอามาไว้บูชาติดตัว ก็คุ้ยๆดูตามพื้นรอบก้อนหินใหญ่ ก็ได้มาพอสมควร
และผมยังได้ขึ้นไปเอามาอีก 2 ครั้ง เพื่อเอามาทำมวลสารที่จะสร้างพระเครื่องถวายหลวงปู่ หินนี้แปลกเมื่อบดเป็นผงแล้วลื่นเหมือนแป้ง และหินก็มีน้ำหนักมาก ผิดหินขนาดเดียวกันทั่วไปครั้งสุดท้ายที่ผมขึ้นไปเอาก็ปี 2550 ได้ก้อนใหญ่ที่สุด เอามาถวายให้ท่านพระป๋องสร้างรูปหล่อเนื้อว่านรุ่นแรกของหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่สั่งให้สร้างด้วยตัวท่านเอง
ข้าวสารหินครั้งนึงหลวงปู่ท่านเรียกเข้าไปหา แล้วบอกให้ไปเอากระป๋องสังฆทาน ที่อยู่ใต้โต๊ะหมู่บูชาข้างที่ท่านนั่งรับแขกมา พอผมไปเอาออกมาตามที่ท่านสั่ง ก็เห็นว่าในกระป๋องอยู่ 2 ใบ มีข้าวสารหินบรรจุอยู่ค่อนกระป๋อง หลวงปู่ท่านบอกว่า….ให้เอาไปไว้ทำพระ นี่หลวงปู่เสกมากว่า 2 ปีแล้ว… ดี.. ม๊าก.. มาก
แร่บางไผ่ หลวงปู่จัน วัดโมลี ใช้สร้างพระปิดตาซึ่งสร้างมากว่า 150 ปีมาแล้ว ประสบการณ์พุทธคุณยอดเยี่ยม เป็นที่เสาะแสวงหากัน และยากที่จะมีไว้ครอบครอง ลุงกุ๊กกรุณาแบ่งปันมาร่วมบุญด้วย ด้วยความที่ลุงกุ๊กช่วยวัดนครอินทร์ สร้างพระแร่บางไผ่มาแต่ต้น และเคยไปร่วมเก็บแร่กับทางวัด ลุงกุ๊กเคยเล่าให้ฟังว่า แร่บางไผ่ เป็นของแปลก หลอมเหลวได้ในอุณหภูมิที่พอดี ถ้าร้อนไปจะระเบิดเหลือแต่ขึ้เถ้า และหนีได้เคลื่อนไหวได้ถ้าอยู่ในแหล่งที่แร่อาศัยอยู่ ลุงกุ๊กเคยงมได้แร่บางไผ่ก้อนนึง เมื่อเอามือควานลงไปก็ทราบว่า ก้อนใหญ่มากแต่พอเอาสองมือขุดดินก็ปรากฏว่าแร่ก้อนนั้นไหลหนีเข้าไปในดินที่ลึกลงไปได้ จนที่สุดหักมาได้แค่ส่วนนึงของก้อนใหญ่เท่านั้น ส่วนก้อนใหญ่นั้นหนีจมลงไปในดิน
ผงพุทธคุณของ วัดนครอินทร์ จ.นนทบุรี มวลสารหลักคือแร่บางไผ่อันโด่งดัง และ ได้ผงพรายกุมารและพระขุนแผนพรายกุมารชำรุดจำนวนมากจากลูกเขยของ ลุงสาย แก้วสว่าง
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=429962
ผงพุทธคุณหลวงพ่อฑูรณ์ วัดโพธินิมิตร ตลาดพูล
ประกอบด้วยผงพุทธคุณทั้ง 5 ประการ (ปัถมัง อิทธิเจ ตรีนิสิงเห พุทธคุณ มหาราช) ที่หลวงพ่อฑูรณ์ท่าน ลงและลบเอง มีอานุภาพครอบจักรวาล หาผู้ที่เรียนได้สำเร็จน้อยมาก (อีกองค์ที่สำเร็จ คือ หลวงปู่ทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง)
รวมถึงผงพุทธคุณของ สมเด็จพระพุฒาจารย์(นวม) พระอาจารย์ของท่าน ไปขอจากพระเถระที่ให้ความเคารพสนิทสนมกัน เช่น หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ (วัดทั้ง 3 อยู่คนละฟากคลอง)
และท่านยังได้รับมอบผงวิเศษในการสร้างพระ ของเกจิรุ่นเก่า เช่น
หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ
ผงของสมเด็จฯนวม
เนื้อพระกรุที่แตกหัก อาทิเช่นพระผงสุพรรณ พระขุนแผน วัดพระรูป วัดบ้านกร่าง (ท่านเป็นคนสุพรรณ)
ผงตะไบพระเนื้อชินแตกหักกรุต่างๆโดยเฉพาะกรุวัดราชบูรณะ
ผงพระสมเด็จวัดระฆัง
พระกรุวัดสามปลื้ม ที่แตกหัก,
ผงตะไบพระกริ่งของเจ้าคุณศรี (สนธิ์),
ผงตะไบ ชนวนพระ 25 พุทธศตวรรษ,
กระดาษสาลงยันต์ 108 ตาม ตำรับการสร้างพระกริ่งวัดสุทัศน์,
ดินจากสังเวชณียสถานและ
อื่นๆตลอดจนว่านยา 108
ซึ่งผงพุทธคุณในส่วนนี้ได้เก็บรักษาไว้ในกุฏิของหลวงพ่อฑูรณ์ มาตั้งแต่สมัยท่านยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ ตามที่ลุงกุ๊กย้ำนักหนาก็คือผงพุทธคุณวัดโพธินิมิตรนี้มีคุณมาก เพราะผสมผสานผงพุทธคุณคุลีเพิ่มเติมกันมาโดยตลอด ในสมัยที่หลวงพ่อฑูรณ์ท่านยังอยู่ หลวงพ่อฑูรณ์และสหธรรมมิกของท่าน(หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน ฯลฯ)ก็แวะเวียนมาอธิฐานจิตวัตถุมงคล ก็โยงสายสิทธุ์มาปลุกเสกผงพุทธคุณนี้ด้้วยมาโดยตลอด ลุงกุ๊กมีความสนิทสนมกับทางวัดมานาน จึงได้รับเมตตาแบ่งผงพุทธคุณมา เพื่อเอาไว้ทำประโยชน์ให้พระศาสนา ซึ่งผมก็ได้เมตตาจากลุงกุ๊ก สุขสันต์ พรจินดา มาอีกทอดนึง ซึ่งในส่วนนี้ลุงกุ๊กให้มาเยอะพอดูทีเดียว ประมาณ 1 กาละมังใบย่อมๆ
ผงพุทธคุณสร้างพระพิมพ์สมเด็จ รุ่นญาณวิลาส หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี
http://yooption559.blogspot.com/2013/08/blog-post_9173.html
สำหรับพระผงของหลวงพ่อแดง ที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมากๆรุ่นหนึ่งคือ พระผงญาณวิลาศ เป็นพระที่ลูกศิษย์ตั้งใจทำถวายโดยรวบรวมมวลสารศักดิ์สิทธิ์จากที่ต่างๆทั่วทุกภาคของประเทศไทย ประมาณ 300 กว่าวัด โดยได้นำมวลสารเก่าๆที่หลวงพ่อแดง เก็บไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2489 มาเป้นส่วนผสม พระผงญาณวิลาศได้เริ่มดำเนินการสร้างตั้งแต่ปี 2509 มาออกให้บูชาอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2514 สำหรับผงมวลสารเท่าที่ทราบประกอบด้วย
1. ชิ้นส่วนพระสมเด็จวัดระฆังและบางขุนพรหมที่ชำรุด
2. ปูนจากส่วนที่เป็นอุณาโลมของหลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร
3. ผงพระวัดเงินคลองเตย
4. ผงพระวัดสามปลื้ม
5. ผงพระหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก
6. ผงพระหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ปี 2497
7. ผงดินที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนาและที่ปรินิพพาน
8. ทองคำเปลวที่ติดเสาหลักเมืองจังหวัดต่างๆ หลายจังหวัด
9. ดินใจกลางเมือง “ชัย” 9 แห่งคือ ชัยภูมิ ชัยนาท พิชัย ชัยบาดาล เด่นชัย ไชยา มหาชัย นครไชยศรีและหริภุญไชย
10. ผงตะไบเหล็กยอดปราสาท ยอดเจดีย์ เหล็กบ่อน้ำพี้ เหล็กตรึงปั้นลม ฯลฯ
11. ดินโป่ง 7 โป่ง ดินท่า 7 ท่า
12. น้ำพระพุทธมนตร์และเทียนชัย พุทธาภิเษกจาก 109 วัด
13. ว่าน 108
14. ผงตะไบชนวนพระกริ่งเก่าต่างๆ เป็นต้น
มวลสารที่สร้างพระพิมพ์สมเด็จ รุ่น ญานวิลาส นี้ลุงกุ๊กได้รับจาก ท่านพลตำรวจโท ประสงค์ เจิมพร โดยตรง ทุกวันนี้พระรุ่น ญานวิลาส และ ผงมวลสารที่ใช้สร้างที่เหลือ อยู่ที่วัดธรรมยุติแถวๆบางลำภู และ ยังได้รับกระแสพุทธคุณเพิ่มพูนขึ้นทุกครั้งที่มีพิธีพุทธาภิเษก เพราะอยู่ที่??? หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ สุดยอดพระเมืองเพชรฯ อีกองค์หนึ่ง ที่มีประสบการณ์ขนาดเล่ากัน 3 วันไม่จบ
ผงรักทองพระประฐาน วัดกษัตราธิราช อยุธยา
ผงรักทอง พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ วัดสุทัศน์
ลุงกุ๊ก หรือ ลุงสุขสันต์ พรจินดา คือ ลูกศิษย์หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ คนนึง ลุงกุ๊กเป็นกุ๊กอาหารยุโรปรุ่นเก๋าที่ ผ่านงาน ผ่านวัย ผ่านชีวิต และ เรื่องราว มามากมาย แต่เมื่อถึงวัยปลดเกษียณแล้ว ด้วยความเป็นคนใจบุญสนใจเรื่องพระตั้งแต่ยังหนุ่ม ประกอบกับรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่หลายๆท่านที่ท่านชอบสร้างพระเช่นกัน ลุงกุ๊กจึงได้รับแบ่งและแลกเปลี่ยนผงวิเศษนานาประการมาเก็บสะสมไว้ หลายชนิดจนเวลาผ่านมานานหลายปี จึงมอบส่วนหนึ่งมาร่วมทำบุญกับหลวงปู่ท่านด้วย เขียนไปเขียนมา อ่านไปอ่านมา คิดถึงลุงกุ๊กขึ้นมาซะอย่างนั้น
*ด้วงเลียบชุดสุดท้ายรวมถึงองค์ใหญ่ที่เก็บไว้บูชา ตอนนี้ได้นำไปถวาย ครูบากฤษดา วัดสันพระเจ้าแดง เพื่อบรรจุไว้ใต้ฐานหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่ทางวัดจะจัดสร้างขึ้น ครูบาท่านบอกว่า…..ของนี้เหมือนมีชีวิต มีความศักดิ์สิทธิ์ จะเอาไว้บรรจุใต้หลวงปู่ทวด ของๆท่านก็เอาคืนให้ท่าน…….
**โรงงานพระเครื่องเขาจะไม่ใส่มวลสารที่ผู้ว่าจ้างจัดเตรียมไปให้ เยอะตามที่เราต้องการหรอกครับ เพราะมวลสารจะมีผลต่อสูตรปูนที่โรงงาน ที่ได้ผสมอย่างมีสัดส่วนพอเหมาะแล้ว ถ้าเอามวลสารมาใส่เพิ่มเกิดผิดสูตร จะเกิดความเสียหายได้ครับ จะทำพระผงโดยการว่าจ้างโรงงานก็ต้องทำใจครับ
ผมเองยังต้องเสียน้ำอมฤตไปหลายขวด เพื่อเป็นเครื่องเซ่นให้ช่างที่รับผิดชอบงานของผม ผสมเนื้อพระออกมาให้ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งเห็นแล้วก็เข้าใจว่าการใส่มวลสารเยอะนี่ มันทำยากจริงๆ แก้กันหลายรอบมาก พอปั๊มเสร็จถ้าช่างรีบเอาพระผึ่งโดนลมโดนแดดสีก็จะซีดหมด ต้องเอาอะไรปิดบ่มไว้สัก 2-3 วันถึงผึ่งลมได้ ตรงนี้ก็ใช้กำลังภายในไปอีกมากเอาการ
***ผมมีปัฐวีธาตุที่หลวงปู่ท่านอธิฐานจิตให้อยู่จำนวนหนึ่ง ในปีนี้ 2559 ทางวัดสันพระเจ้าแดง ซึ่งมีครูบากฤษดา สุเมโธ เป็นเจ้าอาวาส ได้บูรณะเจดีย์ครูบาท่านบอกบุญกับผู้มีจิตศรัทธาว่า ต้องการสิ่งมงคลเพื่อบรรจุในพระเจดีย์ ผมจึงนำเอาปัฐวีธาตุของหลวงปู่ไปถวาย
เมื่อวันที่เอาไปพอท่านเห็นผม ก็รีบเรียกให้ลัดคิวเข้าไปก่อน พอถวายและบอกเล่าว่าอะไรคืออะไรกับท่านเสร็จ ท่านก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คุยไปประเดี๊ยวก็เอาปัฐวีธาตุมาดู ดูแลัวก็วาง สักพักก็เอามาดู เอานิ้วเกลี่ยไปมา สักพักท่านก็เอาปัฐวัธาตุ 1 เม็ดจากในถุง หย่อนลงในบาตรน้ำมนต์ข้างตัวท่าน ครูบาท่านบอกว่า …..หลวงปู่หงษ์ เป็นพระอริยะบุคคล ……..สาธุ
หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยรู้จักหลวงปู่ในแง่ของพระขลัง และขมังพระเวท นั่นเป็นเรื่องจริงครับแต่หลวงปู่ท่านเคยพูดในอีกแง่มุมนึงให้ผมฟังว่า….หลวงปู่เสกพระไม่ให้เขาผิดศีลไม่ให้เขาทำบาป……(เสกให้เขาฆ่ากันไม่ตาย เสกให้กำบังให้เขามองไม่เห็น เขาจะทำร้ายกัน ขโมยของกัน ก็มองไม่เห็น ก็ทำผิดศีลไม่ได้)
หลวงปู่ฯ ท่านพูดให้ฟังเสมอ ๆ ว่า
…..ครูบาอาจารย์ถ้ารักลูกศิษย์แล้วต้องให้ลูกศิษย์ถือศีล …….
ถ้าให้แต่ของขลังไปแล้ว บอกแต่ว่าของนี้ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก ลูกศิษย์ที่ดีก็มีที่ไม่ดีก็ต้องมีปะปนมา และพวกนี้ที่เอาของขลังทั้งหลายไปก่อกรรมทำชั่ว เกะกะระรานเกเรสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน และสุดท้ายก็สร้างเวรก่อกรรมมากต่อมาก กรรมเวรเหล่านั้นก็จะมาถึงครูบาอาจารย์ด้วยในที่สุด เพราะไม่ได้สั่งสอนลูกศิษย์ให้เป็นคนดีแต่แรก อย่างหลวงปู่ ฯ ท่านๆจะบอกก่อนเลยว่าของ ๆ ท่านต้องถือศีล ถ้าถือศีลไม่ได้ก็ไม่ต้องเอาไป
แต่อย่างไรก็ตามเท่าที่ได้รู้ได้เห็น คนที่โดนอะไรหนัก ๆ (หนักจริง ๆ)ทั้งหลายก็เป็นคนที่ดื่มสุราเป็นอาจิณต์ครับ บางคนถูกยิงไม่เข้าก็มาเรียนหลวงปู่ฯ ท่าน ๆ ก็ถามว่าดื่มเหล้าหรือเปล่า เขาตอบว่าดื่ม หลวงปู่ ฯ ท่านก็ตอบต่อไปว่า
…….นี่ถ้าไม่ดื่มเหล้าปืนยิงไม่ออกดอก …….
ก็เล่าเท่าที่ทราบให้พิจจารณากันนะครับเราได้ฟังก็มาคิดดูก็จริงของท่านแฮะ ท่านมีความคิดข้ามหัวเราไปไม่รู้เท่าไหร่ ท่านมองทะลุถึงแก่นแท้จริง ๆ
ที่จริงยังมีพระหลวงปู่อีกมากที่คนไม่รู้จัก บางรุ่นมีอภินิหารย์เหลือเชื่อ แต่ไม่มีใครรู้จักก็มีเยอะ อย่างรุ่น วัดราชบูรณะสร้าง เด็กน้อยโดนรถเบนซ์(หนักมาก) ทับแต่ไม่เป็นอะไรเลย พ่อแม่เด็กยังพาเด็กมากราบหลวงปู่ตอนท่านเข้าโรงพยาบาล สมิติเวช ผมก็อยู่ในตอนนั้นด้วย
หรือตะกรุด 12 ดอกที่พระที่วัดจารแล้วเอามาขายหลวงปู่ หลวงปู่ท่านเสกแค่ 5 นาที 10 นาที ลุงสุเมือยโดนปืนลูกซองยิงยังไม่โดนเลย(กระสุนออกแต่แตกเป็นลูกไฟก่อนถึงตัวหมด)
หรือพระ รุ่น “ใจรวมใจ”ที่ครอบครัวท่านพระป๋องสร้าง แจกไปกับซองผ้าป่าไม่กำหนดราคาค่างวดอะไร ถ้าใครกล้าขอก็กล้าให้ไม่มีข้อแลกเปลี่ยน คนที่บูชาโดนแทงด้วยขวดปากฉลามไม่เข้าก็ปรากฏให้เห็นมาแล้ว หรือแม้แต่สายสินธุ์แค่เส้นเดียวก็ยังทำให้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และคณะทึ่งในอานุภาพมาแล้ว
และยังมีอีกเยอะที่มีคนที่เจตนาบริสุทธิ์และสร้างถวายหลวงปู่ด้วยศัทธา ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น ซึงของหลวงปู่นั้น ถ้าเสกแล้วล้วนแล้วแต่ขลังแท้ และแน่นอนที่สุดทุกสิ่งทุกอันไป แต่ถ้าชิ้นไหนอันใดไม่ได้ให้หลวงปู่ท่านเสก คนสร้างเสกเองล่ะก็ ………….ครับ
เกี่ยวกับกุมารของหลวงปู่ฯท่านมาเล่า เมื่อก่อนนี้ผมเคยปั้นกุมารจากดินอาถรรพ์ไว้หลายองค์ และได้ถวายให้หลวงปู่ท่านเสกให้ ก็ตามประสาคนใจง่ายเพื่อน ๆ เขารู้เข้าใครขอเราก็ให้ไป จนเหลือองค์สุดท้าย ปั้นเองเอาแค่พอดูรู้ว่าเป็นตุ๊กตารูปคน ไม่ใช่อย่างอื่นก็ถือว่าใช้ได้ละ
องค์สุดท้ายนี่บูชาเลี้ยงดู มานานพอสมควรก็เงียบจนลืมไปเลย แต่ก็เลี้ยงอยู่ไม่เคยขาด จนมาวันนึงได้ฝันไปว่าไปที่บ้านทรงไทยหลังหนึ่ง แล้วไปเดินเล่นบริเวณบ้านพอเดินลัดเลาะลังจะเลี้ยวเข้าตรงหัวมุมอาคาร ก็เห็นว่ามีเด็กอ้วนมาแอบมองอยู่ที่มุมตึก ทำท่าเหมือจะเล่นซ่อนหากับเรา เราเองเราก็ชอบ(แกล้ง >”<)เด็กอยู่แล้ว พอเห็นเขามาแอบอยู่ ก็เลยวิ่งไล่ตามหลังไป ก็สังเกตุเห็นอย่างนึงว่า ที่กลางหลังบริเวณก้นกบของเด็กนั่นมีปานดำดวงใหญ่เท่ากำปั้นติดอยู่
พอผมวิ่งตามทันก็กอดปล้ำเล่นเจ้าเด็กอ้วนนั่น กอด ปล้ำ เล่นจนเราตื่น ก็มานึกว่านี่ เราฝันบ้าอะไร ก็มานั่งลำดับดูก็จำได้หมด ก็ไม่คิดอะไรจนวันต่อมาไม่นานนักหลังจากฝันได้ทำความสะอาดหิ้งพระ ก็เอากุมารลงมาดู ดูไป ดูมา พอพลิกด้านหลังดูก็เห็นตราประทับเป็นรูปยันต์กันอาวุธ เราก็มานึกถึงที่เราฝัน ก็แปลกใจว่าเออ ตราประทับที่เราประทับไว้บนกุมารนั้น เป็นตำแหน่งเดียวกับปานบนหลังเจ้าเด็กอ้วนในฝันเราเลยแฮะ
หลวงปู่ ฯ ท่านเคยพูดเสมอ ๆ ว่าเดี๋ยวนี้คนฆ่ากันตายน้อย(เมื่อ 5-6ปีที่แล้ว) รถชนกันตายเยอะกว่า ผมเห็นด้วยเพราะผมเองก็เจอเรื่องรถกับหลวงปู่ฯท่าน มาหลายหน
เมื่อก่อนผมมีธุระต้องไปทำงานแถวม.รามคำแหงเสมอ แถวหน้ารามนั้นจะมีท่ารถเมล์ อยู่และก็จะมีเส้นถนนขีดเป็นเส้นแนวยาวกั้นไว้ คืนนั้นฝนตกพรำ ๆ ผมก็ขับรถไปตามปกติ พอมาถึงหน้าราม รถเมล์คันที่ขับอยู่ข้างหน้าผม ก็หยุดเพื่อจะเข้าจอดป้าย ผมซึ่งขับรถมอเตอร์ไซค์ตามหลังมาก็เบรครถชลอ ก็พอดีว่าไปขับทับเส้นที่ขีดยาวกั้นสำหรับป้ายรถเมล์ไว้พอดี
รถก็ส่ายเพราะลื่นมาก (เรื่องเส้นขีดกั้นถนนลื่นเวลาเจอน้ำนี่ผมเจอหลายครั้งแล้วลื่นมากต้องระวังครับ) เบรคแล้วรถไม่ยอมหยุดไถลไปกำลังจะชนท้ายรถเมล์ในใจก็นึกถึงหลวงปู่ฯท่าน ทันใดนั้นเองก็มีความรู้สึกเหมือนมีมือขนาดใหญ่มาจับท้ายรถให้ค่อย ๆ หยุดส่ายและค่อย ๆ หยุดลง ห่างจากรถเมล์ไปไม่กี่มากน้อย ……นึกว่าจะไม่รอด
อีกครั้งเมื่อตอนขับรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านตอนกลางคืนคืนนั้นง่วงมาก ๆ จำได้ว่ากำลังข้ามสะพานกรุงเทพ พอใกล้จะถึงตีนสะพานก็วูบไป(หลับใน) มารู้สึกตัวอีกทีก็จะถึงตีนสะพานอีกฝั่งนึง แล้วพอได้สติก็เอามือตบอกที่ห้อยพระอยู่ทันที นี่ครูบาอาจารย์คงคุ้มครองอีกครั้ง …ขับข้ามสะพานมาได้ทั้งที่หลับใน….แปลก ม๊าก มาก
หรืออย่างลูกศิษย์หลวงปู่ท่านนึง(ไม่สนิทกันขอไม่เอ่ยชื่อครับ)ขับรถไปทำธุระที่สระแก้ว พอขับไปใกล้จะถึงแล้ว ก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่ใต้ท้องรถก็จอดรถเพื่อจะดู แกเล่าว่า พอจอดรถ รถก็ยุบลงไปข้างนึง พอออกไปดูก็ปรากฏว่ายางแตกไป 1 เส้น แต่ยางเกือบจะไม่เหลือแล้ว เหลือแต่ตัวล้อเหล็กเท่านั้น แกว่าแกได้เกษาหลวงปู่ ฯ ท่านมาหน่อยนึงแกจึงเอามาใส่กรอบเลี่ยมไว้หน้ารถ กับสติ๊กเกอร์รูปท่านเท่านั้นครับ
ครั้งนึงหลวงปู่เล่าให้ฟังว่า มีลูกศิษย์ท่านคนนึงเป็นคนขับรถรับจ้าง มีพระหลวงปู่ท่านติดตัวอยู่ วันนึงขับรถไปติดไฟแดงอยู่ ขณะที่กำลังรอไฟแดงนั้น ได้ยินเสียงดังตูม แล้วก็เห็นรถพุ่งมาจากทางข้างหลังแก แล้วเลี้ยวไปชนรถคันข้างหน้า พอทุกอย่างสงบก็ลงไปดูว่า เกิดอะไรขึ้น ก็ได้ความว่ารถคันหลังแกก็คือคันที่พุ่งผ่านรถแกไปชนรถคันหน้า ได้ถูกรถคันหลังถัดไปเสียหลักพุ่งมาชนตามหลักน่าจะชนรถแก แต่กลายเป็นว่ารถมันอ้อม ไปชนรถคันหน้า แปลกจริง ๆ …พอเล่าจบหลวงปู่ก็บอกว่า …รถมันอ้อมไปชนคันหน้าได้ แปลก ม๊าก มาก
ลูกศิษย์หลายท่านที่เคยนิมนต์หลวงปู่ ฯ ท่านไปจำวัดที่บ้าน เพื่อความเป็นสิริมงคล ท่านก็เมตตาไปให้มีอยู่ครอบครัวหนึ่งก็ได้นิมนต์หลวงปู่ ฯ ท่านไปจำวัดที่บ้านเช่นเดียวกับครอบครัวอื่น ๆ โดยจัดห้องที่พักและจัดเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับหลวงปู่ ฯ ท่านเป็นสัดส่วนโดยเฉพาะ
รวมถึงพวก จาน ชาม ช้อน ส้อม แก้วน้ำ ฯลฯ เพื่อที่เมื่อหลวงปู่ ฯ ท่านกลับไปแล้วจะได้เอาไว้บูชาเป็นที่ระลึก ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่ก็มีเรื่องไม่ปกติธรรมดาเกิดขึ้นจนได้ จนต้องเอาของที่เป็นต้นเหตุของเรื่องไม่ธรรมดา มาถวายให้หลวงปู่ท่านดู ของนั้นก็คือ แก้วน้ำ ใบหนึ่งและเป็นแก้วน้ำที่ตรงก้นแก้วมีรอยร้าวพาดผ่านจากด้านนึงไปอีกด้านนึง
ก็ได้รับทราบความว่า เมื่อก่อนหน้านี้ได้นิมนต์หลวงปู่ ฯ ท่านไปจำวัดที่บ้าน ก็ได้จัดข้าวของเครื่องใช้ถวายท่านตามปกติ และก้ได้เก็บของเหล่านั้นไว้บูชาต่อไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะด้วยเหตุใดมิทราบได้ มีคนเอาแก้วน้ำที่ท่านเจ้าบ้านได้ถวายให้หลวงปู่ ฯ ท่านใช้ไปใช้ต่อ พอยกแก้วขึ้นดื่มน้ำก็ปรากฏว่าก้นแก้วร้าวดัง เพี๊ยะ ทันทีจึงเอามาพูดกัน ในสมาชิกครอบครัว
ท่านเจ้าบ้านพอเห็นแก้วแล้วก็จำได้ว่า เป็นแก้วใบที่เคยถวายให้หลวงปู่ ฯ ท่านใช้ จึงเกิดความอัศจรรย์ใจ พอมีวันว่างก็รีบเอาแก้วน้ำมาถวายให้หลวงปู่ ฯ ท่านดู หลวงปู่ ฯ ท่านก็ยิ้ม ๆ ไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้ม ๆ เท่านั้น เป็นคำอธิบายของหลวงปู่ฯท่าน
ในปี 2545 ผมและคุณวีรพงษ์ แซ่เตี้ย รวมถึงลูกศิษย์อีกหลายท่าน มีเฮียเบ็นซ์ ท่านพระป๋อง ลุงกุ๊ก ได้จัดพิธีลงกระหม่อมถวายหลวงปู่หงษ์ท่าน รายได้ทุกบาททุกสตางค์ไม่หักค่าใช้จ่าย ถวายให้หลวงปู่หมด และได้ทำพระเครื่องไว้แจกจ่ายให้กับผู้มาร่วมพิธีด้วย ในพิธีครั้งนั้นได้สร้าง พระสามทวดอันประกอบด้วย หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่หงษ์ วัดเพชรบุรี
และได้สร้างพระพิฆเณศวร ขึ้นมาเพื่อแจกเป็นที่ระลึกด้วย พระพิฆเณศวรนี้เมื่อแรกยังตัดสินใจว่าจะสร้างดีหรือไม่ ก็ได้โทรปรึกษากับท่านพระป๋อง ขณะที่กำลังถกกันว่าจะสร้างดีหรือไม่สร้างดี คนในบ้านผมก็เอะอะขึ้น ผมเลยออกไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น เมื่อออกไปดูก็ต้องแปลกใจเพราะมี นกแก้วมาคอว์สีขาวตัวใหญ่มาก บินมาจากไหนไม่ทราบ มาเกาะอยู่บนหลังคารถในโรงจอดรถ
ผมก็ไม่สนใจอะไรมาก เลยกลับมาคุยโทรศัพทย์กับท่านพระป๋องต่อ พอเล่าให้ท่านพระป๋องฟังเรื่องนก ท่านพระป๋องก็บอกว่า….พี่ตัวละเป็นหมื่น….ผมเลยตะโกนบอกคนในบ้าน ทีนี้ไล่จับกันใหญ่เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง ก็เคยได้ข้อสรุปว่า…..ตกลงสร้าง…เพราะเหมือนครูบาอาจารย์มาให้นิมิต
ในวันพิธีที่จัดขึ้นใน วันที่ 9-10 สิงหาคม 2545 ในวันที่ 9 เป็นพิธีลงกระหม่อม และวันที่ 10 เป็นพิธีอธิฐานจิตวัตถุมงคล ซึ่งวัตถุมงคลก็อยู่ท่ามกลางบายศรีในพิธีนั้นตลอด 2 วัน ทุกอย่างก็สำเร็จเรียบร้อยไปด้วยดี ตามที่พวกเราตั้งใจ แต่หลังจากวัันงาน ก็มีผู้ที่ไปร่วมพิธีบางท่าน เมื่อเจอหน้าผมก็ถามว่าผมมีโชคมั๊ย ผมก็บอกว่าไม่มี สหายท่านนั้นก็บอกเค้ามีโชคลาภพอควร เพราะบารมีหลวงปู่ท่าน ผมก็สงสัยเลยถามกลับไปว่า เอาโชคลาภมาจากทางไหน สหายท่านนั้นตอบกลับมาอย่างฉะฉานว่า …แหม…ก็จัดงานวันที่ 10 เดือน 8 ก็ 108 ไง ก็นะผมไม่มีหัวทางนี้เลยไม่มีโชคลาภกับเค้า แต่ก็ดีใจด้วยนะครับ
เคยได้ยินพวกลูกศิษย์รุ่นเดียวกันกับผม คุยให้ฟังหลายคนว่า หลวงปู่ท่านมีวิชาเสกท่านปลัดอยู่แต่ท่านไม่เสก และไม่เคยเต็มใจเสกให้ใคร เพราะท่านไม่ชอบเวลาถ้าใครไปขอทำปลัด ท่านก็จะบอกว่า
……..ทะลึ่ง ไม่ชอบ….
พวกเราก็เลยพับโครงการท่านปลัดเอื้ออาทรไป แต่ก็มีพระทางชลบุรี-ระยองที่มาพักอยู่กับหลวงปู่ท่าน ได้แอบเอาปลัดขิกเข้าไปฝากในเขตบายศรีเวลาเขามาลงสาริกาเหมือนกัน และเท่าที่ทราบไม่ว่าใครได้ท่านปลัดชุดนี้ไปก็จะฝันแปลก ๆ กันทุกคน (ฝันว่า….??)
และก็มีลูกศิษย์ที่คอยติดตามหลวงปู่ ฯ ท่านไปทุกที่ อยู่คนชื่อนายบูรณ์ คนนี้ก็เป็นหลานหลวงปู่ ฯ ท่านคนนึง นายคนนี้ตามหลวงปู่ไปทุกที่ มีครั้งนึงแกเล่าให้ฟังว่า แกไประนองกับหลวงปู่ท่าน คนเขาให้ท่านปลัดหลวงพ่อยิด มา 2 ดอก เป็นกระดูกปลาพยูน แล้วแกก็เอาปลัดที่ได้มาร้อยไว้กับกุญแจต่าง ๆ ในพวงกุญแจมาโชว์ให้ดู แล้วแกก็เล่าว่า
….พี่ ตอนนั้นผมนอนเฝ้าหลวงพ่อ(บูรณ์เรียกหลวงปู่ว่าหลวงพ่อ) พอหลวงพ่อตื่นผมก็ลุกขึ้นมาสวดมนต์ผมก็เอาพวงกุญแจที่ผมถอดเอาวางไว้ข้างที่นอน มาวางไว้ข้างหน้าบนยกพื้น ข้าง ๆ ที่นอนหลวงพ่อ ผมกำลังง่วง ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง แคร็ก ๆ ๆ ก็ลืมตาดูเห็นพวงกุญแจมันขยับได้ ก็นึกได้ว่ามีปลัดขิก หลวงพ่อท่านก็หันมาดูผมเลยรีบเก็บมาใส่กระเป๋าไว้ กลัวหลวงพ่อจะว่าเอา ผมเลยเชื่อว่าหลวงพ่อท่านก็เสกปลัดขิกให้เคลื่อนไหวได้ พี่ลองขอหลวงพ่อทำปลัดขิกแล้วมาแบ่งกันสิ ….
ผมเองก็อยากได้อยู่นะเพราะรู้เรื่องที่หลวงพี่จาก จ.ระยอง เอาปลัดขิกมาซุกไว้ในพิธิพอเอามาแจกกันยังได้เรื่อง พอดูโอกาศเหมาะก็เข้าไปกราบเรียนท่าน ขออนุญาตเอาปลัดขิกมาให้ท่านเสกให้ หลวงปู่ท่านก็ว่า….อึ้…ทำมา….แต่ผมสังเกตุก็รู้ว่าท่านไม่เต็มใจเท่าไหร่ ก็เลยพับโครงการปลัดเอื้ออาทรไปเป็นการถาวร
ครั้งนึงเพื่อนของเฮียที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ฯของเรา ไปกราบหลวงพ่อเปิ่นที่วัดบางพระ พอดีว่ามีคนเขาพาผู้ที่ถูกคุณไสยมีอาการเหมือนผีเข้ามาให้หลวงพ่อเปิ่น ท่านรักษา พอหลวงพ่อเปิ่นท่านทราบเรื่องท่านก็นิ่งไปสักครู่ ท่านก็หันมาพูดกับเพื่อนของเฮีย(ลูกศิษย์หลวงปู่ฯเรา) ว่า
….เออ มีปากกาอาจารย์หงษ์ใช่มั๊ยเอามาลองไล่ดูซิ….
เพื่อเฮียคนนั้นก็กลัว ๆ กล้า ๆ พอหลวงพ่อเปิ่นท่านย้ำอีกที จึงเอาปากกาออกมาตั้งจิตอธิฐานและเดินไปใกล้ ๆ คนที่โดนของ คนที่โดนของนั้นก็ล้มลงไปนอนแน่นิ่งทันที และทราบตอนหลังว่าได้หายเป็นปกติดี
หลวงพ่อเปิ่น เทพเจ้าแห่งวัดบางพระเป็นพระคุณเจ้าอีกรูปที่หลวงปู่ท่านถามถึงบ่อย ๆ ยิ่งเมื่อตอนที่หลวงพ่อเปิ่นจะมรณะภาพ และเข้าโรงพยาบาล หลวงปู่ท่านก็ถามถึง และอีกองค์ก็คือหลวงพ่ออุตตมะ อุตตมะรัมโภ เป็นพระคุณเจ้าอีกรูปที่หลวงปู่ท่านดูจะเป็นห่วงและถามถึงเสมอ ๆ
แม้แต่ตอนที่ หลงพ่ออุตตมะ มาเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฏ หลวงปู่ฯ ท่านก็ได้ตามมาเยี่ยมหลวงพ่อ ฯ ด้วยเช่นกันท่านเหล่านี้เป็นผู้วิเศษ ที่มีใจผูกพันกัน และมีคุณธรรมและคุณวิเศษเป็นที่ประจักษ์ทั้งสิ้น
…นะเมติ….
พระคาถาบทนี้เป็นคาถา ประจำสำนัก ที่ไว้ให้ศิษย์ภาวนาเวลาจะสื่อกับครูบาอาจารย์ หลวงปู่ท่านเคยบอกว่า
…..เราภาวนา นะเมติ นี้หนาสะเทือนขึ้นไปถึงพรหมโลก…..
หมายถึง นะเมติ นี้ถ้าเราภาวนาจะสื่อไปถึงสุดแดน ครูบาอาจารย์ผู้สถิตย์อยู่บนชั้นพรหมโลก
และความหมายของ นะเมติ นี้หลวงปู่ท่านบอกว่าหมายถึงรสน้ำนมแม่พระธรณีย์ คืออาหาร พืชพันธุ์ ข้าว น้ำต่าง ๆ ที่เลี้ยงดูทุกสรรพชีวิต อย่างไม่ลำเอียง ใครจะปลูก ใครจะหว่าน ใครจะเก็บเกี่ยว เอาไปกินไม่ว่า คนหรือสัตว์ ไม่ว่าคนรวยหรือคนจน พระสงฆ์ เณร ชี หรือ มหาโจร คนต่ำทราม แม่พระธรณีย์ก็ไม่เคยรังเกียจมีคุณให้การเลี้ยงดูเท่า ๆ กันหมด แล้วแต่ใครจะเก็บเกี่ยวใช้สอยได้มากเท่าใด
นะเมติ รสน้ำนมแม่พระธรณีย์ นี้จึงเปรียบเหมือนคุณครูบาอาจารย์ ที่ไม่เคยรังเกียจเดียจฉันท์ ลูกศิษย์คนใด ที่เคารพนับถือ คอยอุดหนุนค้ำชูดูแลรักษา ดุจสายใยพันผูกแม่กับลูก
และเคยได้ยินหลวงปู่ ท่าน กล่าวสอนในเรื่องของข้อห้ามในการดื่มเหล้าเสมอ คือดื่มเหล้าท่านและครูบาอาจารย์จะช่วย 3 ครั้ง แต่ถ้าช่วยพ้น 3 ครั้งแล้วยังดื่มอีกหลวงปู่ท่านและครูบาอาจารย์ จะปล่อยไปตามเวรตามกรรม แต่ที่ห้ามยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือ ห้ามเล่นชู้กับเมียชาวบ้าน ถ้าทำท่านและครูบาอาจารย์จะช่วยแค่ครั้งเดียว แล้วต่อมาเวลามีภัยท่านจะปล่อยไปตามกรรมเช่นกันครับ ขอให้โชคดี
หลวงปู่ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่นานเท่าไหร่มานี้ มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งมาบูชาสีผึ้งที่สุสานตลับละ 50 ไป ต่อมาไม่นานเธอก็กลับมาเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญที่ได้ประสพถวายให้หลวงปู่ ฯ ท่านฟัง เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเธอได้สีผึ้งไปเธอก็กระหยิ่มยิ้มย่องเอาไป ทาปาก ทาคิ้ว ไล้ผม ตามสูตร
ไม่นานก็มีหนุ่มมาปิ๊ง แต่เป็นหนุ่มที่ไม่โสดเพราะมีศรีภรรยารออยู่ที่บ้านแล้ว เรื่องราวก็ดำเนินไปตามพล๊อตเรื่องจนไปจบในห้องนอน อยู่ไปอยู่ไปสามีของเธอผู้มากเสน่ห์ก็ทราบเรื่องเข้า จึงคาดคั้นเอาความจริงเธอก็ยังใจดีสู้เอาสีผึ้งของหลวงปู่ ฯ ท่านมาทาปาก ทาคิ้ว ไล้เส้นผม คงกะจะให้สามีของเธอใจอ่อนยอมเชื่อว่าเธอบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ฝ่ายสามีเมื่อซักไปซักมาคงเกิดเอ็นดู อยากให้ภรรยาที่รักสบาย ด้วยการไปเกิดใหม่ จึงคว้าเอามีดมาฟัน ๆๆๆ แบบไม่ยั้ง แต่ก็ไม่ได้สร้างบาดแผลใด ๆให้เกิดขึ้นกับเธอได้ จนเธอหนีเอาตัวรอดมาได้ พอเวลาและเรื่องราวผ่านไป เรื่องจางหาย ความโกรธของสามีคลายแล้ว ก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขต่อไป เธอก็นำเรื่องมาเล่าถวายให้หลวงปู่ท่านฟัง พอหลวงปู่เล่าจบท่านก็กล่าวทิ้งท้ายว่า
….เป็นชู้กับผัวชาวบ้านทำไมมันฟันไม่เข้า มันน่าจะเข้านะ แปล๊กแปลก……
และสีผึ้งของหลวงปู่ท่านไม่ใช่เป็นแต่เมตตาค้าขาย เวลาเจ็บไข้ไม่สบายอยู่ไกลหมอ ให้อารธณาเอาสีผึ้งละลายในน้ำอุ่น แล้วดื่นกินเข้าไปจะช่วยให้บรรเทาได้ จะเดินทางไปทางใดอาราธนามาทาปาก คิ้ว ไรผม แล้วอธิฐาน เป็นไปได้ทุกทาง หรือแม้แต่ใช้จุนเจิมของมงคลให้ระลึกถึงหลวงปู่ แล้วเอาสีผึ้งจุนเจิมแตะแต้มก็เกิดเป็นสิริมงคลได้
ถ้าสีผึ้งจะหมดหรืออยากให้ได้เยอะๆ แม้เหลือสีผึ้งเท่าหัวไม้ขีดไฟ ถ้าใจเชื่อมั่นก็เอาผสมสีผึ้งธรรมดาและบอกกล่าวหลวงปู่ท่าน และครูบาอาจารย์ก็บรรดาลให้มีคุณเหมือนสีผึ้งที่หลวงปู่ท่านอธิฐานจิตได้
การทาสีผึ้งแบบของหลวงปู่ท่านนั้น ให้เอานิ้วชี้แตะสีผึ้งแล้วเอาคลึงกับนิ้วโป้ง แตะที่มุมปากแล้วจีบเข้าหากันที่กลางปาก เวลาทาคิ้วก็แบบเดียวกัน แตะที่หางคิ้วแล้วจีบเข้าหากันที่หว่างคิ้ว ที่ไรผมก็ทำแบบเดียวกัน
ฝากไว้อีกสักนิดว่า หลวงปู่ ฯ ท่านเคยบอกกับผมไว้ว่า “ต่อให้เราสร้างพระให้ขลังขนาดไหน ถ้าเขาถือ(ศีล)ไม่ได้ก็ไม่ขลัง” ท่านที่ครูบาอาจารย์คุ้มครอง หรืออวยพรให้ก็ขอให้ภูมิใจว่าท่านเองก็มีความดีในตัวเองอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
เกี่ยวกับการ “เห็น” ของหลวงปู่
เมื่อครั้งที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ได้สร้างวัตถุมงคลที่สร้างจากกระเบื้อง หลังคาโบสถ์ของโบสถ์พราหมณ์ ซึ่งมีโบสถ์พระอิศวร โบสถ์พระนารายณ์ โบสถ์พระพิฆเณศวร มาบดผสมทำมวลสารเพื่อสร้างเป็น รูปเทพยดาเจ้าผู้ทรงมเหศักดิ์ทั้ง 3 พระองค์ คือพระอิศวร พระนารายณ์ พระพิฆเณศวร
และได้จัดพิธีมหาเทวาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ ครบถ้วนทั้งพิธีพุทธและพิธีพราหมณ์ และยังได้อัญเชิญวัตถุมงคลที่จัดสร้าง ลงสรงอยู่ในน้ำพระพุทธมนต์-เทพมนต์จากพิธีสำคัญๆตั้งแต่ครั้งสร้างกรุง เป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์เหลือจะกล่าว ทั้งยังถูกต้องตามตำรับพราหมณ์อย่างที่สุดเพราะท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าพิธี ล้วนแต่เป็นพราหมณ์หลวง เป็นผู้มียศศักดิ์ทางราชการทั้งสิ้นและยังสืบสายเลือดมาแต่ตระกูลพราหมณ์ผู้มีศักดิ์สูงทุกท่าน
http://www.devasthan.org/index.html
หลวงปู่ท่านก็ได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีด้วย จำได้ว่าในชุดที่หลวงปู่ฯ ท่านเสกนั้นมีหลวงปู่เมตตาธรรมคุณ วัดโพธิ์เลื่อนท่านนั่งด้วยแต่ท่านเสกไม่นานประมาณ 30นาทีก็กลับ แต่หลวงปู่ท่าน เสกรวดจนจบพิธี พอเสกกันไปสักระยะ (2-3ช.ม.) ใกล้จะเสร็จพิธี ก็เกิดเสียงเหมือนอะไรถล่มลงมาจากทางโบสถ์พระพิฆเณศ ก็ทราบว่าเป็นกองกระเบื้องหลังคาที่ จะเอาไว้มุงโบสถ์ถล่มลงมา พิธีก็ดำเนินไปจนจบ
เมื่อหลวงปู่ ฯ ท่านกลับไปพักที่บ้านท่านพระป๋องๆก็โทรมาเล่าความว่า หลวงปู่ท่านบอกว่า
….พิธีนี่พระอิศวรสูง88 ศอกเสด็จมาในพิธี มายืนคร่อมโบสถ์(เสกที่โบสถ์พระอิศวร) ในโบสถ์มีเทวดามาชุมมุมประสาทพรกันอยู่แน่นไปหมด และข้างนอกโบสถ์ ก็มีครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ มาล้อมโบสถ์พระอิศวรอยู่แน่นไปหมด มองไปทางไหนก็เห็นแต่ครูบาอาจารย์ แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ท่านไม่เข้ามาในโบสถ์เพราะผู้ประกาศโองการ (น่าจะพระราชครูวามเทพมุนี ) ไม่ได้ประกาศกล่าวอัญเชิญ พระสงฆ์ เชิญแต่เทวดา แต่ที่พระสงฆ์มาเพราะพระคณาจารย์ที่รับนิมนต์มาเสกได้อธิฐานจิตอัญเชิญมา ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ท่านจึงทำให้ดูว่าท่านมาจริง ด้วยการทำให้กระเบื้องหลังคาโบสถ์ทางโน้นถล่มลงมา……
เราได้ฟังเรื่องแล้วก็รู้สึกทึ่ง เรื่องอะไรที่ได้รับทราบเกี่ยวกับหลวงปู่ท่านล้วนแล้วแต่มหัศจรรย์ก็จริงแต่ลองนึกภาพว่า ในพิธีหลวงปู่ท่านได้เห็นอะไรบ้างก็ไม่รู้จะบรรยายยังไงมันสุดที่จะบรรยายจริง และในวันต่อ ๆ มาผมกับท่านพระป๋องป๋องได้ไปที่โบสถ์พราหมณ์กันอีกครั้ง ก็ได้พบกับท่านพระราชครูฯก็เรียนความที่หลวงปู่ฯท่านเล่าให้ฟัง ให้ท่านพระราชครูฯท่านฟังต่อ ท่านก็ยอมรับว่า ท่านไม่ได้อัญเชิญพระสงฆ์ ท่านเชิญแต่เทวดาจริง ๆ เราก็นะหลวงปู่ของเราถ้าเรื่องนี้ไม่พลาดดอก
ครั้งหลังมาพอทางโบสถ์พราหมณ์จัดสร้างพระตรีมูรติทองคำถวายในหลวง ก็ยังได้นิมนต์หลวงปู่ฯ ท่านมาอีก และพอหลวงปู่ไปถึง ท่านพระราชครูฯ ก็เข้ามาเรียนถามหลวงปู่ท่านทันทีว่าพิธีที่จัดนี้ถูกต้องหรือยังคราวที่แล้วพลาดไป หลวงปู่ท่านก็ดูให้แล้วบอกว่า ..ถูกต้องแล้ว
http://www.navaraht.com/forum/forum15/topic231.html
เรื่องนี้คิดอยู่นานว่าจะเล่าดีหรือเพราะต้องอ้างถึงท่านผู้มีกิตติคุณสูง และยิ่งด้วยยศศักดิ์แต่คิดแล้วก็เล่าเสียก็ดี แต่ถ้าใครอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมก็ถามท่านพระป๋อง หรือใครใจกล้า ก็ไปเรียนถามท่านพระราชครูวามเทพมุนีดูได้ครับ แต่พึงรำลึกไว้เสมอว่าท่านเป็นผู้มียศและศักดิ์สูงส่งนะครับ
เรื่องเกี่ยวกับการเห็นของหลวงปู่ท่าน…ต่อ
หลวงปู่ท่าน ๆ เคยเล่าให้ผมฟังว่าท่าน “เห็น” อะไร ๆ ที่คนทั่วไปไม่เห็นมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ ท่านว่าสมัยท่านยังเป็นเด็กยังไม่ได้บวชเณร ยามที่ต้องเดินผ่านป่าช้า เวลากลับบ้านคราวใดท่านต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่กล้ามองไปทางป่าช้า ผียืนอยู่ในนั้นเต็มไปหมด หรือตั้งแต่สมัยหลวงปู่ท่านยังเป็นสามเณร หัดนั่งสมาธิภาวนาพอออกจากสมาธิ ก็เห็นขบวนมวลหมู่วิญญาน แห่มาออกันมากมายตั้งแต่ที่ๆท่านนั่งภาวนา ยาวเหยียดไปจนถึงปากทาง อ.ปราสาท พอท่านถามเขาเหล่านั้นว่า
….ที่มาหาต้องการสิ่งใด…..
เขาเหล่านั้นก็ตอบว่า
…..ทำไมภาวนาแล้วไม่แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศล หลังจากภาวนาให้กรวดน้ำแผ่เมตตาไปให้พวกเขาด้วย….
เมื่อท่านตั้งใจอุทิศกุศลด้วยเมตตาจิตไปให้ เขาเหล่านั้นก็พากับโห่ร้องด้วยความยินดีพากันยกขบวนกลับไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องต่างๆที่ท่านเล่าให้ผมฟัง ผมไม่ได้ไปเห็นกับท่านด้วย ผมลูกศิษย์หัวดื้อจึงได้แต่ฟังท่านไว้ด้วยความเคารพอย่างที่สุด
จนกระทั่งวันนั้นก็มาถึง………ครั้งนึงที่วัดนก ซ.พาณิชย์ธนฯ ทางวัดได้นิมนต์หลวงปู่ฯ ท่าน มาให้คนทำบุญกับทางวัด หลังจากที่หลวงปู่ท่านไปถึงวัด ทางวัดก็ได้จัดที่พักให้ท่านพักผ่อน ระหว่างนั้นมีโยมคนนึงโทรมาที่วัดบอกว่า อ่านหนังสือเจอว่าทางวัดนิมนต์หลวงปู่ท่านมา เขาบอกว่าเขามีเรื่องให้หลวงปู่ท่านช่วย
เรื่องคือพ่อของเขาได้ติดคุกแล้วเกิดไปเสียชีวิตในคุก เขาก็ได้ทำพิธีทางศาสนาครบทุกอย่างแล้ว แต่พ่อก็ยังมาเข้าฝันว่ายังออกจากคุกไม่ได้ เขาจึงอยากกราบเรียนปรึกษาหลวงปู่ท่าน ๆ ก็เลยบอกว่า
……ให้เอาดินไปวางตรงที่พ่อของเขาตาย แล้วให้นิมนต์พระไปชักบังสกุลตรงดินนั้น แล้วให้เอาดินมาให้ท่านที่วัดนก…….
พอเวลาผ่านไปเมื่อถึงเวลาหลวงปู่ ฯ ท่านรับแขก คนก็เข้าแถวกันยาวเหยียด ผมก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ท่านคอยรับดอกไม้ที่คนเอามาถวาย อยู่ๆหลวงปู่ท่านก็พูดว่า
……นั่นมาแล้ว พ่อเขามาด้วย หมดเคราะห์แล้ว ……
ผมก็ยัง..งง..อยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง แต่พอมองไปที่แถวคนที่มากราบท่าน ก็เห็นผู้ชายคนนึงถือถุงกระดาษกำลังเข้ามากราบท่าน พอเข้ามาถึงท่าน ก็ล้วงเอาของจากในถุงกระดาษออกมาถวาย ให้ท่านดูแล้วเรียนว่าหลวงปู่ ฯ ท่านว่า เขาเป็นคนที่โทรมาปรึกษาเรื่องที่พ่อเขาตายในคุกแล้วออกมาไม่ได้ ตอนนี้เขาทำตามที่หลวงปู่ท่านแนะนำแล้วครับ หลวงปู่ฯ ท่านจึงบอกเขาว่า
….พ่อเขาออกมาแล้ว ……
ชายผู้มีความทุกข์เรื่องพ่อ ก็ได้อาศัยเมตตาคุณของหลวงปู่ท่านเปลื้องทุกข์ให้ แล้วเขาก็ลากลับไปด้วยใจที่คลายทุกข์
ส่วนผมพอเข้าใจว่าที่ท่านพูดในตอนแรกหมายถึงอะไร ก็ขนลุก(ขอโทษนะครับ)ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าครับ ไม่ใช่กลัวนะครับแต่ขนมันลุกเองครับ
และจากที่อีกหลาย ๆ คนประสบมา เช่น มีที่ดินแปลงนึงถูกคนนำของอาถรรพ์มาฝังไว้ กะว่าจะให้เกิดผลร้ายแก่เจ้าของที่ เขาจึงนิมนต์หลวงปู่ท่านไปแก้ไข เมื่อไปถึง ท่านไม่ต้องนั่งภาวนาบริกรรมอะไร พอท่านลงรถได้ก็ตรงไปชิี้จุดที่ฝังของอาถรรพ์และขุดขึ้นมาแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
หรือเมื่อปี่ที่น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ก่อนที่น้ำจะท่วมหลายเดือน หลวงปู่ท่านทักเชิงถามพี่ท่านนึงอย่างมีความนัยสำคัญว่า
……ซื้อเรือไว้หรือยัง ต่อไปต้องใช้เรือแทนรถนะ….
พี่ท่านนั้นเมื่อเจอหลวงปู่ท่านทักถามอย่างนี้ก็งงอยู่พักนึง จนกระทั่งน้ำท่วมใหญ่จึงหายงง
อีกสักนิด มีพระลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านองค์หนึ่ง ได้เดินทางจากกรุงเทพมากราบหลวงปู่ที่สุสาน ก่อนจะเข้ามาสุสานท่านองค์นั้น ได้เกิดอาพาธคือหิวเต็มกำลังเจ็บท้องเจ็บใส้เกินทน จึงให้โยมที่มาด้วยไปซื้อไส้กรอกที่เซเว่นมาฉัน บรรเทาอาการอาพาธ
เมื่อไปถึงสุสานท่านองค์นั้นก็เข้าไปกราบคาระวะหลวงปู่ท่าน พอเงยหน้าขึ้นหลวงปู่ท่านก็พูดว่า
……เดี๊ยวนี้อ้วนจัง ไป..ไป..เอากรวยดอกไม้แล้วมาปลงอาบัติ…..
หลวงพี่ท่านนั้นก็สะดุ้งวาบ นึกในใจว่า
….โดนละ…..
จากหลายๆเรื่องที่เจอกับตัวเองและศิษย์พี่ๆ น้องๆ ท่านอื่นๆ จึงเชื่อได้ว่าเรื่องการเห็นอะไร ๆ ของหลวงปู่ท่านนี่แน่นอน แม่นยำที่สุดครับ
ได้ยินเสียงจั๊กจั่นร้องมาตั้งแต่ราวต้นเดือนเมษา หน้าร้อนปีนี้อากาศร้อนมากมายยิ่งกว่าปีก่อนๆ ขนาดตอนเช้ามืดอากาศก็ยังร้อนจัด แต่ก็แปลกที่ทำให้ชวนนึกถึงตอนเด็กๆ ที่เฝ้ารอให้ถึงหน้าร้อนเร็วๆ พอปิดเทอมจะได้กลับไปเที่ยวบ้าน ที่ต่างจังหวัดจะได้ไปเที่ยวภูเขา ไปเข้าถ้ำ ไปเล่นน้ำตก ไปเที่ยวถ้ำปลา หรือไม่ก็ไปเล่นน้ำที่อ่างเก็บน้ำ ทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์ คือการเดินเล่นไปตามคันนา หรือไม่ก็เดินทวนลำธารขึ้นไปต้นน้ำ ตอนแดดเปรี้ยงๆ อย่างไม่ยี่หระต่ออากาศที่ร้อนหูดับตับไหม้แม้สักนิด ช่าง ทน ถึก บึกบึน เสียนี่กระไร ^_=
เดินเที่ยวไปเรื่อยๆจนไปต่อไม่ไหวก็กลับ ขากลับเจอผลไม้บ้านใครปลูกไว้ก็สอยเอามากินตลอดทาง ครั้งนึงโชคดีเจอต้นมะขวิด ผมเอาหนังสติ๊กยิงจนลูกมะขวิดหล่น เก็บกลับบ้านเอาแช่ตู้เย็นไว้ แล้วเอามาโรยน้ำตาลทรายกินมันช่างอร่อยชื่นใจ ไปเที่ยวทุกวันไม่มีวันหยุด ไม่เกรงกลัวต่อความร้อนแม้สักน้อยหนึ่ง และหน้าร้อนยังมีมีจั๊กจั่นทอดกรุบกรอบ รสนุ่มละมุลลิ้นที่จะมีให้ได้กินปีละหนอีกด้วย
ที่จัดว่าเด็ดก็…มะปรางหวาน…ต้นเดียวในจังหวัด ที่ตาของผมเอาขึ้นมาจากทางใต้ มาปลูกไว้ข้างยุ้งฉาง รสชาติหวานสนิท เนื้อหนา ลูกใหญ่ แถมออกผลดกเต็มต้น ทุกปีที่ได้กลับบ้านต้องปีนขึ้นไปเก็บกิน พร้อมทั้งเอาไปขายได้เป็นเงินค่าขนม และที่สนุกที่สุดก็คือได้พบกับพี่ๆน้องๆคนอื่นที่กลับมาบ้านตอนปิดเทอมฤดูร้อน จะได้เที่ยวเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน พร้อมหน้าพร้อมตากัน…แค่ปีละ 1 ครั้ง
..แต่…พออายุมากขึ้นๆ กลับเกลียดหน้าร้อนขึ้นมาจับใจ อากาศร้อนทำงานไม่สนุก นอนไม่ค่อยหลับ เหงื่อออกเยอะแยะจนน่ารำคาญ คอยนับวันว่าเมื่อไหร่จะพ้นหน้าร้อนเสียที ผิดจากเมื่อตอนเด็กๆ ที่เฝ้ารอให้ถึงหน้าร้อนเร็วๆ และอยากให้เวลามันค่อยๆ เดินไปช้าๆ ไม่อยากให้วันเวลาที่แสนสนุกนี้ผ่านไปเร็วอย่างที่มันเป็น แต่ใครเล่าจะบังคับบัญชากาลเวลา ให้เป็นดังใจได้ เรื่องราวมากมายทุกๆอย่าง ผ่านเข้ามา และ ผ่านเลยไป พร้อมกับ….กระแสของกาลเวลา
ในหน้าร้อนปีหนึ่งผมได้ไปกราบหลวงปู่ท่าน และได้อาศัยพักอยู่กับท่านหลายวันพอประมาณ เวลาว่างก็พักผ่อน เวลาไม่ว่างก็นอน มีวันนึงมีเวลาว่างกำลังพักผ่อน อยู่ที่ศาลาหน้ากุฏิหลวงปู่ ก็มีรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่เข้ามาจอดเทียบ ชายผู้เป็นเจ้าของรถเดินลงมาและตรงเข้าไปที่ตู้วัตถุมงคลเพื่อจะเช่าพระ ผมก็เข้าไปเลียบ ๆ เคียง ๆ ช่วยหยิบนู่นจับนี่ตามประสาผู้มีอัธยาศัยดี
คุยกันท่าไหนจำไม่ได้แต่จำได้ว่าคุยกับพี่แกถูกคอมาก พี่แกก็ชวนไปที่รถของแกผมก็ตามไปด้วยใจที่อยากรู้ว่าแกจะให้ดูอะไร พอไปถึงรถแกก็บอกว่า พี่แกเป็นตำรวจมากราบหลวงปู่ ท่านบ่อย ๆ รถคันนี้ท่านก็เจิมและตั้งชื่อให้ แถมยังมีสติ๊กเกอร์รูปหลวงปู่ท่านติดอยู่ที่กระจกหน้ารถ พี่ตำรวจก็เล่าต่อไปว่าเมื่อไม่นานมานี้พี่ตำรวจแกขับรถคันนี้ไปจับไม้เถื่อน ขากลับแกโดนลอบยิงด้วยปืน พี่ตำรวจยืนยันว่าว่าอาก้า…ไม่ใช่หนังสะติ๊กอย่างที่ผมใช้ตอบเด็กๆแน่นอน
มือปืนก็ยิงมาเป็นชุดอย่างกะตั้งใจ จะฉายรอบเดียวไม่ต้องฉายซ้ำ แต่กระสุนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถูกตัวรถ จะมีถูกก็ที่กระจกตรงด้านหน้าคนขับที่เดียวนัดเดียว แกก็พาผมได้ดูที่กระจกและชี้ให้ดู พี่ตำรวจบอกว่ารอยนี้แหละที่โดนลูกปืน แต่กระจกไม่แตกลูกปืนมันเลยแฉลบออกเป็นรอยขีดแนวยาว ผมก็ โอ้ว์……..มายก๊อด….หลวงปู่ท่านขลังขนาดรถยังเสกให้เหนียวได้ ไม่น่าเชื่อแต่ก็เป็นไปแล้ว แปลกม๊ากมาก แต่….ถ้ากระสุนนัดนี้เกิดยิงเข้าทะลุกระจก..พี่ตำรวจกับผมก็คงไม่มีโอกาศได้มาคุยกันอย่างนี้
ครับ…มีปัญหาที่หลาย ๆ คนเคยถามกับผมและกับลูกศิษย์คนอื่น ๆของหลวงปู่ฯ ท่านเหมือน ๆ กันคือเรื่องหลวงปู่ฯ ท่านห้ามดื่มเหล้า ถ้าดื่มแล้วจะเสื่อม?….จริงครับหลวงปู่ฯ ท่านห้ามดื่มเหล้า และให้รักษาศีลด้วยนะครับ เพราะท่านรักลูกศิษย์ ต้องการให้ลูกศิษย์เป็นคนดีมีศีล และมีธรรม ไม่ไปก่อกรรมให้กับใครแม้แต่กับตัวเอง ที่ว่าดื่มเหล้าแล้วเสื่อม ไม่ใช่ของเสื่อมนะครับ แต่เป็นตัวคนที่เสื่อม เราดื่มเหล้าแล้วเสื่อมอย่างไรอันนี้คงไม่ต้องอธิบายให้มากความ
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือวัตถุมงคลรุ่น ผ้าป่าสามัคคีกับหลวงปู่หงษ์ วันที่ 11 เมษายน 2553 ทราบว่าวัตถุมงคลชุดนี้เสกในตอนที่หลวงปู่ฯท่านเข้ากรรมฐาน รักษาโรค 19 วัน 19 คืน ด้วย ผมเองชอบใจเหรียญ ที่ด้านนึงเป็นหลวงปู่ทวดฯ กับหลวงปู่ฯ อีกด้านนึงเป็น หลวงปู่สรวง เทพดาบส
ผมเองเมื่อก่อนไม่เคยเชื่อเรื่องหลวงปู่สรวง ว่าท่านจะมีอายุยืนยาว นับร้อย ๆ ปีอย่างที่เขาลือกัน ผมคิดว่าคงเป็นแผนหากินกับพระตามเคย จนได้ยินข่าวแว่วๆจากบรรดาลูกศิษย์หลวงปู่ ท่านด้วยกัน ว่าหลวงปู่ท่านเองก็เคยกล่าวว่า หลวงปู่สรวงมีอายุยืนยาวมาหลายชั่วอายุคนจริง ๆ ไปครั้งนี้เลยคิดอยากจะถามเรื่องหลวงปู่สรวงกับท่าน
ทั้ง ๆ ที่น่าจะถามตั้งนานแล้ว แต่ก่อนอื่นตั้งไปเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดองค์ท่านก่อนจะได้ไม่ผิดพลาด ถามหลวงพี่หวิน ท่านก็บอกว่า
“หลวงปู่ท่านว่าท่านเกิดมาก็เห็น หลวงปู่สรวง เป็นอย่างนี้แล้ว จนหลวงปู่สรวงมรณะภาพก็ยังเป็นเหมือนเดิม”
ผมก็มาคิดบวกลบดู หลวงปู่สรวง อย่างน้อยท่านต้องอายุ 150 ปี โอเค ถามท่านพระป๋องต่อ
“ป๋อง เคยไปกราบหลวงปู่สรวงกับหลวงปู่ไม่ใช่เหรอ แล้วเป็นไง”
…ครับพี่ครับ ป๋องเคยไปกราบหลวงปู่สรวงกับหลวงปู่ หลวงปู่ท่านคุกเข่าพนมมือคุยกับ หลวงปู่สรวง เลยนะพี่…
“หา…หลวงปู่นี่นะคุกเข่าคุยกับหลวงปู่สรวง”
…ครับพี่ครับ..
อืม…ถ้าหลวงปู่ท่านคุกเข่ากราบ และพนมมือคุยด้วยแบบนี้ ต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ
โอเค ข้อมูลแน่นอนละต่อไปเข้าไปถามกับองค์ท่านเองเลย เช้าวันพุธที่ 21 เม.ย. เวลา 05.15 น. โดยประมาณ เป็นโอกาศดีเพราะไม่มีใครเลย สังเกตุเห็นว่าหลวงปู่ท่านก็อารมณ์ดี ดังนั้นถ้าอยากรู้อะไรก็ควรถามตอนนี้
“เอ่อ หลวงปู่ครับ เขาว่าหลวงปู่สรวงนี่อายุเป็นร้อยๆ ปีจริงหรือครับ”
หลวงปู่ท่านหันมามองหน้าทันที ผมรู้แล้วเราคงถามเรื่องที่มันเกินตัว พ้นหัว ไม่ควรถามเข้าแล้ว แต่ท่านก็ยังเมตตาตอบว่า
“ไม่ชัดเจนหรอก “
แล้วท่านก็หันหน้ากลับไปดูข่าวทีวีเหมือนเดิม แต่ก็ชั่วอึดใจนึงท่านก็หันกลับมา แล้วกล่าวว่า
“ตอนที่เขาสร้างวัดพระแก้วนะ หลวงปู่สรวง ไปช่วยเขาขนอิฐขนทรายสร้างวัดด้วย กี่ปี่มาแล้วหาตอนเขาสร้างวัดพระแก้วน่ะ”
“200 กว่าปีครับ”
“เอ้อ..นั่นแหละตอนสร้างวัดพระแก้วน่ะหลวงปู่สรวงก็ไปช่วยเขาแบกทรายสร้างวัดด้วย”
นี่ถ้าไม่ได้ยินหลวงปู่ฯท่าน ยืนยันอย่างนี้นะ ใครอมโบสถ์มาพูดก็ไม่เชื่อ เลยได้โอกาศเอาเหรียญผ้าป่าของโป๊ย ที่มีรูป หลวงปู่สรวง หลวงปู่ทวดฯ หลวงปู่ฯ มาให้หลวงปู่ท่าน ประสิทธิ์ให้ พอท่านเสกเสร็จ ท่านก็บอก
….หลวงปู่สรวง นี่ถ้านับถือแล้วดีม๊ากมาก เอารูปท่านไปแล้วต้องถือเน้อ อย่าด่า อย่าว่า อย่าพูดคำหยาบ นับถือแล้วดีม๊ากมาก….
นี่คือหลวงปู่ท่านยืนยัน คือ
1 เรื่องหลวงปู่สรวงท่านอยู่เหนือวิสัยของคนธรรมดา 2 เหรียญที่โป๊ยสร้างชุดนี้ หลวงปู่ฯ ท่าน ถึงกับกล่าว ว่า
…นี่ถ้านับถือแล้วดีม๊ากมาก เอารูปท่านไปแล้วด้องถือเน้อ…
คือยืนยันว่านี่คือรูปของหลวงปู่สรวง เป็นเครื่องระลึกแทนองค์ หลวงปู่สรวงท่านได้จริง ส่วนตัวผม ผมรู้สึกรักเหรียญรุ่นนี้จริงๆ ตั้งแต่ผมบูชามาก็เอาไว้ใกล้ตัวตลอด รู้สึกได้ว่าเกิดความอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด
คนเราบางทีการมีเงินทอง ทรัพย์สมบัติมากมายก็ไม่แน่ ว่าจะทำให้เรามีความสุขได้ บางคนบางครอบครัวพออยู่พอกิน หาเช้ากินค่ำแต่กลับมีความสุข เพราะครอบครัวเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ความเข้าใจกันของคนในครอบครัว
ยกตัวอย่างครอบครัวของ คุณอาของผมกับลูกสาวของท่าน ได้มีปัญหาทะเลาะกันอย่างรุนแรง น้องสาวผมคนนี้เลยหนีออกจากบ้านไปตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2553 หลายเดือนผ่านไปก็ยังไม่ยอมกลับ ไม่ติดต่อมาหา คุณอาผมก็มีอายุแล้ว ได้เกิดความทุกข์ใจเหลือประมาณ ทุกครั้งที่โทรมาหาผมจะได้ยินเสียงท่านร้องไห้ทุกครั้ง
ไปหาพระมาก็หลายที่ไปถึงวัดดังทาง จ.ตราด ก็เงียบ ไปหาพระที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงญานหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร(หลวงพ่อยะ วัดท่าข้าม) ซึ่งคุณอาของผมเคารพนับถือและคุ้นเคยมากว่า 20 ปี ก็เงียบอีก ยังไม่กลับ ได้แต่เลข 2 ตัวตรง…ไม่ต้องกลับ…มาแทน
จนผมคิดว่าเราคงต้องทำอะไร เท่าที่เราพอจะทำได้บ้าง จึงตัดสินใจไปกราบขอบารมีครูบาอาจารย์ ไปกราบขอพรให้น้องสาวกลับมาในเร็ววัน ก็ไปวัน อังคารที่ 20 เม.ย. ไปค้างกับหลวงปู่ท่านคืนนึง และในคืนนั้นเอง ผมก็ได้ไปจุดธูปบอกกล่าวครูบาอาจารย์ทุก ๆพระองค์ ที่ตรงรูปหล่อพระแม่ธรณี ขอให้ครูบาอาจารย์โปรดช่วยไปตามน้องสาวคนนี้กลับมาให้ได้ภายใน สามวัน เจ็ดวัน ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ก็ขอให้ครูบาอาจารย์โปรดไป ดลบันดาลให้จิตใจรุ่มร้อนเหมือนไฟเผา ให้ต้องรีบกลับมาหาแม่ผู้ชรา ให้ทนอยู่ไม่ได้ด้วยเทอญ
และด้วยความเชื่อมั่นเพราะเคยประจักษ์กับตัวเองหลายครั้ง เรื่องการจุดธูป 5ดอก เทียน 2 เล่ม บอกกล่าวครูบาอาจารย์นี่ ผมเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าน้องสาวจะต้องกลับมาคราวนี้แน่นอน พอมาวันพุธ ที่ 21 ผมกลับมา ก.ท.ม. พร้อมกับเหรียญหลวงปู่สรวง และตะกรุดกันโรคระบาด มาถึงก็จัด ขันธ์ 5 ขึ้นมารับหลวงปู่สรวงและครูบาอาจารย์ พร้อมทั้งจุดธูป 5 ดอก เทียน 2 เล่ม ตามเเบบฉบับ
ซึ่งธูปนั้นปกติผมก็จุดในกระถางธูป แต่เทียนผมจะจุดบนพื้นโต๊ะหมู่บูชา โดยมีถ้วยตะไลทำเป็นเชียงเทียน และใช้เทียนเล่มเล็กที่สุดตลอด มันหมดเร็วดี จะว่ามักง่ายก็ได้ แต่ก็ทำอย่างนี้มานาน เป็นสิบปีก็ปกติดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ครั้งนี้กลับมีอะไรเกิดขึ้น เพราะจังหวะนึงที่ผมสวดมนต์และบอกกล่าวเสร็จแล้ว เหลือก็แต่รอให้ธูปเทียนหมด ก็ลงมาเอาของที่ข้างล่างซึ่งใช้เวลาก็ประมาณอึดใจนึงไม่เกิน 3 นาที แต่พอขึ้นไปที่ข้างบนห้องผมแทบช๊อค
ไฟไหม้ครับไฟไหม้โต๊ะหมู่บูชาผม ลุกโชติช่วงชัชวาลย์แบบไม่ทีท่าว่าจะดับลง ในห้องตอนนั้นก็มีแต่แป๊ปซี่แม๊กซ์ ของโปรด กับน้ำมนต์ของ หลวงปู่ฯท่าน อีก2 ขวด เลยตัดสินใจเอาน้ำมนต์ที่ใส่ขวดโค๊กลิตรเต็ม ๆขวด มาใช้ดับเพลิงซะ 1 ขวด….จัดไป
ใจขณะนั้นก็เกิดความรู้ความคิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติว่า หลวงปู่สรวง เทพดาบส ท่านอยู่ที่ไหนจะก่อกองไฟไว้เป็นสัญลักษ์ทุกที่ไป
……ตอนนั้นผมยังไม่แน่ใจเรื่องเกี่ยวกับไฟนี้ จึงมาลองค้นประวัติท่านดูก็เป็นว่า ท่านก่อไฟไว้ทุกที่ ที่ท่านจำพรรษาจริงๆ…..
หลังจากดับไฟและจัดการเก็บทุกอย่างเรียบร้อย ใจผมยิ่งเชื่อมั่นว่าน้องสาวต้องกลับมา จะได้อยู่เย็นเป็นสุขกันซะที เพราะหลวงปู่สรวง ท่านก็สะเดาะเคราะห์ให้แล้ว หลวงปู่ท่านและครูบาอาจารย์ก็เหมือน มาดลใจให้เอาน้ำมนต์ประพรมบ้าน เพราะตั้งแต่ได้น้ำมนต์ 2 ขวดนี้มาร่วม 10 กว่าปี ไม่เคยเอามาประพรมอะไรเสียที
จึงลงมาข้างล่างมานั่งคุยกับคุณอา ก็บอกเล่าเรื่องราวที่ไปกราบหลวงปู่ฯท่าน และไปขอพรครูบาอาจารย์มาให้คุณอาทราบ ซึ่งคุณอาท่านก็ขอบอกขอบใจทั้งที่ตายังคลอไปด้วยน้ำตา จนเวลาผ่านล่วงเลยไป 3 วัน คือวัน เสาร์ ที่ 24 เม.ย. คุณอาผมโทรมาหาแต่เช้า
บอกน้องสาวผมโทรกลับมาหาแล้ว บอกคิดถึงแม่อยากกลับบ้าน น้ำเสียงคุณอาผมฟังดูตื่นเต้นและดีใจมาก และผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของท่านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ท่านไม่ได้ร้องด้วยความทุกข์ใจเหมือประมาณ เหมือนที่ได้ยินมาเกือบจะทุก ๆ วันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่เป็นการร้องไห้ด้วยความดีใจและความสุขใจอย่างเหลือล้นแทน
และในวันอาทิย์ ที่ 25 นั้นเอง พ่อ แม่ ลูก ก็ได้เจอหน้ากันอีกครั้งหลังจาก ไม่ได้เจอหน้าหรือได้ยินเสียงกันมาหลายเดือน กราบแทบเท้าขอบพระคุณครูบาอาจารย์ครับ ไม่เคยผิดหวังเลยสักครั้งครับ ภูมิใจเสมอที่ได้เป็นลูกศิษย์ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ
หลังจากนั้นคุณอาของผม ท่านยังพูดเสมอ ๆ ว่าหลวงปู่ฯท่าน ช่วยเรียกลูกสาวกลับมาให้
ป.ล. น้ำมนต์ของหลวงปู่ท่านนั้น เป็นน้ำมนต์ที่รวบรวมจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เอามาผสมเพิ่มเติมเสมอ ท่านยังเคยสั่งผมว่าถ้าไปที่ไหน ที่มีน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มีคนไปเอาเยอะๆ ให้เอามาถวายท่าน ท่านจะได้เอาผสมกับน้ำมนต์ในตุ่มที่ท่านทำไว้ ให้มีอานุภาพเพิ่มพูน จำได้ว่าผมเคยเอาน้ำมนต์จาก วัดระฆัง วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม และ วัดพระแก้ว ไปถวายท่าน หลวงปู่ท่านทำอะไรก็ทำด้วยความประณีตละเอียดอ่อน ทำให้ถูกต้องตามหลักวิชาของครูบาอาจารย์ ไม่ลัดขั้นตอนสุกเอาเผากิน
….การจุดธูป 5 ดอก เทียน 2 เล่ม….
หลวงปู่ท่านเคยบอกไว้ว่า ถ้ามีเรื่องอะไรต้องการจะบอกกล่าวครูบาอาจารย์ ให้จุดธูป 5 ดอก เทียน 2 เล่ม เพื่ออฐิษฐานบอกกล่าวครูบาอาจารย์ สำหรับผมน้อยครั้งมาก ๆ ที่จะขอให้หลวงปู่ท่านทำอะไรให้ หรือแม้แต่จุดธูปเทียนร้องขอนู่นขอนี่ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือจำเป็นอะไรมากจริงๆ
เพราะคิดว่าไม่อยากรบกวนอะไรครูบาอาจารย์ท่าน เท่าที่ต้องคอยปัดเป่าความทุกข์ให้ลูกศิษย์คนอื่น ๆ ก็หนักพอแล้ว สำหรับผมให้เป็นไปตามสมควรเถอะครับ ด้วยความถี่ในการร้องขอต่ำนี่กระมัง ครั้งนึงครูบาอาจารย์ท่านเลยทำให้ดู ว่าท่านรับรู้ และสอดส่องดูแลเรา (ทุก ๆ คน) อยู่เสมอ
เมื่อปลายปี 2550 ปีนั้นผมอยู่เชียงใหม่ หน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัว ทุกอย่างก็ โอเค จนกระทั่งวันนึง ได้รับโทรศัพท์สายหนึง เป็นสายของเพื่อนซึงเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่ท่านคนนึง ชื่อ ป๋อง (หลาย ๆ ท่านคงรู้จัก) ป๋องโทรมาบอกว่า หลวงปู่ท่านถามหา และหลวงปู่ท่านบอกว่าปีนี้ ท่านจะอยู่เป็นปีสุดท้าย (ตอนนั้นท่านป่วยหนักมาก อยู่ร.พ.บำรุงราษฏร์)
เมื่อทราบเนื้อความตามสานส์ ผมก็ร้อนใจมากมาย อยู่บ่าได้แล้วเวียงเจียงใหม่ ก็เตรียมตัวอพยพมา ก.ท.ม.ทันที ลาก่อน กาดวโรรส ลาก่อน สายน้ำปิง ลาก่อน ดอยสุเทพ ลาก่อน ช่วงเวลาชีวิตที่แสนจะงดงาม แม้บางครั้งจะเศร้าไปบ้าง ลาก่อน…ฯลฯ
ระหว่างช่วงเวลา 1 เดือนที่เตรียมตัวจะมา ก.ท.ม. วันนึงด้วยความที่ครุ่นคิดถึงเป็นห่วงหลวงปู่ท่านอยู่ทุกวันทุกคืน ในคืนหนึ่งหลังจากเลิกงานผมก็คว้าเอา ธูป 5 ดอก และเทียนเล่มจิ๋วอีก 2 เล่ม ลงจากที่พักเดินตรงไปลานดินโล่ง ๆ ที่ใช้เป็นที่จอดรถซึงอยู่ฝั่งตรงข้ามที่พัก ไปถึงก็นั่งลงจุดธูปเทียนขึ้นมาตามแบบฉบับ แล้วท่อง ” นะเมติ” 12 จบอธิษฐานบอกกล่าว “ขอครูบาอาจารย์” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
ขอให้หลวงปู่ท่านหายในเร็ววัน และมีอายุยืนยาวต่อไปอีก ขอครูบาอาจารย์ประสิทธิ์พรให้คำขอของลูกสำเร็จผลด้วยเทอญ เสร็จแล้วผมก็ยืนขึ้นหันหลังเพื่อจะกลับเข้าที่พัก ในอึดใจนั้นฝนก็ได้ตกลงมาเป็นละอองบาง ๆ (เดือนธันวาฯเนี่ยนะ) ใจผมตอนนั้นคิดว่า ธูป เทียน คงจะต้องดับแน่ ๆ ลงไป ก.ท.ม. คราวนี้คงต้องเสียน้ำตาแน่นอน
จึงไม่หันหลังกลับไปดูอีก ก็เดินกลับเข้าที่พัก นอนฟังเสียงฝนที่ตกเบาๆ ดังเปาะแปะๆ ในใจก็ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย อยู่นานจนเผลอหลับไป พอเช้าตื่นขึ้นมาก็เตรียมตัวไปทำงาน พอขึ้นควบมอเตอร์ไซค์ได้ก็ค่อย ๆ ขับออกไปตามทาง ด้วยในใจยังประหวัดนึกถึง ธูปกับเทียนที่จุดไว้เมื่อคืนนี้ ก็เลยอดใจไม่ได้ต้องแวะไปดูเสียหน่อย
ไปวนหาสักพักก็หาไม่เจอ เลยจอดรถลงมาค่อย ๆ เดินดู ก็เจอก้านธูปกับขี้เทียน ที่เหลือเป็นร่องรอยว่ามอดไหม้หมดไปตั้งแต่เมื่อคืนวาน ก็ทำให้แปลกใจ ฝนที่ตกถึงจะไม่แรงมาก แต่ก็พอที่จะดับธูป ดับเทียนเล่มจิ๋วที่ผมใช้จุดนี่ได้แน่นอน แต่นี่ธูปเทียนกลับไม่ดับ ยังติดไฟมอดไหม้จนเทียนหมดเล่มธูปหมดดอก ให้ได้เห็นอยู่กับสองตา
เลยพอจะใจชื้นมีความหวังขึ้นมาบ้างว่า หลวงปู่ท่านจะต้องอยู่กับเราต่อไปอีกนานตามที่ผมวิงวอนขอครูบาอาจารย์ แล้วเมื่อเวลาผ่านไปจนผมได้มา ก.ท.ม. ก็ได้อยู่ร่วมเฝ้าไข้หลวงปู่ท่านจนท่านหาย และยังอยู่เฝ้าจนส่งท่านขึ้นรถกลับสุรินทร์
ซึ่งต่อมาเมื่อผมไปกราบหลวงปู่ท่านที่สุรินทร์ ก็เล่าเรื่องที่จุดธูปเทียนกลางฝนแล้วไม่ดับ ให้หลวงปู่ท่านฟัง ท่านก็หัวเราะชอบใจ แล้วบอกว่า
….คนจะตายธูปเทียนก็ต้องดับ คนจะไม่ตายจุดธูปเทียนกลางฝนก็ไม่ดับ แปลก ม๊าก มาก..
นี่แหละครับครูบาอาจารย์อยู่กับเราเสมอ ใครเดือดเนื้อร้อนใจมีทุกข์สุขอะไร ท่านรับรู้และอยู่เคียงข้างกับเราเสมอครับ
อีกเรื่องที่อยากเล่าไว้กันลืม ผมเคยถามหลวงปู่ท่านว่า
….หลวงปู่ครับหลวงปู่จะกลับมาเกิดอีกหรือเปล่าครับ…
หลวงปู่ท่านตอบว่า
….หลวงปู่จะกลับมาเกิดอีก ลูกศิษย์หลวงปู่เยอะชาตินี้โปรดได้ไม่หมด อีก 500 ปี หลวงปู่จะกลับมาเกิดอีก……
ผมจึงกราบเรียนท่านด้วยความเคารพ อย่างที่สุดเทิดทูนไว้เหนือเศียรเกล้าว่า
…..ถ้าหลวงปู่ลงมาเกิดอีกเมื่อไหร่ ผมขอตามมาเกิดด้วยนะครับ….
หลวงปู่ท่านก็ว่า
….อืม…..
รัก-ยม……สุดขลัง
รัก-ยม….เครื่องรางชนิดหนึ่งที่ทำเป็นรูปเด็ก 2 คนยืนพนมมืออยู่ในขวดน้ำมันจันทร์ ตามตำนานมีเรื่องเล่าอยู่ว่า
สมัยหนึ่ง ในป่าหิมวันต์ เมืองเมืองหนึ่ง เมืองนี้เป็นเมืองเงียบสงบ มองไปทางไหนก็มีแต่ป่าทั้งนั้น ในป่านั้นก็มีพระฤๅษีชีไพรนั่งบำเพ็ญตะบะเต็มไปหมด ในขบวนเหล่าฤๅษีนั้นก็มีพระพหลฤๅษีอยู่องค์หนึ่งทึ่เป็นใหญ่กว่าฤๅษีทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่งฤๅษีพหลนั้นได้เดินออกจากสถานที่บำเพ็ญตะบะนั้นเพื่อออกแสวงหาผลไม้ในป่ามาฉันท์ขณะที่เดินผ่านสระน้ำในป่านั้น ก็มีดอกบัวชูช่อยู่ดาษดื่นฤๅษีพหลก็ เหลือบไปเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งนอนในดอกบัวนั้นจึงได้เก็มาเลี้ยงไว้ที่อาศรม ฤๅษรพหลจึงตั้งชื่อสองกุมารน้อยว่ารัตตะกุมาร กับ ยมกะกุมาร ต่อมากุมารน้อยทั้งสองก็ได้ร่ำเรียนวิชา กับพระอาจารย์ดาบสองค์นั้นจะมีความสามารถรอบรู้หมดทุกอย่าง ส่วนฤๅษีพหนลนั้นก็ได้ถ่ายทอดวิชาให้อย่างหมดสิ้นในที่สุด รัตตะกุมารกับยมกะกุมารก็เจริญเติบโต จนเป็นหนุ่มใหญ่สมชายชาตรีทุกอย่าง สรุปแล้ว รัตตะกุมารก็คือ เจ้ารัก ส่วนยมกะกุมาร ก็คือ เจ้ายม
สำหรับเจ้ารักนั้นเป็นผู้เลอโฉม รวมทั้งหน้าตาลักษณะท่าทางมองแล้วเหมือนมานพน้อยมีรูปร่างมองแล้วไม่เบื่อตาเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป ส่วนยมนั้นเล่าความหล่อเหลาด้อยกว่าเจ้ารักหน่อย เพราะคนเราเกิดมารูปธรรมนามธรรมเหมือนอย่างกับเจ้ายมถึงแม้จะรูปชั่วตัวดำไปนิด ถึงกระนั้นฤๅษีพหลก็ยังมีความรัก ความสงสารยิ่งขึ้น จึงมอบวิชาต่าง ๆ ให้กับเจ้ายมเป็นพิเศษ เป็นอันว่า เรื่องเชี่ยวชาญในเชิงขบวนยุทธจักร และเวทย์มนต์คาถาต้องยกให้เจ้ายมคนเดียวยุคนั้นวันหนึ่ง รัตตุมาร (เจ้ารัก) กับยมกะกุมาร (เจ้ายม) สองพี่น้องก็คิดอยากจะไปเที่ยวหัวเมืองต่าง ๆ จึงได้กราบลาพระอาจารย์เพื่อออกแสวหาประสบการณ์ต่าง ๆ จึงได้ออกเดินทางจนไปถึงเมืองใหญ่แห่งหนึ่งด้วยความ ปรีชาสามารถต่าง ๆ ของกุมารน้อยทั้งสอง จึงได้เข้ารับราชการกับพระราชาเมืองนั้น
อยู่ต่อมาไม่นานพระราชาจึงแต่งตั้งให้รัตตะกุมาร (เจ้ารัก) เป็นทหารเอาไปครองแคว้นเมือง เมืองหนึ่ง ส่วนยมกะกุมาร (เจ้ายม) นั้น พระราชาแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับในด้านหัวเมืองต่าง ๆ ระหว่างที่รัตตะกุมาร (เจ้ารัก) รับราชการอยู่นั้นเพราะความหล่อเหลามานพน้อย จึงเป็นที่หมายตาต้องใจของพระธิดาลูกเจ้าเมืองนั้นทั้งสองจึงเกิดความรักใคร่กัยิ่งนานวันความรักยิ่งประทับแนบแน่นยิ่งขึ้น ต่อมาพระราชาได้ทราบข่าวของคนทั้งสองจึงไม่พอพระทัยทรงขัดขวางความรักทั้งสองอยู่ตลอดเวลา พระราชา ทรงตรัสว่า “เจ้ารักกับราชนิกุลไม่ควรคู่กัน” พระราชาต้องการให้พระธิดาอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นราชตระกูลกษัตริย์เท่าเทียมกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นพระราชาจึงตัดสินใจส่งพระธิดาไปฝากไว้กับเจ้าเมือง ๆ หนึ่ง รัตตะกุมาร (เจ้ารัก) ทราบข่าวว่าพระราชาได้แยกคนรักของตนไปอยู่เมืองอื่น จึงเกิดความแค้นเคืองเป็นยิ่งนักเจ้ารักจึงวางแผนฆ่าพระราชาอยู่ตลอดเวลาส่วนเจ้ายมคนน้องถึงแม้จะปมด้วยของชีวิตแต่ก็เป็นคนรอบคอบเป็นคน อารมณ์เย็นจึงได้มายับยั้งการวางแผนฆ่าพระราชาเพราะมันจะมีความผิดอย่างมหันต์ สามวันผ่านมาเจ้ารักก็กินไม่ได้นอนไม่หลับจะนั่งจะเดินก็กระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลาเพราะด้วยพิษรักอันแสนเสน่หาของพระธิดาองค์นั้น จึงหน้ามืดตามัว คิดจะปลงพระชนม์จึงได้ลอบเข้าไปในพระราชวัง จนถึงห้องบรรทมของพระราชาและได้ใช้อาวุธคู่มือ สับพระราชาอย่างไม่มีชิ้นดี จนพระราชาสิ้นพระชนม์ เมื่อฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ทราบข่าวการกระทำของ รัตตะกุมาร (เจ้ารัก) จึงเกิดความโกรธแค้นเคืองยิ่งนัก ที่ศิษย์ของตนละเมิดคำสั่งสอน จึงได้เรียกกุมารทั้งสองกลับมาเมื่อกุมารทั้งสองเดินทางกลับมาถึงอารมของฤๅษีพหลผู้เป็นอาจารย์ เจ้ารักจึงได้สำนึกผิดและได้สารภาพต่อผู้เป็นพระอาจารย์และมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ละเมิดคำ สั่งสอนของพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงได้ตัดสินใจให้รัตตะกุมาร (เจ้ารัก) สละเพศฆราวาส ให้บวชประพฤติตนบำเพ็ญประโยชน์เพื่อลบรอยมลทินที่ได้สร้างมาจนกว่าจะสิ้นชีวิตจากโลกไป
ส่วนยมกะกุมารหรือเจ้ายมนั้น ครั้นเมื่อสู่วัยชราจึงได้สละเพศฆราวาสได้ออกบวชตามพี่ชาย (เจ้ารัก) เพื่อบำเพ็ญศีลภาวนา ตามอาศรมของพระฤๅษีในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วไป ต่อมาฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ถึงวัยชราใกล้ถึงการอายุขัย ย่อมหนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นคือ มีเกิดก็ต้องมีดับเหมือนกันทุกชีวิต ฤๅษีพหลจึงเรียกสองนักบวชผู้เป็นศิษย์มาพบอีกครั้งหนึ่งเมื่อสองพระกุมารมาพบพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงถามศิษย์ทั้งสองว่า “อยากได้อะไรที่เหนือกว่าโลกนี้” สองจะปฏิบัติตามคำอาจารย์หมดทุกอย่าง” ฤๅษีพหลจึงให้พรว่า “เจ้าทั้งสองแม้จะไปเกิดชาติปางใดก็ตามขอให้เสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่ว ๆ ไป จะไม่มีศัตรูทั้งปวงจะไปเกิดบนโลกมนุษย์ไม่ได้ ท่านทั้งสองจะต้องเป็นวัตถุ แต่ไม่มีชีวิตจิตใจวัตถุสิ่งนั้นจะต้องดังมีชื่อเสียงก้องยืนนาน” เมื่อฤๅษีพหลกล่าวพรจบทานก็ถึงกาลกิริยาวิญญาณ ก็ออกจากร่างไป ณ ที่นั้น พระกุมารทั้งสองจึงได้ทำการขุดหลุมฝังศพของฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ในที่นั้น ต่อมาไม่นานหลุมฝังศพของฤๅษีพหลก็เกิดมีไม้ชนิดหนึ่งขึ้นมา มีดอกซ้อนแพรวพราวอันสวยงาม แถมยังเป็นไม้ที่ปวงชนรักใคร่กันทั่วไป ดังประชาชนที่เรียกกันทุกวันนี้ว่าต้นรักซ้อน
ต่อมาก็ได้มีพันธ์ไม้อีกชนิดหนึ่งได้ขึ้นคู่เคียงกับต้นรักซ้อนมีผลชูช่ออันตระกานตาจนภายหลังมีชื่อขานนามว่ารักยม ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกกันว่ามะยมด้วยข้อมูลที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นนักปราชญ์ คณาจารย์ต่างคิดค้นทำรักยกกันขึ้นมา นี่แหละครับความเป็นมาของรักยมรวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว
ผมเองก็เคยเจอฤิทธิ์ของเจ้าเครื่องรางประเภทนี้มากับตัวเองแล้ว กล่าวคือเมื่อตอนผมเป็นวัยรุ่นผมไปนอนค้างที่บ้านของอาผม ห้องที่ผมนอนผมนอนคนเดียว บ่ายวันหนึ่งว่างๆ ไม่ได้ไปไหนผมก็งีบนอนสักพัก ก่อนนอนก็ถอดพระที่แขวนคอ(หลวงปู่ทวด วัดบางนอน รุ่นแรก) ออกห้อยไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง และก็นอนหลับไป พอหลับไปได้พักใหญ่ก็โดนผีอำ ชะชะชะ….กล้ามาอำชัช ผมก็ดิ้นสู้มัน
สู้ยังไงก็ไม่หลุด มองไปรอบห้องทั้งๆที่ยังหลับก็เห็นพระที่แขวนไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง พอจิตมุ่งไปที่พระเท่านั้นแหละ ความรู้สึกเหมือนกับมีอะไร คล้ายกระแสไฟแตกดังเปรี๊ยะ แล้วกระเด็นไปตกบนหลังตู้ที่ตั้งอยู่ปลายตีนเตียง พอดิ้นหลุดลุกขึ้นได้ก็ไม่รอช้า โดดจากเตียงไปคว้าพระมาแขวนคอทันที ไม่เท่านั้นยังเอาเก้าอี้มาปีนดูหลังตู้ด้วย เพราะอยากรู้ว่ามันคืออะไร??
พอปีนเก้าอี้ขึ้นไปดูก็เห็นขันโลหะขนาดย่อมๆใบนึง ข้างในใส่พวกเหรียญพระสีผึ้งตะกรุดเล็กตะกรุดน้อย และขวดรัก-ยมทีมัดรวบไว้ด้วยกันอีกประมาณ 20 กว่าขวด ผมก็..ชะชะชะ…รู้ละว่าอะไร เดี๊ยวพ่อเอาเผาไฟให้วายวอด แต่มานึกดูน่าจะเป็นของอาเขย เพราะขานั้นก็ชอบเล่นพระเครื่องเหมือนกัน เลยอย่าทำให้เสียน้ำใจกันดีกว่า แต่ว่านะห้องของอาเขยกับอาผมก็มี ห้องพระก็มี ทำไมไม่เอาไปไว้ กลับเอามาไว้ห้องรับรองแขก แต่ช่างเถอะผมก็เลยเอาขันเจ้าปัญหาไปซ่อนไว้ที่ห้องอื่นแทน …. อิอิ สำหรับรัก-ยมของหลวงปู่ตัวผมเองไม่ได้เจอประสบการณ์ตรง กับตัวเองแต่น้องสาวเป็นคนเจอ เรื่องมันมีอยู่ว่า………น้องสาวผมกับแฟนของเขาได้ไปทำบุญที่วัดหัวลำโพง และได้ไปบูชารักยมมา 1 ขวด ซึ่งในตอนนั้นน้องสาวผมกับแฟนเขาก็ไม่ได้สนใจ ว่าของวัดไหนหลวงพ่ออะไรอยากได้ก็บูชามา เมื่อนำกลับมาบูชาที่บ้านของเค้าได้สักพักก็เกิดเรื่องแปลกๆ คือมีเสียงก๊อกแก๊กๆ ในบ้าน 2 คนนี่ก็ชักกลัว จนถึงจุดไคลแม๊กซ์จากเสียงก๊อกแก๊กๆ คราวนี้ ราวตากผ้า….เลื่อนเองได้….เหมือนมีคนเข็น ให้เขาได้เห็นกับตา…………????!!!!!!!
เจ้าน้องสาวผมก็เลยโทรมาปรึกษาผม อธิบายเล่าเรื่องอย่างกับผมเป็น พี่ป๋อง กพล ทองพลับ ที่กำลังออนแอร์ และขอร้องให้ช่วยมาเอารัก-ยมไปที เขาไม่กล้าไปหยิบไปจับเพราะมันหลอนเสียนี่กระไร ผมเองก็อยากรู้ว่าของอาจารย์ไหนหนอถึงได้เฮี้ยนปานนี้ เพราะถามน้องสาวเขาก็บอกว่าไม่รู้ อยากได้ก็บูชามาไม่ได้สนใจว่าเป็นของใครเสกใครสร้าง ตกเย็นมาเลิกงานก็เลยแวะไปเอารัก-ยมที่ว่า
พอไปถึงผมก็ไปหยิบเอาลงมาจากหิ้งพระเขา เอามาส่องๆดู ก็เห็นสัญลักษณ์*บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นของ …..หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ…..อ้าว….ของอาจารย์เรานี่เอง ถึงว่าทำไมถึงได้ขลังนักหนา ก็เลยคืนรักยมให้เขาไปพร้อมกับบอกเล่าว่าเป็นของหลวงปู่หงษ์ อาจารย์ของพี่เองไม่ต้องกลัวไม่ให้โทษ เอากลับไปบูชาให้ดี ถ้าไม่ไหวจริงๆ เดี๊ยวจะมาเอาไปบูชาเอง หลังจากวันนั้นก็ไม่เห็นน้องสาวผม โทรมาเล่าเรื่องราวสยองขวัญสั่นประสาทอะไรอีก
ป.ล. ลักษณะเหมือนอย่างในรูปนี้แต่ผมไม่ทราบชื่อรุ่น และไม่ทราบว่าใครสร้างออกที่ไหน จึงไม่ได้ลงรายละเอียดไว้ให้ชัดเจน
*สัญลักษณ์ที่บอกว่าเป็นของหลวงปู่ ผมจำไม่ได้ว่าเป็นอะไรเพราะเรื่องมันนานมากแล้ว น่าจะเป็น…นะเมติ….หรือไม่ก็….ชื่อหลวงปู่….ต้องขออภัยที่จำไม่ได้ข้อมูลเลยไม่แน่นนัก
ไม่ได้อัพบล็อกมานาน เพราะวุ่นวายเกี่ยวกับหน้าที่การงาน ช่วงนี้นักศึกษาปิดเทอม ก็พอจะมีเวลาว่างบ้าง ก็จะได้ทำสิ่งที่อยากจะทำ ให้สำเร็จ จะได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ หลวงปู่ ให้ไว้เป็นบันทึกความทรงจำ เพื่อจะได้ไม่สูญหายไป ตามกาลเวลา
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อก่อน ถ้าใครเคยไปหาหลวงปู่ช่วงปี 45 ถึงประมาณปี 50 อาจจะได้เคยพบเคยเห็น คุณแม่ชีท่านหนึ่ง รูปร่างเล็กเล็กผอมผอมแต่ท้องใหญ่ ซึ่งผมเองก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับท่าน คุณแม่ชีก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนคุณชีเธอไม่สบาย ท้องบวมขึ้น โดยไม่ทราบสาเหตุ ไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอก็ไม่ทราบสาเหตุ ที่แท้จริง จนมาระยะหลังอาการเครียดหนัก คุณชีเธอ ก็ไม่สบายถึงขั้นไม่รู้สึกตัว สามีจึงพามาหาหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็ทำพิธีถอนของให้ ซึ่งขณะที่ทำพิธีนั้น คุณชีเธอก็ปัสสวะออกมามากมาย จนเต็มถุงเก็บปัสสาวะ
และเมื่อสามีเธอได้สังเกตเห็นในถุงปัสสาวะเหมือนมีตะกอนดินตกตะกอนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมากราบเรียนถามหลวงปู่ ว่าคืออะไร หลวงปู่ท่านตอบกลับไปว่าเป็นดินป่าช้าดินผีที่เขาผสมมากับข้าวกับของกินมาให้นิดเดียว แล้วเขาก็ส่งเข้ามาได้เรื่อยๆ จนมันเยอะ ถึงขั้้นให้เกิดอาการเจ็บป่วยจนถึงตาย
หลวงปู่ท่านยังบอกอีกว่าหลวงปู่ช่วยชีวิตได้ไม่ให้ตาย แต่ร่างกายโดนทำลายไปเยอะแล้วอายุจะไม่ยืน ก็เป็นจริงอย่างที่ท่านว่าหลังจากที่ หลวงปู่ท่านกล่าว เพราะหลังจากที่ผมได้รับฟังเรื่องราวจากคุณชีได้ไม่นาน คุณชีเธอก็ได้เสียชีวิตลง และเป็นเรื่องน่าแปลกอีกอย่างที่ควรบันทึกไว้ คือศพของเธอคุณหมอไม่สามารถกรีดเส้นเลือดเพื่อฉีดฟอมาลีนได้ จนสามีของคุณชี ได้โทรมากราบเรียนปรึกษาหลวงปู่ หลวงปู่ท่านจึงอนุญาตให้ผ่าเพื่อฉีดฟอร์มาลีนได้
แสดงให้เห็นว่าลูกศิษย์คนใดก็ตาม ที่ได้ลงกระหม่อมผ่านพิธีไหว้ครู หรือไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมใดของหลวงปู่ หรือมีวัตถุมงคลใดใด และมีจิตใจเชื่อมั่นศรัทธาจริง อย่าว่าแต่จะคุ้มครองจนตลอดชีวิต แม้ตายไปแล้ว ครูบาอาจารย์ก็ยังแสดงให้ทราบ แสดงให้ได้รู้ ว่าครูบาอาจารย์ท่านรักษาอยู่จริงๆ
และมีอีกอย่างนึง ที่อยากจะให้ท่านได้ทราบกันไว้ กล่าวคือ ครั้งหนึ่งผมเคยถามหลวงปู่ว่า มีอะไรที่พระของหลวงปู่ กันไม่ได้บ้างหรือไม่ หลวงปู่ท่านนั่งนิ่ง ไปอึดใจหนึ่ง แล้วตอบว่า….. มี …..ของกิน(ถ้ามีพิษ)ต้องระวังเอาเอง ถ้ากินเข้าไปแล้วใครก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นกันได้ทุกอย่าง ผมก็เลย เรียนถามท่านว่ามี สิ่งใดที่จะป้องกันเรื่องการกินได้หรือไม่ ท่านก็เลยให้……คาถามาสามคำ….เอาไว้เสกข้าวเสกอาหารก่อนจะกิน ถ้าอาหารมีพิษหรือมีคุณไสยอยู่ เราจะไม่สามารถเคี้ยวอาหารนั้นหรือกลืนลงคอไปได้ให้คายทิ้งแล้วนำอาหารเครื่องดื่มนั้นไปทิ้งเสีย คาถาดังกล่าวมีเพียงสามคำจะขอมอบให้ลูกศิษย์หลวงปู่ทุกๆท่านเพื่อรักษาวิชาครูบาอาจารย์ไว้…คาถาคือ ….นะโตวะ….
ไหนๆก็เล่าแล้ว ก็จะเลยเถิดไปอีกสักหนึ่ง เรื่อง คิอที่เชียงใหม่นี้ ตำบล ท่าศาลา มีอาจารย์อยู่คนหนึ่ง ชื่ออาจารย์..ว… ซึ่งกิตติศักดิ์ ก็คือ แกเป็นจอมขมังเวทย์ อันดับต้นๆ ถึงขั้นลองให้ดูได้ ทุกเมื่อทุกเวลา และเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับ ครูบาองค์หนึ่ง ซึ่งได้ฉายาว่าครูบาผีกลัว วัดท่านอยู่แถวสารภี
อาจารย์ท่านนี้เวลาจะลองของให้ลูกศิษย์ดู จะใช้มีดปลายแหลม โดยเอาด้ามจับยันกับฝาบ้านไว้ และเอาด้านปลายแหลมหันปลายแทงออกมา แล้วเอาปลายแหลมจอดที่หน้าอกตัวเอง ให้ลูกศิษย์ดันตัวอาจารย์ให้เข้าหาปลายมีด ลูกศิษย์พยายามดันเท่าไหร่ คมมีดเราไม่สามารถทำอันตรายผิวหนังอาจารย์ได้ และแกยังเลื่องลือ เรื่อง เสน่ห์ เมตตามหานิยมเป็นอย่างมาก
กล่าวกันว่าถ้าผู้หญิงคนใด อาจารย์..ว..เป่าหัวแล้ว แกจะต้องได้หญิงผู้นั้นป็นเมียทุกคน เรื่องมีถึงขนาดว่าผัวของผู้หญิง เอาปืนลูกซองมาตามถึงสำนัก จนแกต้องแก้ผ้าวิ่งหนีเข้าไปในวัด จนเป็นที่โจทย์จันกันทั้งบางก็มีมาแล้ว
และอีกวิชาหนึ่งที่อาจารย์แกเชี่ยวชาญมากก็คือ การใช้ผี การเลี้ยงผี ไม่ว่าจะเป็นการ ทำลูกกรอก ทำสีผึ้ง ทำน้ำมันพรายทำซากศพต่างๆเพื่อเป็นพยนต์เฝ้าบ้าน ก็สามารถทำได้สารพัด แต่สุดท้ายยอาจารย์ก็มาสิ้นท่าเพราะข้าวเหนียวนึ่งปั้นเดียว
ซึ่งจากเท่าที่ได้ฟังมาจากลูกศิษย์ใกล้ชิดของอาจารย์..ว..แกเล่าว่า มีคนเอาข้าวเหนียวมาให้อาจารย์ เป็นข้าวเหนียวดิบแต่เมื่อนึ่งแล้ว กลับสีไม่ขาวสะอาดเหมือนข้าวเหนียวทั่วไป แกยังทักอาจารย์ว่าอาจารย์อย่ากินเลยสีมันแปลกๆ
แต่อาจารย์..ว..ก็ไม่สนใจ กินจนหมดคนเดียว หลังจากที่ได้กินข้าวเหนียวปั้นนั้นเข้าไปจนอิ่ม แกก็นอน แล้วไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกเลย เพราะอาจารย์ก็นอนนิ่งไม่สามารถขยับตัวได้นานถึง 3 วัน และเสียชีวิตในที่สุด จึงนำมาเล่าประกอบไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์
สุดท้าย ถ้าการเผยแพร่ กิตติคุณของหลวงปู่ในครั้งนี้จะเกิดอานิสงส์อันใด ก็ขอน้อมอุทิศให้คุณชี ได้รับกุศลนี้อย่างเท่าเทียมกันในสัมปรายภพ ด้วยเทอญ
cr: http://shut-skywalker.blogspot.com/