หยุด … เพื่อเข้าถึงบุญ

🎯 หยุด … เพื่อเข้าถึงบุญ 🎯
✅การเจริญภาวนา “วิชชาธรรมกาย”
มีหลักอยู่นิดเดียวเท่านั้น คือ “หยุด” ตัวเดียว
หยุดในหยุด กลางของหยุด
กลางของกลาง กำเนิดธาตุธรรมเดิมของแต่ละกาย…สุดหยาบสุดละเอียด เท่านั้นแหละ
เมื่อหยุดเข้าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น สังขาร (ขันธ์ ๕) หรือ วิสังขาร (ธรรมกาย)
ก็มี “ดวง กับ กาย” เท่านั้นแหละ
✅ในส่วนที่เป็น “สังขาร” ของกายมนุษย์ มนุษย์ละเอียด
ทิพย์ ทิพย์ละเอียด
พรหม พรหมละเอียด
อรูปพรหม อรูปพรหมละเอียด
ซึ่งเป็น “กายในกาย…ในภพ ๓”
กายเหล่านี้เรียกว่า “รูป”
แล้วส่วนที่เรียกว่า “ดวง” นั่น ประกอบด้วยอะไร ?
…ประกอบด้วย “ธรรม” ธรรม ๓ ฝ่าย (ฝ่ายขาว ฝ่ายกลาง ฝ่ายดำ)
✅เมื่อเรา หยุดในหยุด…กลางของหยุด ไปถูก “ธรรมฝ่ายขาว” (ฝ่ายสัมมาทิฏฐิ) ละเอียดเรื่อยไป เมื่อสุดละเอียดของธรรม
กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ที่เราเรียกว่า “ปฐมมรรค”
เมื่อสุดละเอียดด้วยคุณความดี คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
สูงขึ้นไปเป็น อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
เราก็จะถึง “กาย และ ดวง” … ของกายอื่นๆ
ที่ละเอียดๆ ณ ภายใน ต่อๆ ไป…จนสุดละเอียดของ กายในภพ ๓
“ดวง” นั้น นอกจากประกอบด้วย “ธรรม และ ธาตุ”
ยังประกอบด้วย “เห็น จำ คิด รู้”
✅ซึ่งเฉพาะใน “กายในภพ ๓” นี้
“เห็น จำ คิด รู้” ในแต่ละกายนั้น
ขยายส่วนหยาบมาจาก ธาตุละเอียดของขันธ์ ๕
คือ ธาตุละเอียดของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ซึ่งตั้งอยู่ที่กลางกำเนิดของธาตุธรรมเดิม ของแต่ละกาย…ไปสุดหยาบสุดละเอียด
✅“เห็น จำ คิด รู้” นี้แหละ
ที่เรา … เข้ากลางของกลาง เพื่อเข้าสู่ธรรมชาติที่เป็น “ฝ่ายบุญฝ่ายกุศล”
ส่วนธรรมชาติ “ฝ่ายบาปอกุศล” (ธรรมดำ)
หรือ “ธรรมกลาง” นั้น…ก็จะจางไปเรื่อย ๆ
✅“เห็น จำ คิด รู้” … จึงเบิกบาน โตใหญ่ ใสละเอียด
ไปตามธาตุและธรรม ของกายในกายแต่ละกาย
จากหยาบ ละเอียดเข้าไป ๆ ก็โตใหญ่ ใสละเอียดเข้าไป…จนสุดละเอียด
นี่ของ “กายในภพ ๓”
สุดละเอียดของ กายในภพ ๓
…ก็ถึงดวง ถึงกาย “ธาตุล้วน ธรรมล้วน”
✅“ดวง” ก็คือ “ธรรม” นั่นเอง ของ ธาตุล้วนธรรมล้วน
นับตั้งแต่ ธรรมกายโคตรภู โคตรภูละเอียด
โสดา โสดาละเอียด
สกิทาคา สกิทาคาละเอียด
อนาคา อนาคาละเอียด
อรหัต อรหัตละเอียด
ทับทวีเป็น เถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด … จนสุดละเอียดนั้นแหละ
สุดละเอียดนี้ ก็เป็น…ธาตุล้วนธรรมล้วน
ล้วนนี้ยังไม่ล้วนแท้นะ จะบอกเสียก่อน
✅ธาตุล้วนธรรมล้วนที่แท้ คือ ที่เป็น “พระนิพพาน” (ธรรมกายที่บรรลุอรหัตผลแล้ว)
จึงเบิกบานเต็มธาตุเต็มธรรม ไม่ถอยหลังอีกโดยเด็ดขาด
คือไม่มีต่ำลงมา คือ สูงไปสุดสูง
นั่นแหละ…ธาตุล้วนธรรมล้วนแท้ๆ
✅ถ้าตั้งแต่ ธรรมกายโคตรภู
ยังไม่ขึ้นไปจนถึง “อริยบุคคล” (ธรรมกายมรรค ธรรมกายผลจริงๆ)
ก็นับว่าเป็นแท้เหมือนกัน แต่แท้…ยังไม่แท้หมดจด ยังไม่ใช่วิสุทธิสัตว์
จะเป็นหมดจดแท้ๆ เมื่อเป็นถึง นิพพาน พระนิพพาน ธรรมกายตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ธรรมชาตินี้ ก็ยังมี “ดวง กับ กาย” นั่นแหละ
แต่ดวงกับกายนั่น…เป็น “ธาตุล้วน” คือ ธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย
ธรรมกาย…เราไม่เรียกว่า “รูป”
ใจ…เราก็ไม่เรียกว่า “นาม”
ไม่มีนาม ไม่มีรูป
เพราะ นามรูป เกิดแต่สังขาร
สังขาร เกิดแต่อวิชชา
ธรรมกายที่สุดละเอียดเข้าไปเท่าไรนั้น…ยิ่งปราศจาก “อวิชชา”
✅ใน “วิชชาธรรมกาย” นั้น เราทำ สมถวิปัสสนากัมมัฏฐานคู่กัน โดยความเป็นนิโรธ หรือ มีนิโรธเป็นโคจร ดับหยาบไปหาละเอียด
ดับสมุทัย ปหานอกุศลจิต…ของกายในภพสาม
เพื่อไปสู่ “โลกุตตรมรรค” เป็น ปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา ของ “กายธรรม” อันนี้เราทำไป…ดับหยาบไปหาละเอียด
การเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกาย จึงต้องทำ “นิโรธ”
หยุดในหยุด กลางของหยุด
และ ดับหยาบไปหาละเอียด เข้าไปจนสุดละเอียดเรื่อยไป…ไม่ถอยหลังกลับ
เราทำไป…ยิ่งละเอียดเท่าไร
เราก็จะได้ธาตุธรรมของ ภาคผู้เลี้ยง ผู้สอด ผู้ส่ง ผู้สั่ง ผู้บังคับ ถึงภาคผู้ปกครอง
ถึง “ต้นธาตุต้นธรรม” ที่เป็นฝ่ายบุญกุศล ฝ่ายสัมมาทิฏฐิ…เชื่อมถึงกันตลอดหมด
✅นี้เป็นจุดเดียวที่เล่าให้ฟัง
เพื่อให้รู้ว่า “วิชชาชั้นสูง” ทำทำไม เพื่ออะไร ?
เพื่อ “เก็บธาตุและธรรม” ของ ภาคมาร หรือ ฝ่ายบาปอกุศล
ในธาตุธรรม “เห็น จำ คิด รู้” ของแต่ละกาย
ณ ภายในจากสุดหยาบ…ไปสุดละเอียดถึง “ต้นธาตุต้นธรรมของเขา”
✅เราละเอียดไปเท่าไร
มีอานุภาพเป็นการ “เก็บธาตุธรรม” ภาคมาร หรือ ฝ่ายบาปอกุศล
ให้เหลือเป็นแต่ “ธาตุธรรมของฝ่ายบุญกุศล”
เข้าไปจนสุดละเอียดไปเพียงนั้น …”
🙏โอวาทธรรม🙏
พระเทพญาณมงคล วิ. (หลวงป๋า)
(เสริมชัย ชยมงฺคโล) วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

แชร์เลย

Comments

comments

Share: