สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 17 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ.2515 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 1 พรรษาเศษ สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ.2517 พระชนมายุได้ 77 พรรษา
พระองค์มีพระนามเดิมว่า ปุ่น ประสูติเมื่อปี พ.ศ.2439 ที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
การศึกษาในเบื้องต้น เรียนกับบิดาของท่านจนอ่านออกเขียนได้ แล้วจึงไปเรียนภาษาบาลีอักษรขอมและมูลกัจจายน์ กับพระอาจารย์หอม และอาจารย์จ่าง ที่วัดสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
เมื่อพระชนม์ได้ 10 พรรษา ได้มาอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ โดยพระอาจารย์หอมได้พามาฝากให้เป็นศิษย์พระอาจารย์ป่วน
เมื่อพระชนม์ได้ 16 พรรษา ได้ย้ายมาอยู่กับพระอาจารย์สด (พระมงคลเทพมุนี วัดปากน้ำภาษีเจริญ) ณ วัดพระเชตุพน แล้วกลับไปบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสองพี่น้องจังหวัดสุพรรณบุรี และได้อุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.2460
พ.ศ.2456 | สอบได้นักธรรมตรี | |
พ.ศ.2458 | สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ขณะเป็นสามเณร | |
พ.ศ.2462 | สอบได้นักธรรมโท | |
พ.ศ.2463, 2466, 2470 | สอบได้เปรียญธรรม 4, 5 และ 6 ประโยค ตามลำดับ | |
พ.ศ.2483 | เป็นกรรมการแปลพระไตรปิฎก แผนกพระวินัยเป็นภาษาไทย | |
พ.ศ.2484 | ได้รับพระราชทานสมศักดิ์ เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระอมรเวที เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน เป็นคณาจารย์เอกทางเทศนา | |
พ.ศ.2486 | เป็นเจ้าคณะตรวจการณ์ภาคบูรพา (8 จังหวัดภาคตะวันออก) เป็นเจ้าคณะตรวจการณ์ภาค 2 (10 จังหวัดภาคกลาง) เป็นกรรมการสังคายนา พระธรรมวินัย | |
พ.ศ.2488 | เป็นสมาชิกสังฆสภา | |
พ.ศ.2489 | เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสุธี | |
พ.ศ.2490 | เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน | |
เป็นกรรมการสภามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย | ||
พ.ศ.2491 | เป็นสังฆมนตรีสมัยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน เป็นกรรมการ และเลขาธิการ คณะกรรมการสังมาณัติระเบียบพระคุณาธิการและได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมดิลก | |
พ.ศ.2492 | เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค 2 (ภาคบูรพาเดิม) เป็นสภานายกสภาพระธรรมกถึก | |
พ.ศ.2493 | เป็นสังฆมนตรีสมัยที่ 2 | |
พ.ศ.2494 | เป็นสังฆมนตรีสมัยที่ 3 และ 4 เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค 7 (8 จังหวัดภาคกลาง) | |
เป็นกรรมการเจ้าคณะตรวจการภาค เป็นอนุกรรมการอบรมศีลธรรมและวัฒนธรรมแก่ข้าราชการ และประชาชน | ||
พ.ศ.2499 | เป็นพระราชาคณะ เจ้าคณะรองที่ พระธรรมโรดม เป็นสังฆมนตรี (ว่าการองค์การสาธารณูปการ) สมัยที่ 5 | |
พ.ศ.2503 | เป็นสังฆมนตรี (ว่าการองค์การเผยแผ่) สมัยที่ 6 | |
พ.ศ.2504 | ได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระวันรัต | |
เป็นกรรมการพิจารณาหลักสูตรการศึกษาปริยัติธรรมแผนกบาลี | ||
พ.ศ.2506 | เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม | |
พ.ศ.2508 | เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นรักษาการเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก หนเหนือ และหนใต้ | |
พ.ศ.2509 | เป็นแม่กองงานพระธรรมทูต | |
พ.ศ.2510 | เป็นผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชระหว่างที่พระองค์เสด็จเยือนลังกา | |
พ.ศ.2515 | เป็นเจ้าคณะนครหลวงกรุงเทพธนบุรี |
ผลงานของพระองค์ นอกจากที่ได้รับแต่งตั้งให้ปฎิบัติงานตามตำแหน่งหน้าที่และงานพิเศษต่างๆ ที่ได้รับมอบอย่างครบถ้วนแล้ว ยังมีงานด้านพระศาสนาที่ทรงริเริ่มพัฒนาอีกเป็นจำนวนมาก กล่าวคือ
- งานด้านการก่อสร้าง และปฎิสังขรณ์ ทรงก่อสร้างและปฎิสังขรณ์ทั้งปูชนียสถานเช่น พระอาราม สาธารณสถาน เช่น พิพิธภัณฑ์ โรงเรียน โรงพยาบาล ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นจำนวนมาก
- งานด้านมูลนิธิ ทรงก่อตั้งและสนับสนุนมูลนิธิที่ดำเนินงานด้านธรรม ด้านวิชาการ และการศึกษา และด้านสาธารณูปการ เป็นจำนวนมาก
- งานด้านพระนิพนธ์ มีพระธรรมเทศนาจำนวนมากวันสำคัญทางศาสนา, ประมวลอาณัติคณะสงฆ์,
สารคดี เช่น สู่เมืองอนัตตา, พุทธชยันตี เดีย-ปาล (อินเดีย-เนปาล), สู่สำนักวาติกัน และนิกสัน, บ่อเกิดแห่งกุศล คือโรงพยาบาล เป็นต้น
ธรรมนิยาย เช่น จดหมายสองพี่น้อง, สันติวัน, พรสวรรค์, หนี้กรรมหนี้เวร, ไอ้ตี๋, ดงอารยะ, เกียรติกานดา, คุณนายชั้นเอก, ความจริงที่มองเห็น, ความดีที่น่าสรรเสริญ, อภินิหารอาจารย์แก้ว, กรรมสมกรรม - งานด้านต่างประเทศ
ทรงไปร่วมประชุมฉัฎฐสังคายนาพระไตรปิฎก ณ ประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ.2497
ไปร่วมงานฉลองพุทธชยันตี (25 พุทธศตวรรษ) ณ ประเทศศรีลังกา เมื่อปี พ.ศ. 2499
นอกจากนี้ยังทรงไปและสังเกตการณ์พระศาสนาและเยือนวัดไทยในต่างประเทศอีกเป็นจำนวนมาก