เจริญพร ญาติโยมสาธุชนทุกท่าน
อาตมภาพจะได้กล่าวถึง การสำรวมจากการเสพสิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นมงคลสูงสุด
แต่ก่อนที่จะได้อธิบายขยายความต่อไปนั้น อาตมภาพใคร่ขอโอกาสอัญเชิญพระราชดำรัสของพระมหากษัตราธิราชเจ้าของไทย แต่ละพระองค์ ล้วนทรงมีพระราชหฤทัยมั่นคงในพระรัตนตรัย ผู้รักษาชาติ รักษาแผ่นดิน และพระพุทธศาสนา ร่วมเป็นร่วมตายกันมากับบรรพบุรุษของเรา เอาไว้ให้ลูกหลานไทยได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขอยู่ในทุกวันนี้ พอให้เป็นเครื่องเตือนใจให้รำลึกถึงพระคุณของพระองค์ท่าน เริ่มด้วยพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์ปัจจุบันของเรานี้ เมื่อทรงลาผนวชต่อพระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และข้าราชการ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ได้ตรัสว่า
“โดยที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของเรา ทั้งตามความศรัทธาเชื่อมั่นของข้าพเจ้า ก็เห็นเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง เนื่องในบรรดาสัจจธรรมคำสั่งสอนอันชอบด้วยเหตุผล จึงเคยคิดอยู่ว่าถ้าโอกาสอำนวย ข้าพเจ้าควรจักได้บวชสักเวลาหนึ่ง ตามราชประเพณี ซึ่งจักเป็นทางสนองพระเดชพระคุณพระราชบูรพการีตามคตินิยมด้วย…”
อาตมภาพจึงขอฝากพระราชปณิธานของพระมหากษัตราธิราชของไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงพระองค์ปัจจุบัน ดังที่ได้นำเสนอมาแล้วข้างต้นนี้ ให้แก่สาธุชนชาวไทย ให้ลูกไทย หลานไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติ อีกทั้งคณะรัฐบาล ข้าราชการทุกหมู่เหล่า และชาวต่างประเทศผู้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ได้ทราบ และได้ระลึกถึงพระคุณของพระองค์พร้อมทั้งของบรรพบุรุษของไทย ผู้ได้เสียสละชีวิต เลือดเนื้อ เพื่อประเทศชาติและเพื่อพระพุทธศาสนา ซึ่งมีแต่นำความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกชาติ ทุกศาสนาอีกด้วย พระพุทธศาสนาไม่เคยเบียดเบียนใคร มีแต่นำมาซึ่งความสันติสุขทุกเมื่อ เมื่อได้ระลึกรู้ดังนี้แล้ว
- จักได้ไม่คิดไม่กระทำการเปิดช่องให้ศัตรูผู้ไม่ปรารถนาดี ได้ช่องฉกฉวยโอกาสทางการเมือง ลบล้างสถานะของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ มีประชาชนคนไทยนับถือกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ มาตั้งแต่โบราณกาล ให้มีฐานะในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผิดไปจากความเป็นศาสนาประจำชาติ อันผิดไปจากพระราชปณิธานของพระมหากษัตราธิราช และบรรพบุรุษของไทย และ
- จักได้รู้จักคิดตอบแทนพระคุณท่าน ผู้กระทำคุณแก่เราก่อน ด้วยการปกป้องสถานะของพระพุทธศาสนา ตามความเป็นจริงว่า พระศาสนธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ “เป็นศาสนาประจำชาติไทย”
ก็จักได้เป็นศิริมงคลแก่ชีวิต
ผู้อาศัยผืนแผ่นดินไทย ผู้ใดอกตัญญู ไม่รู้คุณพระมหากษัตราธิราชเจ้า และบรรพบุรุษของไทย บังอาจลบล้างพระราชปณิธานของพระองค์ท่าน ย่อมเป็นบุคคลอัปมงคล ย่อมจะหาความเจริญและความสันติสุขที่แท้จริงไม่ได้ ตลอดชีวิต
สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย บัดนี้เราคงต้องระลึกถึง และปฏิบัติตามพระธรรมภาษิต ที่มีมาในขุททกนิกายชาดก อสีตินิบาต พระไตรปิฎกเล่มที่ 28 หน้า 147 แล้วว่า
“พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เมื่อรักษาชีวิตพึงสละอวัยวะ
เมื่อคำนึงถึงธรรม พึงสละอวัยวะ ทรัพย์ และแม้ชีวิต ทุกอย่าง”
เพื่อรักษาสถานภาพพระศาสนธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสนาประจำชาติ ดุจเดียวกันกับเหล่าทหารหาญของชาติ จะพึงรักษาธงชัยเฉลิมพล อันมีพระยอดธง คือ พระพุทธปฏิมาประดิษฐานอยู่เบื้องบนยอดสูงสุดของธงชัยเฉลิมพล เพื่อเป็นมิ่งขวัญของกองทัพไทยทุกหมู่เหล่า แม้ด้วยชีวิต ฉันใด ฉันนั้น
สาธุชนทั้งหลาย ภัยที่กำลังคุกคามประชาชนของชาติ และแม้ประชาชนทั้งหลายในโลก มีมากมายหลายประการ แต่ต่อไปนี้ อาตมภาพใคร่จะขอกล่าวถึงภัยจากสิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ว่า เป็นภัยร้ายแรงแก่ประชาชนผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่พากันหลงเสพ หลงติด หลงมัวเมาอยู่กับสิ่งเสพติดต่างๆ จึงได้รับผลเป็นโทษ เป็นความทุกข์เดือดร้อน ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นเป็นอย่างมาก อยู่ในทุกวันนี้ และเป็นโทษร้ายแรงแก่ทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่าย อย่างมากอีกด้วยเช่นกัน
คำว่า “เสพ” ณ ที่นี้หมายถึงการกระทำโดยเจตนาให้สิ่งมึนเมาให้โทษเหล่านี้ เข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะโดยการดื่ม หรือกลืนกินเข้าไปทางปาก หรือว่าการสูบ การสูดดม หรือการนัตถุ์เข้าไปทางจมูก หรือว่าการฉีด การอบ การรมให้เข้าทางผิวหนัง หรือใต้ผิวหนัง ก็ตาม
ส่วนคำว่า “สิ่งมึนเมา ให้โทษ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท” นั้น มีมากมายหลายชนิด ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสคำว่า “มัชชะ” คือ สิ่งมึนเมา ได้แก่ สุรา และ เมรัย ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำดื่ม ได้แก่ น้ำหมักดองด้วยแป้ง ขนม ข้าวสุก ใส่เชื้อและเครื่องปรุงต่างๆ แล้วก็กลั่นออกมานี้ ชื่อว่า “สุรา” ส่วนน้ำดองด้วยผลไม้ ดอกไม้ น้ำหวาน น้ำอ้อย หรือด้วยเครื่องปรุงที่ยังมิได้กลั่น ชื่อว่า “เมรัย” อย่างที่เห็นมีอยู่ในทุกวันนี้ ได้แก่ เบียร์ กระแช่ น้ำตาลเมา เหล่าองุ่น เป็นต้น แต่ในทุกวันนี้ สิ่งมึนเมาให้โทษ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทนั้น มีมากมายหลายชนิด เช่น ฝิ่น เฮโรอีน สารระเหย ยาม้า (แอมเฟตามิน) ยาอี แม้ยาสูบ และใบกระท่อม เหล่านี้เป็นต้น
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงโทษของสิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุราและเมรัย ว่ามีโทษมากที่สำคัญ 6 ประการ มีปรากฏในสิคาลสูตร (ที. ปาฏิ. 11/197) ว่า
“คฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เหล่านี้ มี 6 ประการแล คือ
เป็นเหตุเสื่อมทรัพย์ทันตาเห็น 1
เป็นเหตุก่อความทะเลาะ 1
เป็นบ่อเกิดของโรคทั้งหลาย 1
เป็นเหตุก่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง 1
เป็นเหตุเปิดเผยอวัยวะที่ลับ 1
เป็นเหตุทอนกำลังปัญญา 1″
ตามพระพุทธดำรัสนี้ ในความหมายอย่างกว้าง ผู้เสพบ่อยๆ เนืองๆ หรือผู้ติดสิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท แม้อย่างอื่น นอกจากสุราและเมรัย ก็ย่อมมีโทษตามพระพุทธดำรัสนี้ทั้งสิ้น
ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า การเสพบ่อยๆ เนืองๆ หรือติดสิ่งเสพติด มึนเมา เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ว่ามีโทษ 6 ประการนั้น จะขอชี้แจงไปตามลำดับดังนี้
1) สนฺทิฏฺฐิกา ธนชานิ เป็นเหตุเสื่อมทรัพย์ทันตาเห็น หมายความว่า ทรัพย์ที่มีอยู่แล้วย่อมเสื่อมสิ้นไป ทรัพย์ที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นได้ด้วยยาก ที่มีอยู่แล้วต้องเสื่อมสิ้นไป ก็เพราะต้องซื้อต้องหามาเป็นมูลค่าหรือราคาเพิ่มมากขึ้นทุกที ตามระดับที่ต้องการเสพบ่อยๆขึ้น จนติด
ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆ อย่างเช่น สุรา เบียร์ ไวน์ เป็นต้น ซึ่งเป็นที่แพร่หลายในสังคมทุกระดับ นิยมหามาดื่มทั้งเป็นส่วนตัว และทั้งนำมาใช้ในงานเลี้ยงรับรองหมู่คณะต่างๆ ทำให้ต้องเสียเงินเสียทองไปเป็นอันมาก กระทบกระเทือนฐานะเศรษฐกิจ ทั้งส่วนตัวส่วนบุคคลและทั้งเศรษฐกิจโดยส่วนรวมของประเทศเป็นอันมาก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย หรือปานกลาง ก็ยังตะเกียกตะกายหาซื้อมาดื่ม และเลี้ยงดูกัน แทนที่จะเก็บออมไว้ใช้ในยามจำเป็น หรือในเรื่องจำเป็น ก็ลงขวดเหล้าหมด ครอบครัวก็เดือดร้อน เพราะรายได้ไม่พอรายจ่าย ส่วนผู้มีฐานะปานกลางก็พยายามตะเกียกตะกายหาเหล้าราคาแพงๆ เหมือนคนฐานะดีเขาหามาดื่มกัน เพื่อแสดงว่าตนก็เป็นคนมีระดับกับเขา แต่กระเป๋าแฟบ ส่วนคนฐานะดีก็หลงโอ้อวดความเป็นเศรษฐี มีเงิน ซื้อเหล้าดีๆ ราคาแพงๆ มาดื่ม มาเลี้ยงกัน หรือแจกให้กัน ก็ต้องหาทางกอบโกยให้ได้เงินทองมาจับจ่ายใช้สอยมากๆ เหล่านี้แหละ ที่เป็นบ่อเกิดแห่งการประกอบมิจฉาอาชีวะ คือประกอบอาชีพทุจริต หรือคอรัปชั่นต่างๆ การกบฏคดโกงต่างๆ หรือผู้มีอำนาจเงิน อำนาจพวกพ้องหมู่เหล่า ก็จะใช้อำนาจเงิน อำนาจพวกพ้อง หรืออำนาจเถื่อน นอกกฎหมาย กอบโกยเงินทองมาเพื่อผดุงฐานะของตน แล้วก็ใช้จ่ายเงินไปในเรื่องไร้สาระ ไปจนตาย ด้วยโรคภัยอันเกิดแต่สิ่งเสพติดมึนเมา ให้โทษ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อย่างนี้ๆ
นอกจากนี้ ผู้เสพและ/หรือติดยาเสพติดทุกชนิด ยังเป็นผู้ประมาทมัวเมาในชีวิต ขาดสติสัมปชัญญะ อันเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุ และกระทำผิดกฎหมายต่างๆ ได้โดยไม่รู้สึกตัว ทำให้เสียทรัพย์ เสียเวลาในการประกอบสัมมาอาชีวะอีกมาก
เฉพาะแต่ผู้เสพยาบ้า ซึ่งมีผู้เสพติดทั่วประเทศกว่า 1 ล้านคนแล้วนั้น ผู้เสพ มีโทษฐานกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 100,000 บาท อีกด้วย ส่วนผู้ผลิตนั้น มีโทษจำคุกตลอดชีวิต ถึงประหารชีวิตทีเดียว และผู้ใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้ายให้ผู้อื่นเสพ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึงตลอดชีวิต ปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 300,000 บาท
เหล่านี้คือโทษของสิ่งเสพติด มึนเมา ให้โทษ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์ที่มีอยู่แล้วเสื่อมสิ้นไป แล้วยังเป็นเหตุให้ทรัพย์ที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นได้ยาก ดังเช่น เยาวชนของชาติ ซึ่งอยู่ในวัยเรียน ในวัยศึกษาหาความรู้ เมื่อได้เสพหรือติดสิ่งเสพติด การเรียนก็เสีย เมื่อความรู้ไม่มี ความสามารถก็ไม่มา สติปัญญาก็เสื่อมถอย ความดีไม่ทำ คุณธรรมก็ไม่มี แล้วจะไปหางานดีๆ ให้มีรายได้สูงๆ ได้ที่ไหน ? ใครเขาจะจ้างคนที่ขาดทั้งความรู้ ความสามารถ ขาดทั้งสติปัญญาและคุณธรรม ให้ไปทำงานรับผิดชอบโครงงาน ที่มีงบประมาณการเงินมากๆ และให้ไปเป็นหัวหน้าคนงานของเขา ? ลงท้ายก็ไม่มีงานดีทำ รายได้จากการงานสุจริตก็ไม่มี หรือมีได้ด้วยยาก หนักเข้าก็หันไปประกอบอาชีพทุจริต คิดมิชอบ นำตนไปสู่ความเสื่อม เป็นโทษ ถึงซึ่งความทุกข์เดือดร้อนยิ่งๆ ขึ้นไป ยากที่จะถอนตนขึ้นมาสู่คุณความดี เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการประกอบสัมมาอาชีวะ ให้ถึงความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุขได้
ส่วนผู้ใหญ่ เมื่อเสพสิ่งเสพติดมึนเมา มากเข้า ทั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญาความสามารถ ก็เสื่อมถอย สมองก็เฉื่อยชา กลายเป็นคนขี้เกียจทำงาน แม้สิ่งเสพติดบางชนิด เมื่อเสพ จะกระตุ้นประสาทให้ขยันก็เพียงชั่วขณะ แล้วกลับอ่อนเพลียทั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญา ต่อๆ ไปอีก ค่อยๆ กลายเป็นคนไร้ความสามารถ ประสิทธิภาพการทำงานก็ลดน้อยถอยลงตามลำดับ จนถึงทำงานรับผิดชอบสูงๆ ไม่ได้ ทรัพย์คือรายได้สูงที่ตนควรจะมีจะได้ ก็กลับจะมีรายได้ลดน้อยลง หรือกลับไม่มีรายได้สูงๆ อีก นี้เรียกว่า ทรัพย์ที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น หรือ เกิดขึ้นได้ด้วยยาก
2) กลหปฺปวฑฺฒนี เป็นเหตุก่อความทะเลาะ นี้เห็นได้ง่ายในวงสุราหรือในแหล่งอบายมุข ที่มีการเสพสุราเมรัยโดยทั่วไป และที่เห็นเป็นโทษหนัก ก็ได้แก่ ในวงการผลิตและจำหน่าย ฝิ่น เฮโรอีน และยาบ้า เป็นต้น ปรากฏว่ามีการหักหลัง และการทะเลาะถึงฆ่ากันตายมามากต่อมาก เพราะความโลภ
3) โรคา อายตนํ เป็นบ่อเกิดของโรคทั้งหลาย ที่เห็นได้ง่ายและชัดเจนคือ ผู้ดื่มสุรา เบียร์ เหล่าองุ่น หรือไวน์ เป็นต้น บ่อยๆ จนติด สุขภาพกายก็จะค่อยๆ เสื่อมโทรม หนักเข้าๆ ก็ถึงเป็นโรคแอลกอฮอลิสม์ โรคตับแข็ง และเป็นเหตุให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ได้อีกมากมาย ทำให้กลายเป็นคนขี้โรค อ่อนแอ และอายุสั้น คือตายก่อนวันอันสมควร
ส่วนผู้เสพยาฝิ่น เฮโรอีน ยาบ้า (แอมเฟตามิน) และยาอี ก็มีโทษแก่สุขภาพร่างกาย และจิตใจ มากเช่นกัน แต่เดิม ยาฝิ่นและเฮโรอีนนั้น มีโทษร้ายแรงแก่สุขภาพร่างกายมากกว่ายาบ้า ยาอี แต่ในปัจจุบันนี้ ยาบ้าและยาอีก็มีโทษร้ายแรงเหมือนกัน เพราะมีส่วนผสมเฮโรอีน และ/หรือยาฆ่าแมลงเข้าไปด้วย จึงทำให้ทั้งมีราคาแพงขึ้น และทั้งมีโทษร้ายแรงขึ้นอีกมาก
เฉพาะ “ยาบ้า” และ “ยาอี” นั้น เป็นยากระตุ้นประสาท ทำให้ผู้ใช้คิดว่าจะสามารถทำงานได้มากกว่าปกติ ไม่ง่วง ถ้าใช้ยานี้นานๆ จะทำให้เสพติดได้ ยาประเภทนี้จะทำลายสมองและประสาท ทำให้ขาดสติ เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุและการทำผิดกฎหมายต่างๆ ได้ โดยไม่รู้ตัว เช่น ทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมงาน หรือใช้อาวุธจี้เด็กเป็นตัวประกัน เป็นต้น เป็นยาที่มีฤทธิ์ทำให้เสพติดและก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ ปัจจุบันมีผู้ใช้แรงงานจำนวนมากที่นำยาบ้า ยาอี ไปใช้ในทางที่ผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งก่อให้เกิดโทษต่อผู้ใช้ใน 2 ลักษณะ คือ
- โทษที่เกิดขึ้นทันทีทันใด ทำให้มึนศีรษะ ประสาทตึงเครียด จิตใจสับสน กระวนกระวาย ตกใจง่าย เพ้อคลั่ง มีอาการชัก หมดสติ อาจถึงตายได้ บางรายตายเพราะหลอดโลหิตในสมองแตก หรือหัวใจวาย
- โทษเรื้อรัง การใช้ยาเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดสุขภาพทรุดโทรมทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้ร่างกายเกิดโรคติดเชื้อได้ง่าย เช่น โรคตับอักเสบ ไตไม่ทำงาน โรคเกี่ยวกับปอด นอกจากนั้นทุกรายจะมีอาการสมองเสื่อม ตื่นเต้น ตกใจง่าย เป็นโรคจิตชนิดหวาดระแวง สับสน และเกิดอาการประสาทหลอน ถึงกับเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
เป็นที่น่าห่วงใยอย่างยิ่ง ที่ผู้ใช้แรงงานทุกประเภท เช่น คนขับรถ คนงานเกี่ยวข้าว ผู้ทำงานก่อสร้าง คนทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม คนงานประมง คนงานรับจ้างทั่วไป ถูกหลอกลวง ถูกชักจูงหรือถูกบังคับให้ใช้ยาบ้า ยาอี กันมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง ต่อสุขภาพร่างกายของผู้ใช้ และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องทำงานอยู่กับเครื่องจักรกล หรือขณะขับรถ เพราะ
- ร่างกายถูกกระตุ้นให้ต้องทำงานหนักเกินกำลัง ประสาทไม่สั่งการ จึงควบคุมตนเองไม่ได้
- เกิดหลับในขณะทำงาน เนื่องจากหมดฤทธิ์ยา
- คลุ้มคลั่ง ประสาทหลอน
สาเหตุของการใช้ยาบ้า ยาอี ก็เพราะ
- เข้าใจผิดคิดว่า การใช้ยาบ้า ยาอี จะช่วยให้ทำงานได้มากขึ้น
- ถูกหลอกลวง ชักชวน ถูกบังคับให้ใช้โดยไม่รู้ว่าเป็นยาบ้า ยาอี
เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้กล่าวในการสัมมนาเรื่อง “เด็กและสตรีที่ถูกเหยียบย่ำ ภาระที่รออยู่” เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า
“เหตุผลของการใช้ยาบ้าของเยาวชนต่างจากผู้ใหญ่ คือ ใช้เพื่อให้เข้ากับกลุ่มเพื่อนได้ เพื่อความสนุกสนาน คึกคักโดยเฉพาะกรณีที่มีการเที่ยวกลางคืนตามแหล่งเริงรมย์ ในขณะที่ผู้ใหญ่ใช้เพื่ออาชีพเป็นส่วนใหญ่ เราจึงพบว่า มีวัยรุ่นใช้ยาบ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการที่ผลิตง่าย หาตลาดง่าย มีกำไรสูง คนที่ค้ายาบ้าจึงมีอยู่ทั่วไป และเป็นคนที่หลายคนนึกไม่ถึง เช่น ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คนเฒ่าคนแก่ หรือแม้แต่เด็กนักเรียน เพราะผลกำไรมหาศาล”
ส่วนลักษณะการแพร่เข้าไปในโรงเรียน เลขาธิการ ป.ป.ส.เปิดเผยว่า ในอดีตเริ่มจากซื้อต่อจากคนขับรถซึ่งมีการใช้ยาอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันเอเย่นต์จะส่งคนเข้าไปตามโรงเรียน และชักชวนให้ลอง เมื่อเด็กติดงอมแงม ต้องการซื้อยาเพิ่มขึ้น เอเย่นต์ก็จะแนะนำให้เด็กกลายเป็นผู้ขายและหาเพื่อนฝูงมาเป็นลูกค้า ซึ่งเด็กจะลอบนำยาเข้าไปขายโดยซุกไว้ที่ขอบเอวกางเกง และจากการที่ตัวยาราคาสูงขึ้น เด็กนักเรียนส่วนใหญ่จึงนิยมลงขันกันเสพ หรือที่เรียกว่า “ตีกอล์ฟ” ทำให้การเสพยาบ้าเปลี่ยนมาใช้วิธีเผาแล้วสูด หรือ ฉีดเข้าเส้นเลือดแทน
นอกจากนี้ บุหรี่ เป็นสิ่งเสพติดอีกอย่างหนึ่ง ที่มีโทษให้เสียสุขภาพ และเป็นโรคร้ายประเภท “มัจจุราชผ่อนส่ง” ให้ถึงสิ้นชีวิตได้ในที่สุด ข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดย ศ.น.พ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวถึงสถิติขี้ยาไทย ปี พ.ศ.2539 ว่า มีมากกว่า 11 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 23.4 ของประชากรอายุ 11 ปีขึ้นไป และปรากฏว่า เยาวชนวัยรุ่นตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป นิยมสูบกันมากขึ้น
สมจริงดังบทความเรื่อง ความดีของบุหรี่ โดย ธนพร รัตนสุวรรณ ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 30 เมษายน ศกนี้ ได้บทสรุปว่า “ความดีของบุหรี่นั้นไม่มีเลย” และได้กล่าวถึงโทษของบุหรี่ว่า
“บุหรี่เป็นสาเหตุของโรคปอดและโรคอื่นๆ อีกหลายต่อหลายอย่าง มีผู้คำนวณว่าสูบบุหรี่ 1 มวน ทำให้อายุสั้นลง 5.5 นาที ถ้าสูบวันละ 1 ซองก็สั้นลง 11 นาทีต่อวัน สำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า คนไทยสูบบุหรี่ 20-30% ของประชากรทั้งหมด โดยผู้ชายสูบ 46.6% และผู้หญิงสูบ 3.6%
อัดบุหรี่ 1 ครั้ง จะได้สารพิษทั้งที่อยู่ในรูปของควันและสารละลาย เมื่อวิเคราะห์แล้วมากกว่า 4,000 ชนิด โดยเป็นสารประกอบจากยาสูบและส่วนประกอบอื่น ได้แก่ กระดาษ กาว สี กลิ่นปรุงแต่ง วิธีที่แต่ละคนจะได้รับสารพิษ มากหรือน้อยก็ขึ้นกับเทคนิคการสูบ ซึ่งแล้วแต่ชอบ และขึ้นอยู่กับอารมณ์ลุ่มลึกที่มีอยู่ในขณะนั้น ถ้ากำลังเครียดสูดฟืดเดียวแล้วพ่นควันออกเลย สูบหลังอาหารอารมณ์ดี หรือนั่งฟังเพลงในผับก็สูบแล้วอมก่อน แล้วพ่นได้เป็นรูปต่างๆ หรือสูดแล้วอัดเข้าไปในปอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้
บุหรี่ทำให้เกิดโรคปอดและทางเดินหายใจ เป็นหวัดง่าย หายช้า ลงปอดและหลอดลม กลายเป็นหลอดลมอักเสบนานๆ คนที่เป็นหืดสูบบุหรี่แล้วหืดจับง่ายจับบ่อย ทำให้มีกลิ่นปาก เป็นโรคเหงือก มีคราบสีเหลืองจับที่ตามฟัน ขัดออกยาก เสียบุคลิก ที่สำคัญพบว่า บุหรี่สัมพันธ์กับโรคหลอดลมอักเสบ และถุงลมไปทีละนิดๆ ทำให้สมรรถภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซไม่ดี นานๆ เข้าทำอะไรก็เหนื่อยง่าย อยากจะทำอยากจะเดินเร็ว อยากจะวิ่งออกกำลังกายก็ทำไม่ได้ ในที่สุดแม้จะอาบน้ำแปรงฟันก็ทำไม่ไหว ต้องนอนแซ่วบนเตียงดมออกซิเจนช่วย เหมือนอย่างที่หลายคนได้เคยประสบ และต้องเสียชีวิตมาแล้ว
บุหรี่สัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งในปอดโดยตรง รวมทั้งมะเร็งช่องปากและกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และไต มะเร็งตับอ่อน และกระเพาะอาหาร มะเร็งปากมดลูก และเยื่อบุมดลูก
นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยที่สำคัญของโรคหลอดเสียง หัวใจขาดเลือด แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดของผู้ติดบุหรี่ ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับผู้ติดสุราและเมรัย ก็คือ ผู้เสพติดจะปฏิเสธไม่ยอมเลิก โดยยกเหตุผลต่างๆ นานา มาอ้างหักล้างมากที่สุด
วิธีเลิกบุหรี่ ทำได้แน่นอน ถ้ามีจิตใจที่แน่วแน่เข้มแข็ง วิธีเลิกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ หยุดเลยทันที ตัดใจ 15 นาที โยนซองบุหรี่ทิ้งทันที (ห้ามสูบให้หมดก่อน เสียดายของและห้ามทำลายบุหรี่โดยการเผาแล้วสูดควัน)
อย่าคิดใช้วิธีค่อยๆ ลดจำนวนลง เพราะไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ได้เขียนบทความเรื่องบุหรี่ทำลายสุขภาพและเสพติด ลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันพุธที่ 23 เมษายน ศกนี้ ความว่า
“บุหรี่ไทยสวนกระแสโลก” ขณะที่ทั่วโลกตื่นตัวจากอันตรายของบุหรี่ ถึงกับมีการฟ้องร้องเรียกค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียหายต่อบริษัทบุหรี่ จากผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด โรคหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง ทั้งในยุโรปและอเมริกากันแล้ว แต่โรงงานยาสูบไทยกลับเร่งการผลิตบุหรี่ จากปีละ 23,000 ล้านมวน เป็น 47,000 มวนต่อปี โดยการทำงานล่วงเวลาเพื่อให้ทันเวลาและพอเพียงแก่ตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ สร้างกำไรสุทธิปีละ 4,300 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นปีละ 9%) โรงงานยาสูบจึงจัดเป็นรัฐวิสาหกิจชั้นดี ที่ส่งรายได้เข้ารัฐติดอันดับต้นๆ มาหลายปี ขณะที่ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เจียดงบประมาณสำหรับการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เพียงปีละ 18-25 ล้านบาท ติดต่อกันมา 7 ปี อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณ รมช.ธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่ ที่ชะลอโครงการการสร้างโรงงานยาสูบแห่งใหม่ออกไปก่อน และพยายามผลักดันนโยบายการเก็บภาษีสรรพสามิตจากบุหรี่โดยตรง มาตั้งเป็นกองทุนส่งเสริมสุขภาพ”
อาตมภาพจึงขอเสนอว่า รัฐบาลควรจะได้ทบทวนเรื่องการผลิต และการจำหน่ายสิ่งเสพติดมึนเมา ให้โทษ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เหล่านี้ คือ สุรา เบียร์ เหล้าองุ่น และบุหรี่ อีกทั้งยาเสพติดอื่นๆ ด้วย อันเป็นการมอมเมาประชาชน ได้แล้ว อย่าหลงคิดเห็นแต่กำไร หรือ รายได้จากน้ำนรก คือสุราและเมรัยนั้น และมัจจุราชผ่อนส่ง คือบุหรี่ เหล่านี้เลย เพราะสิ่งมึนเมาเหล่านี้ แม้จะเป็นรายได้ที่ดี แต่ก็ไม่คุ้มกับการเสียกำลังกาย กำลังสติปัญญา ความสามารถของประชาชนเลย
และก็ควรปิดกั้นบริษัทต่างประเทศที่รุกคืบเข้ามาลงทุน ด้วยกุสโลบายต่างๆ เพื่อหารายได้เข้ากระเป๋าของเขา แต่ทิ้งความเสื่อมโทรมสุขภาพกาย สุขภาพจิตคนไทยไว้เบื้องหลัง ให้เข้มแข็งจริงจังและเด็ดขาดด้วย และก็อย่าทำปากว่าตาขยิบ บ้านเมืองจะได้อยู่เย็นเป็นสุขเสียที
4-6) ส่วนโทษของสิ่งเสพติดข้อ 4-6 ต่อไปว่า เป็นเหตุให้เสื่อมเสียชื่อเสียง (อกิตฺติสญฺชนนี) เป็นเหตุให้เปิดเผยอวัยวะลับ (หิริโกปินนิทฺทํสนี) คือ ขาดความละลาย สามารถกระทำหรือพูดไม่ดีได้มาก และเป็นเหตุทอนกำลังสติปัญญาความสามารถ (ปญฺญา ทุพฺพลี) นั้น ก็เป็นที่ทราบและเข้าใจได้ง่าย จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวในรายละเอียดอีก
การเสพสิ่งเสพติดมีโทษมากอย่างนี้ สาธุชนผู้ไม่เคยเสพก็จงอย่าลองเสพ เพราะถ้าลองเสพก็จะติด ถ้าหลงเสพติดไปแล้ว ก็เลิกยาก แต่ถ้าหลงเสพหรือติดแล้ว ก็จงพยายามเลิกละเสีย ด้วยจิตใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และทุกท่านพึ่งศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อเสริมสร้าง หรือฟื้นฟูสติปัญญาอันเห็นชอบ ให้รู้บาป-บุญ คุณ-โทษ ให้รู้ทางเจริญ-ทางเสื่อมแห่งชีวิตตามที่เป็นจริง ก็จะสามารถดำเนินชีวิตไปในทางที่ให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุขยิ่งๆ ขึ้นไปได้ สมดังบาลีพระพุทธภาษิตมีมาในมงคลสูตรว่า
“อารตี วิรตี ปาปา | มชฺชปานา จ สญฺญโม |
อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ | เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ” |
การงดเว้นจากบาปอกุศล ความสำรวมจากการดื่มน้ำเมา ความไม่ประมาทในธรรมทั้งปวง เหล่านี้ เป็นมงคลอันอุดม. |
ดังที่ได้ยกมาอ้างในข้างต้นนั้นแล.
ขอความสุขความเจริญจงมีแก่ท่านผู้ฟังทุกท่าน เจริญพร.
พระมหาเสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.6 เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วันอาทิตย์ ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2540