
ป่ามงคลธรรม อ.สีคิ้ว 20 เมษายน เวลา 22:41 น. ·#ต้นธาตุและกลางธาตุ
เมื่อถอยพืชกำเนิดธาตุธรรมเดิม มาเพื่อจะช่วยสัตว์โลกนั้นจะต้องมาเกิดมาอยู่ร่วมกับสัตว์โลก
จึงต้องถูกภาคมารเขาสอดละเอียดอวิชชาของเขา
เอิบอาบซึมซาบ ปนเป็นเข้ามาปรุงแต่งธาตุธรรม
เห็นจำคิดรู้ ให้เกิดขึ้นใหม่เป็นสัตว์โลก ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม กล่าวคืออวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารวิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะผัสสะ-เวทนา-ตัณหาอุปาทานภพชาติชรามรณะทุกข์ ฯลฯ นั่นเอง
และการมาเกิดใหม่ก็มาพร้อมกันทั้งชุดของกาย
กล่าวคือ นับตั้งแต่กายธรรมที่สุดละเอียด มาถึงสุดหยาบ (ธรรมกายโคตรภูหยาบ) และมีตั้งแต่กายโลกียะสุดละเอียด คือกายอรูปพรหมละเอียดหยาบ อันเป็นกายปฐมวิญญาณละเอียดต่อ ๆ มา จนถึงกายสุดหยาบของสัตว์โลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเหตุนี้แหละจึงต้องมีการบำเพ็ญบารมีอีก เมื่อมาบำเพ็ญบารมีอีกก็ต้องปฏิบัติคุณความดีเดินหน้าต่อไป จากบุญบารมีก็เป็นอุปบารมี และให้แก่กล้าถึงปรมัตถบารมี
แล้วจึงจะบรรลุมรรคผลนิพพานในกรณีของพระสาวก
ส่วนในกรณีของพระพุทธเจ้า ก็บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านว่าในสมัยก่อนพระพุทธเจ้าที่บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพราะได้บำเพ็ญบารมีมามาก พระองค์จึงเข้านิพพานด้วยพระวรกายเนื้อ นี่แหละที่ชื่อว่า“ นิพพานเป็น “
ที่หลวงพ่อท่านสอนแนะนำมา และได้ยินว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็บำเพ็ญบารมี เพื่อจะเข้าพระนิพพานเป็นเหมือนกัน ด้วยบุญบารมีของท่านที่ได้บำเพ็ญบารมีมามากแล้วนี่เอง
ท่านจึงพบวิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า
ซึ่งในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าเราได้ทรงสอนธรรมกายอยู่ แต่สูญหายไป คำว่า“ สูญหาย” นี้ไม่ใช่หายไปจากพระไตรปิฎก แต่ว่าหายไปจากการปฏิบัติที่ค่อย ๆ หย่อนยานไปตามลำดับ แท้ที่จริงแล้วก็ยังมีผู้ปฏิบัติได้เข้าถึงรู้เห็นและเป็น มีมาจนถึงปัจจุบันนี้แหละแต่ว่าด้วยความ ย่อหย่อน
เพราะภาคมารคือกิเลสมาร เขาสอดละเอียดเข้ามาในธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้นั่นแหละ เพราะฉะนั้นในระยะหลังนี้ที่จะมีผู้ถึงธรรมกายถึงพระนิพพานได้รู้เห็นพระนิพพานแจ่มแจ้ง แล้วเอามาสอนนี้จึงมีน้อยลง ๆ จน เงียบหายไป ซึ่งแท้ที่จริงอาจจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์อยู่ตามป่าตามเขา ที่ไม่สอนใครหรือว่าสอนแต่พอสมควรก็มี
ที่บรรลุมรรคผลนิพพานท่านเป็นธรรมกายทั้งนั้นแหละแต่ว่าที่จะเอามาสอนอย่างลึกซึ้งน่ะ ไม่ปรากฏเห็นว่ามีเพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่า“ หายไป” คำว่า“ หายไป” นี้ไม่ใช่ว่าไม่มีในพระไตรปิฎก หรือว่าไม่ใช่ไม่มีใครบรรลุเลยสูญไป ๆ เลยก็มีมาเป็นระยะ ๆ แต่เราไม่รู้จักไม่มีการสอนอย่างเต็มที่เหมือนอย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านปฏิบัติได้เข้าถึงรู้เห็นและเป็น
แล้วจึงสอนท่านพบของท่านเต็มที่เต็มอัตรา ด้วยบุญบารมีของท่าน ท่านจึงเอามาสอนอย่างไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น ท่านยืนยันเลยว่านิพพานเป็นอัตตาวิมุติ” ไม่ใช่“ อนัตตา”
ซึ่งพวกศิษยานุศิษย์รุ่นหลัง ได้แก่ กระผมกับคณะแหละที่ได้ศึกษาค้นคว้าหาเอกสารหลักฐานที่ปรากฏว่า“ ธรรมกาย” ที่หลวงพ่อท่านสอนนั้นมีเอกสารหลักฐานตรงตามที่หลวงพ่อท่านปฏิบัติ ได้เข้าถึงรู้เห็นและเป็นเรื่องเป็นอย่างนี้ดังที่ได้ถวายหนังสือแด่พระคุณเจ้าไปแล้วนั่นแหละ
มีเอกสารหลักฐานพร้อม จึงไม่ใช่ว่าวิชชาธรรมกายหายไปไหน ไม่หาย!
มีในคัมภีร์ในพระไตรปิฎกไม่หาย แต่คนปฏิบัติอยู่ ๆ เลื่อนไปมีน้อยลง ๆ แต่ที่บรรลุเองก็อาจจะไม่แจ่มแจ้งพอที่จะสอนอย่างละเอียดลึกซึ้งได้
กระผมจึงใคร่จะเน้นในคำสอนของหลวงพ่อ
ต่อมาว่า แต่เดิมนั้นผู้บำเพ็ญบารมีกันมาก ๆ ถึงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าเข้าพระนิพพานเป็น
ด้วยกายเนื้อ แต่ต่อมาภาคมารเขาสอดละเอียดได้
มาสอดละเอียดเข้าไปในธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ ของสัตว์ได้มาก
การบำเพ็ญบารมีในภายหลังต่อมา จึงย่อหย่อนลงไปตามลำดับ แต่เติมเคยบำเพ็ญบารมีเป็นร้อย เป็นพันอสงไขย เดี๋ยวนี้ลดลงมาเหลือ ๑๖ อสงไขยแสนกับเป็นอย่างมาก อย่างน้อย ๔ อสงไขยแสนกัป
ก็ได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า เข้าพระนิพพานถอดกาย
การบำเพ็ญบารมีในระดับนี้ก็ช่วยสัตว์โลกได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถจะช่วยได้มากเหมือน
กับพระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมี เข้านิพพานเป็น
ด้วยพระวรกายเนื้อ ซึ่งจะต้องอาศัยการบำเพ็ญบารมีมาก จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ ทีนี้ในส่วนที่บำเพ็ญบารมีมาน้อยลงตามลำดับนี้ จึงย่อมช่วยรื้อขนสัตว์ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ช่วยได้ทั้งหมด เพราะภาคมารเขามีกำลัง ที่ว่ามีกำลังเราดูง่าย ๆ ว่า ของคนมีมากน้อยขนาดเข้าวัดแล้วนี่ เป็นพระที่ดี เป็นสามเณร
กิเลสยังเหลืออยู่กี่มากน้อย ท่านลองพิจารณาดูความประพฤติปฏิบัติในพระธรรมพระวินัยนั้น เคร่งครัดหรือย่อหย่อนแค่ไหน
แล้วการปฏิบัติสมณกิจหรือสมณธรรม ของพระคุณเจ้าทั่วประเทศนี่เข้มแข็งแค่ไหน และทำไมจึงไม่เข้มแข็งเท่าหรือเหมือนสมัยพุทธกาล? ทำไมจึงไม่เคร่งครัดเหมือนสมัยพุทธกาล? ทําไมจึงต้องแตกแยกเป็นธรรมยุตเป็นมหานิกาย? นี่ว่าเฉพาะพระภิกษุฝ่ายเถรวาทส่วนฝ่ายมหายานทําไมจึงต้องแตกออกไป?
แล้วก็แตกออกไปเรื่อย ๆเชียว เดี๋ยวนี้เป็นอะไรไปอีกไม่รู้เยอะแยะเลยซึ่งสมัยเดิมไม่มี
มีแต่พุทธบุตรอย่างเดียว
ทั้งหมดนี้ ก็เพราะภาคมารเขาสอดละเอียดอวิชชาของเขา มาในธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ของสัตว์โลก
ให้คิดผิดเห็นผิดไปจากธรรมที่ถูกต้อง ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ดีแล้ว แล้วก็เบี่ยงเป็นตัวเองไปเรื่อยนะครับ กิเลสนั่นแหละครับ นั่นแหละภาคมารเขาละครับ“ กิเลสมาร เราเห็นเลยว่ากิเลสมารเขามีอิทธิพลแค่ไหนหลวงพ่อหลวงพี่เมื่อกระผมพูดแค่นี้ ก็คงจะนึกได้
เราเป็นพระ เป็นพระแต่หัวใจเราเป็นพระกี่เปอร์เซ็นต์พระร้อยเปอร์เซ็นต์ คือพระอรหันต์จิตใจของธรรมกายเป็นพระอรหันต์ แต่ร่างกายมนุษย์ทิพย์พรหมเป็นฝ่ายมารเขาทั้งนั้น ที่มานี้จึงขอได้โปรดทราบเลยว่า
อะไรที่มันไม่ถูก นั่นภาคมารเขา เมื่อถึงจุดนี้แล้วจงยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า ภาคมารเขาแน่ ยอมรับได้เลยว่าภาคมาร คือกิเลสมารที่เขาแน่ที่ว่าเขาแน่
เพราะอะไร? ที่นั่งสลอนอยู่ ภาคมารเขาปรุงขึ้นทั้งนั้นตัวเรานี่ถ้าภาคมารเขาไม่ปรุงนี้ ไม่ต้องตายหรอกนะ
พระแท้ ๆ คือธรรมกายที่บรรลุพระอรหัตผลชื่อว่า“ พระนิพพานน่ะ ไม่ตายหรอกนะธรรมกายมรรคผลนิพพานเป็น“ อมตธรรมภาคพระแท้ ๆ เป็นอมตธรรม
ในสมัยก่อน พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญบารมีมาก ๆ ที่เข้าพระนิพพานด้วยพระวรกายเนื้อน่ะ” พระวรกายเนื้อเป็นอมตธรรมนะนั่นเป็นพระแท้ ๆ เมื่อบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณหรือในกรณีพระอรหันตสาวก ผู้บรรลุมรรคผลนิพพานกายเนื้อใสบริสุทธิ์ และมีรัศมีสว่างเป็นกายธรรมไปเลย จึงไม่ถูกปรุงแต่งด้วยภาคมารเลยเป็นพระล้วน ๆ พระล้วน ๆ นั้นเป็นอมตธรรมมีสภาพ นิจจํ คือเที่ยง ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตามเหตุ
ตามปัจจัยเป็น “บรมสุข สุขที่สุด และ“ ธุวํ” ยั่งยืน
จิตใจก็มั่นคง
แต่ในปัจจุบันนี้ พระภิกษุสามเณรห่มผ้าจีวรกายเนื้อเป็นพระแท้ที่ไหนไม่ใช่นะ ต้องตายทั้งนั้นเลย
ภาคมารเขาปรุงขึ้นทั้งนั้นนี่แหละคือเรื่องของมาร เรื่องของมารหลวงพ่อท่านเทศน์เลยนะครับว่า สมภารวัดปากน้ำ กับผู้ที่ปฏิบัติวิชชาธรรมกายกำลังต่อสู้กับภาคมาร แต่พระวัดปากน้ำไม่ใช่จะรู้เรื่องนี้ทั้งหมด
ท่านบอกว่าส่วนมากไม่รู้เรื่อง แต่ว่าเมื่อไรท่านชนะ ทุกคนก็ชนะด้วย ในความหมายที่ท่านพูดว่า“ ชนะด้วย
ก็หมายความว่า เมื่อมีผู้บำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่จะเข้านิพพานเป็น มีพุทธานุภาพมาก ที่จะช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปได้มาก สัตว์แต่ละคนน่าจะพลอยได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามไปด้วย แต่ทุกคนจะต้องช่วยตัวเองนะ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีพระพุทธเจ้าผู้บรรลุพระนิพพานเป็นแล้วชนะแล้ว ท่านทั้งหลายอื่นชนะด้วย
โดยที่ตนเองไม่ต้องปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรมเพื่อความบรรลุมรรคผลนิพพานเอง ไม่ใช่เช่นนั้นนะ
ทุกท่านต้องบำเพ็ญบารมีเองเหมือนกัน แม้ผู้บรรลุพระนิพพานเป็นนั้น ช่วยได้แม้แต่สัตว์เดรัจฉานรื้อสัตว์ขนสัตว์หมดนับแสนโกฏิจักรวาลไม่มีประมาณ แต่สัตว์ทุกตัว ทุกคนจะต้องบำเพ็ญบารมีเอง
จริงอยู่พระพุทธเจ้าทรงมีอานุภาพสูงไม่ว่าจะพระพุทธเจ้าองค์ใดนับตั้ง แต่พระสมณโคดม
ถอยหลังไปพระองค์ก็ช่วย ไม่ใช่ไม่ช่วย แต่ทุกคนก็ต้องช่วยตัวเอง จำไว้เลยว่าหลวงพ่อท่านว่า“ เมื่อฉันชนะแล้วทุกคนก็ชนะด้วยท่านหมายถึงอย่างนี้
มิได้หมายความว่าคนอื่นไม่ต้องทำอะไร
ถึงคราวที่หลวงพ่อบรรลุพระนิพพานเป็นแล้ว
ท่านทั้งหลายก็บรรลุตามไม่ใช่นะครับ มันต้องช่วยตัวเอง เพื่อความบรรลุมรรคผลนิพพานเองทุกคน
เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญโญ อญฺญํ วิโสธเย
ความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์เ ป็นสิ่งเฉพาะตน ใครจะยังความบริสุทธิ์หรือยังความไม่บริสุทธิ์ แก่คนอื่นไม่ได้ให้แก่กันและกันมิได้ แต่ว่าอาจจะช่วยอนุเคราะห์อะไรได้หลาย ๆ อย่าง ได้แก่ ช่วยแนะนำสั่งสอนช่วยแนะนำให้ปฏิบัติ และมีการช่วยเคลียร์พื้นที่ให้ นี้เป็นเรื่องเป็นวิธีของธรรมชั้นสูง แต่ว่าถึงอย่างไรทุกคนต้องปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม เพื่อการบรรลุมรรค ผลนิพพานเองทั้งนั้น
ภาคมารเขาก็ได้บำเพ็ญความไม่ดีมามาก ก็ไปจากผู้ที่มีเชื้อของภาคมาร คือมีกิเลสนี่แหล่ะ เหมือนอย่างคนเรานี่แหล่ะมีกิเลสอยู่แล้ว ถ้าใครบำเพ็ญบุญบารมีคุณความดี บำเพ็ญบารมีมากขึ้นเพียงไร กิเลสมารก็หมดไปเพียงนั้น ก็กลายเป็นฝ่ายพระไป
แต่มนุษย์หรือสัตว์ใดที่มีกิเลสอยู่แล้ว หลงผิดคิดผิดเห็นผิด ทำผิด พูดผิด สอนคนอื่นผิด ๆ ไป ๆ
กิเลสก็สะสมตกตะกอนนอนเนื่อง ในจิตสันดานได้มากขึ้น กิเลสมารเพิ่มมากขึ้น อวิชชาหนาแน่นขึ้น
ก็ออกไปนอกพระศาสนา จนกระทั่งสุดโต่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วเมื่อแตกกายทําลายขันธ์ คือตายไปอบายภูมิทั้ง 4 ได้แก่
ภูมิของเปรตสัตว์ พวกอสุรกายและเดรัจฉานเป็นต้นนั่นแหละพวกมารเขาปรุงไว้เต็มอัตรา
เฉพาะเรื่องโทษอย่างเดียว สมมุติว่าไปเป็นเดรัจฉานความโง่ คือโมหะมาก เมื่ออวิชชาเป็นเหตุนำ เหตุหนุนก็ยิ่งโง่หนักไปอีก นับภพชาติไม่ถ้วน
ถ้าไม่มีบุญเก่าช่วยดึง ช่วยฉุดขึ้นมา ความที่จะได้โผล่มาเป็นมนุษย์ไม่มี จะตกต่ำดิ่งลงไปเหมือนก้อนศิลาที่ ตกลงไปในบ่อ ที่ไม่มีก้นนั่นแหล่ะ จะไปเป็นสัตว์ที่ต่ำลง ๆ ๆ ไปจนถึงสัตว์เซลล์เดียวไปจนถึงเป็นสัตว์ประเภทเชื้อโรคนั่นแหล่ะ คือภาคมารเขาหล่ะ
เป็นขันธมาร ขันธมารมีทําหน้าที่ทำลายสังขารตัวทำลายสังขารนั่นแหละ“ ขันธมาร” นั่นเป็นพวกเขาแล้วเป็นเชื้อโรคไปแล้ว ไม่กลับแล้วทีนี้ มันจะตกต่ำไปอีกเท่าไรเราไม่รู้ จนไปเป็นตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าฝ่ายดีของเรา มีลักษณะคล้ายธรรมกายนี่แหละ แต่วรรณะแก่กล้าไป ๆ ก็เป็นต้นธาตุต้นธรรมภาคต่ำไป
พระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมภาคพระ หรือภาคขาวมีลักษณะอย่างไร ภาคมารเขา ก็มีลักษณะคล้าย ๆ อย่างนั้น ต่างกันวรรณะคุณธรรม และผลของการปฏิบัติตามธรรมของแต่ละฝ่าย กล่าวคือภาคพระคือธรรมกายบรรลุมรรคผลนิพพานและทั้งกายเนื้อที่เป็นธรรมขันธ์ หรือวิสุทธิขันธ์ กรณีบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นมีวรรณะขาวใสบริสุทธิ์ มีรัศมีสว่างทรงคุณธรรมฝ่ายที่เป็นบุญกุศล กุสลาธัมมา สอนให้ละ ความชั่ว
ให้ทำความดี ชำระจิตใจให้ผ่องใสและชำระปัญญาให้บริสุทธิ์เปิดหรือชี้แนะทางปฏิบัติ ให้รู้เห็นนรกสวรรค์นิพพานตามที่เป็นจริง ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมของฝ่ายบุญกุศล หรือภาคพระนี้ ย่อมได้รับความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุขในชีวิตทั้งในระดับโลกียะ ถึงระดับโลกุตตระคือได้บรรลุมรรคผลนิพพาน แดนเกษมที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง
ภาคมารลักษณะคล้ายธรรมกาย และคล้ายกายเนื้อที่เป็นธรรมขันธ์ แต่วรรณะดำขุ่นมัว ไม่ผ่องใส
ทรงธรรมฝ่ายชั่ว (อกุสลาธัมมา) แนะนำสั่งสอนให้ประพฤติชั่ว กล่าวคือให้รู้ผิด ให้หลงเห็นผิดเป็นชอบ
ให้คิดผิด พูดผิด ทำผิด ๆ ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ตามที่เป็นจริง ปิดทางปฏิบัติ หรือชักนำชี้แนะให้เขาออกไปนอกทางปฏิบัติ ที่จะให้รู้เห็นนรกสวรรค์นิพพาน
ตามที่เป็นจริง ผู้ปฏิบัติตามธรรมของฝ่ายชั่วหรือบาปอกุศลย่อมได้รับโทษ เป็นความทุกข์เดือดร้อนและขาดสันติสุขในชีวิต ดำเนินชีวิตไปสู่ความเสื่อมลง
ตามลำดับถึงอบายภูมิคือภูมิของเปรตสัตว์นรกอสุรกายและสัตว์เดรัจฉานต่อ ๆ ไป เหมือนก้อนศิลาที่ตกลงไปในบ่อ ที่ไม่มีก้น
เพราะฉะนั้น ในวิชชาธรรมกายเรารู้เรื่องนี้
เมื่อเรารู้เราจึงไม่ใช้นิมิตสีดำ ๆ เพราะจะเป็นนิมิตติดหูติดตา ดึงดูดธาตุธรรมภาคดำเข้ามาหา
นี้คือความวิเศษของวิชชาธรรมกาย แต่ว่ายิ่งรู้ก็ยิ่งต้องทำหน้าที่ ต้องบำเพ็ญบารมี
เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญบารมี เมื่อได้วิชชาธรรมกายแล้วปรารถนาจะบำเพ็ญบารมี เข้าสู่นิพพานถอดกายก็ได้ แต่ว่าช่วยคนอื่นได้ไม่มาก ช่วยคนอื่นได้น้อย
แต่ถ้าใครตั้งใจบำเพ็ญบารมีไปเข้าถึงนิพพานเป็น
ก็สามารถช่วยสัตว์โลกได้มาก บางท่านอาจจะนึกว่าตั้งร้อยอสงไขย ,พันอสงไขย, รอไม่ไหวแล้ว
นั่นคิดผิด! เพราะเมื่อเกิดมาชาติหนึ่ง ๆ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราลําบาก ในชาติที่ผ่านมา เราได้เคยบำเพ็ญบารมีมาแล้ว นับอสงไขย
ไม่ต้องสงสัย จึงได้มานั่งสลอนปฏิบัติธรรมอยู่อย่างนี้ ได้บำเพ็ญมาแล้วนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นที่จะบำเพ็ญต่อไปอีก ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร
ถ้าเรารู้เคล็ดลับเสียแล้ว เรื่องใหญ่ก็เป็นเรื่องเล็ก
เรื่องยาวก็เป็นเรื่องสั้น คือว่าเมื่อเรารู้ว่าภาคมารคือ“ กิเลสมาร” ต่อไปก็มี“ ขันธมาร” แล้วก็มี“ มัจจุมาร” และมี“ เทพบุตรมาร” คือมารที่เป็นเทพโปร่งแสงเป็นโอปปาติกะซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิมานะ
ทีนี้บางท่านสงสัยว่ามิจฉาทิฏฐิแล้ว ทําไมจึงเป็นเทพก็เพราะเขาทำทั้งบุญทั้งบาป จึงมีบุญส่วนหนึ่ง
ที่มีผลให้ได้ไปเกิดเป็นเทพ แล้วก็เสวยวิบากคือผลกรรม ทั้งจากฝ่ายดีและฝ่ายชั่วนั้น ที่ว่าเรารู้เคล็ดลับ ในการบำเพ็ญบารมีแล้วนั้นแหล่ะ
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามนี้ จึงได้พาท่านทําแต่คุณความดีเลิศ ไม่ว่าจะเป็นทานกุศลก็ให้ทำทั้งอามิสทานที่ดีที่เลิศ และให้ทำธรรมทานที่ดีที่ประเสริฐยิ่งขึ้นไปอีก ได้แก่ ให้หนังสือธรรมะเป็นทานอานิสงส์สูงยิ่งให้สร้างพระพุทธรูปและธรรมกายของพระพุทธเจ้า และให้สร้างพระธรรมคือให้ศึกษาอบรมปฏิบัติธรรมเองด้วย และให้สร้างหนังสือธรรม และเทปสอนธรรมปฏิบัติถวายพระเณรด้วย และให้สร้างพระสงฆ์คือให้สร้างพระในใจตนเองด้วย และให้ช่วยผู้อื่นสร้างพระในใจตน (คนอื่น) ด้วย ๓ อย่างนี้ คือพระรัตนตรัยนี่
มีอานิสงส์มาก จงทำเสียนี่ แนะนำชักนำให้ญาติโยมสร้างพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างนี้ มีอานิสงส์สูงมากจะติดตามให้ผล
ไปทุกภพทุกชาติตราบเท่าถึงมรรคผลนิพพาน
ทำแล้วไม่มีตกต่ำ ปัญญาจะส่องสว่างเฉียบแหลมยิ่งขึ้น ทั้งทางโลกและทางธรรม
และที่เขาว่าสะเดาะเคราะห์ สะเดาะเคราะห์นั่นนี่แหละเป็นการสะเดาะเคราะห์ดีที่สุด ในกระบวนทานทั้งหลาย อานิสงส์สูงที่สุดและมีอานุภาพสูงที่สุดคือ “ธรรมทานอย่าได้ลืมเสีย หากอาตมาพูดมากก็เหมือนคอย แต่จะชักนำให้โยมเสียเงินมาก แท้จริงอาตมาชักนำโยมให้ทำทานกุศล ที่ดีเลิศ โยมจะได้ดำเนินชีวิตไปต่อ จากนี้ไปไม่มีตกต่ำจะมีแต่เจริญรุ่งเรือง
ด้วยรูปสมบัติ บริวารสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
คุณสมบัติก็จะมีทั้งความรู้ความสามารถ และคุณธรรมละเอียด ไปถึงสวรรค์สมบัติและถึงนิพพานสมบัติ
เพราะฉะนั้น เมื่อได้บำเพ็ญบารมีให้แก่กล้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปบารมีก็สูงขึ้นก็ไปเรื่อยไป จะต้องไปกลัวทำไมกับความลำบากเกิดชาติใดภพใดก็มี แต่ความสุขอยู่ในสุคติภพบำเพ็ญบารมีเรื่อยไป-แต่ละภพละชาติก็มี แต่ความสุขสบายตามอัตภาพ ที่เราได้บำเพ็ญมา
จะไปกลัวอะไรกับความลำบาก ที่มันลำบากเดี๋ยวนี้ก็เพราะเราบำเพ็ญบารมีมาน้อย และเพราะเราไปเข้าข้างมารเสีย ไปหลงตามมารเสีย คิดผิดรู้ผิดเห็นผิดทำผิดพูดผิด มันก็เลยมีผลให้เราได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน
เพราะฉะนั้นหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านว่านะ
ท่านว่ากิจที่จะทำเพื่อตัวเอง มีอย่างเดียวคือปฏิบัติธรรมนี่แหล่ะ ศีล สมาธิ ปัญญานี่ ให้ถึงอธิศีล อธิจิต
อธิปัญญา ปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา
ให้ถึงธรรมโคตรภูพระโสดา พระสกิทาคา
พระอนาคา พระอรหันต์ ถึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เข้านิโรธ ไปคำนวณรู้ ที่ตรัสรู้ในนิโรธของพระพุทธเจ้าเรื่อยไป ทำอย่างนั้นก็มีโอกาสไปถึง“ นิพพานเป็น
จงทำอย่างนี้ไป ไม่ต้องกลัวว่าจะเนิ่นช้า เมื่อทําเป็นทําถูกวิธี กลับเพิ่มพูนบารมีเร็ว ถ้าใครตั้งใจดี ๆ นะชาตินี้ก็ถึงทางโค้งได้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเพราะได้เคยบำเพ็ญบารมีมามากแล้วอย่าหลงผิดอีกก็แล้วกัน แต่ถ้าหลงผิดไปแล้ว
คิดผิด รู้ผิด เห็นผิด ทำผิด ทนต่ออำนาจของกิเลสไม่ได้ ไม่มีความอดทน ไม่มีความอดกลั้น ที่จะทำความดีที่จะละความชั่ว ก็ตกเป็นทาสของมาร
หลวงพ่อท่านจึงบอกว่า เรื่องอื่นนอกนั้นน่ะเป็นการทำกิจของมารทั้งสิ้น คนเป็นฆราวาสน่ะเลี้ยงชีวิตตนเองไม่พอ ต้องเลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย เลี้ยงหลาน
นั่นก็ไปช่วยภาคมารเขานะ กิจการบำรุงมารทั้งนั้น
ไม่ได้ช่วยให้เราไม่ตายเลย
เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งพระภิกษุเราบวชแล้ว ก็ให้สำเนียก ให้พิจารณาดูว่ายังอยากจะออกไป ทำหน้าที่ช่วยมารอีกหรือ? เพราะว่าใครช่วยใครไม่ได้และจริง ๆ แล้วนั้น เราทำได้ดีเท่าไร เป็นพระนี่แหละบำเพ็ญบารมีได้ดีเท่าไร พ่อแม่พี่น้องเรานั่นแหละจะได้ดีกับเราด้วยตอนแรก ๆ เขาอาจจะโกรธเกลียด หรือไม่พอใจเราหรือไม่ชอบใจเรา ก็ช่างเขา เพราะเขาไม่รู้ แม้บุตรภรรยาสามีก็ล้วนแต่ไม่รู้ จึงยึดติดด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาอุปาทาน แต่กิจทั้งหมดภายนอกเป็นกิจทำเพื่อคนอื่น ที่จะมาสนองตัวเองให้ได้
ที่พึ่งแท้ ๆ ของตัวเองคือ เป็นตัวเป็นตนจริง ๆ
เพื่อเข้าถึงตัวตนวิมุติแท้ ๆ ไม่ค่อยได้ทำกันเท่าไร
หลวงพ่อท่านจึงว่า กิจอื่นทั้งหมดนั่น ไปทำให้มารเขารับใช้มารเขาทั้งสิ้น แม้เป็นพระเป็นเณร ถ้าไปทำกิจ อื่น นอกเรื่องการศึกษาอบรมปฏิบัติพระสัทธรรมไปทำกิจอื่น ที่ห่างไกลจากการชำระคือกำจัดกิเลสมาร
ออกจากจิตใจของตน กิจเหล่านั้นเป็นกิจของมารเขาเขาล่อ เขาลวงให้หลง ทำหลงผูกพันธ์ หลงแบกภาระ อันเป็นกิจของมาร
รู้แล้วอย่างนี้เราจะได้ไม่ท้อถอย เพราะฉะนั้นถ้าเราบำเพ็ญคุณความดีที่ถูกต้องทานกุศล ที่ถูกต้องศีลกุศล ที่ถูกต้องภาวนากุศล ที่ถูกต้อง
ไม่ต้องกลัวว่าจะลำบาก ถ้าถูกต้องในชาตินี้ ให้ท่านนึกไว้ได้เลยว่าเข้าโค้งแล้ว แต่ถ้าท่านพลาดชาตินี้ ก็ไปอีกไกล เพราะท่านพบวิชชาธรรมกายแล้ว
เพราะฉะนั้นในปัญหาที่ท่านถามว่า จะต้องบำเพ็ญบารมีเท่าไร ถึงจะเข้าสู่นิพพานด้วยกายเนื้อ
กระผมบอกได้แต่เพียงว่า บำเพ็ญมากกว่าการบำเพ็ญบารมีเพื่อเข้านิพพานถอดกาย
นิพพานถอดกายนั้นอย่างน้อย ๔ อสงไขยแสนกัป
นั่นแหละ ท่านตั้งใจบำเพ็ญไปเถอะ ๔ อสงไขย
๔ อสงไขย, ๑๖ อสงไขย ๓๒ อสงไขย, ๖๔ อสงไขย, ๑๒๘ อสงไขย, ๒๕๖ อสงไขยไปเลย
ไม่ต้องไปคิดว่าที่จะไปข้างหน้ามัน จะยืดไปไกลหรือนานเท่าใด เราต่างก็ได้เคยบำเพ็ญมามากแล้ว
เมื่อถึงธรรมกายแล้วท่านจะค่อย ๆ รู้ด้วยตัวท่านเองเมื่อเข้าถึงพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม ในนิพพานเป็นแล้วจะรู้ด้วยตัวเอง ตอนนี้พูดไปก็คือ สักแต่ว่าพูด
และผมเอง ก็ยังไม่ถือว่าเป็นผู้รู้จริง ที่พูดมานี้ พูดตามธรรมของพระพุทธเจ้า ประกอบกับตามคำของบุรพาจารย์ประกอบกับประสบการณ์ของตนบ้างเล็กน้อย
เพราะฉะนั้นท่านจงตั้งหน้าทำดีไปก็แล้วกัน
ไม่ช้าบารมีเต็มก็ จะถึงพระนิพพานเอง
หลวงป๋า