เล่าเรื่องว่าด้วยการมาขอลูก

เล่าเรื่องว่าด้วยการมาขอลูก

อันนี้เป็นความรู้เฉพาะสาย ย้ำว่าเฉพาะสายนี้เท่านั้น!! นอกจากสายนี้ไม่รู้ว่าทำยังไง คิดกันยังไง แล้วมีวิธีการยังไง แต่ครูบาอาจารย์ในสายวัดปากน้ำเล่าว่า เวลามีคนมาขอลูก จะให้ยังไง??

ท่านว่า ให้เดินวิชชาฯไปตามที่ศึกษามา เสร็จแล้ว ก็เดินวิชชาฯในแผ่นใสๆนั่นละ ไปในภพภูมิเทวโลก ไปดูว่า เทวดาตนไหนบุญหมด จะมาจุติ ก็ไปตามมาเชิญมา ไปคุมธาตุคุมธรรมมา อันนี้ประเด็นหนึ่ง
กับไปเชิญเทวดาผู้มีบุญประสงค์จะมาสร้างบุญเพิ่ม และมีเหตุปัจจัยลงกันได้กับมารดาบิดา ก็เชิญมาคุมธาตุคุมธรรมมา ประเด็นหนึ่ง

หรือเท่าที่เคยได้ยิน สมัยหลวงปู่สด วัดปากน้ำ ท่านจะใช้จักรแก้ว ไปคล้องคอมา สำหรับผู้ที่จะมาสร้างบารมีอธิษฐานตามหมู่คณะมาแล้วพลัดหลงหรือเพลินในสมบัติ ก็จะคล้องมาเกิด แต่ถ้ามีบุญมาก ท่านก็จะใช้จักรแก้วไปเชิญ ให้จักรไปเตือนตามมาเกิด ประเด็นหนึ่ง

แล้วท่านจะว่า จะเอาบัณฑิตหรือเศรษฐี
ถ้าบัณฑิตละ ให้เตรียมปากแฉะ เพราะคนมีปัญญามาเกิดมันจะชั่งถาม อยากรู้อยากเห็น เพราะมีเชื้อบัณฑิตนักปราชญ์
ถ้าเอาเศรษฐีละ เขาว่าเลี้ยงยาก เป็นลูกเทวดามาเกิด ติดสบาย เป็นลูกคุณหนู
แต่ถ้าให้ดี ต้องเอาทั้งบัณฑิตกับเศรษฐีในตัวคนเดียว ถึงจะดี

พอได้ดั่งที่ว่าหาผู้ที่จะมาเกิดตามคุณสมบัติที่ต้นการได้แล้ว ท่านก็จะคุมธาตุคุมธรรมมา บางท่านพอคุมมาก็เป็นอันจบ บางท่านคุมมาแล้วก็ตรวจตรา ตามแต่บุคคลจะทำ คุมมาก็ตามหลักวิชชาฯ ปฏิสนธิวิญญาณก็จะไปเกาะที่ศูนย์กลางของคนที่เป็นพ่อก่อนทำปฏิสนธิ 7 วัน พอพ่อแม่ประกอบธาตุธรรมถูกส่วนตกศูนย์ ทั้งพ่อและแม่ต้องตกศูนย์พร้อมกัน ถูกส่วนเข้าปฏิสนธิวิญญาณก็เคลื่อนจากศูนย์ออกไปตามน้ำสุกกะของพ่อ ไปฝั่งปฏิสนธิในรังไข่ของมารดา และเจริญเติบโตไปตามส่วนเป็นกลละรูป,อัมพุทะ,เปสิ,ฆนะ และเบญจสาขาหูด จนครบตามกำหนดก็ถึงเกิดมาเป็นมนุษย์
นี่เอาแค่การเกิดยังยาก ไม่ต้องไปพูดในหลักวิชชาฯละเอียดๆ อันนี้ก็ยังไปไม่ถึงเหมือนกัน มีประเด็นเรื่องมาขอลูก 4-5 ราย เลยนึกหลักได้ จะผิดถูกประการใดอันนี้ไม่รู้ ว่าไปตามที่ได้ยินมา ขนาดเขามาขอลูกกับผมก็ยังไปขอให้ผู้ทรงคุณในโรงงานทำวิชชาฯ วัดปากน้ำ ทำวิชชาให้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะการเกิดเป็นคน เกิดยาก แล้วมีอวัยวะครบถ้วนไม่พิการยากไปอีก สติปัญญาก็ยิ่งยาก มาเจอสัทธรรมก็ยากขึ้นไป เจอแล้วจะสนใจอีกมั้ยก็อีกประเด็น จะพอใจบวชยิ่งยากไปใหญ่ บวชแล้วจะพอใจรักษาความดีเปล่าแล้วจะรักษาได้หมดจดมั้ยไม่ต้องพูดยากมาก แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์อันนี้ละ ยกภูเขาเล่นยังง่ายกว่า ถ้ามันทำได้ง่ายปานนี้ไปนิพพานกันว่าสนามเด็กเล่นแล้ว

จึงกล่าวได้ว่าเกิดเป็นมนุษย์เป็นได้ยาก แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ไม่รู้จะใช้คำยังไงเหมือนพลิกดินเป็นฟ้า เพราะต้องขัดวงจรของวัฏฏะ เรียกว่าหักกำของจักร กำ ไม่ใช่กรรม ก็คือไปตัดขั้วเหตุของการเกิดนั่นละ สรุปแล้วก็คือเจริญมัคคปัญญาจนถึงอริยภูมิ เรื่องหักกำจักร ต้องไปศึกษาอีกในภาคปริยัติ พูดในที่นี้คงไม่พอ

อีกอย่างเกิดเป็นทุกข์ และกายมนุษย์นี้ก็สำคัญ เป็นสนามรบประลองฤทธิ์ของความดีและความชั่ว โดยอาศัยกายและใจสัตว์โลกเป็นสนาม จึงว่าเป็นมนุษย์ ได้มาซึ่งกายมนุษย์นั้นยากมาก เพราะธาตุธรรมที่เป็นอกุศลก็ระเบิดทำลายให้ล่วงไปขวางความดีให้ตกไป จนทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ยาก มนุษยโลกนี้ เป็นสถานที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทางธาตุธรรมเก็บสิทธิ์ก็ว่าได้ เพราะแม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอนุพุทธสาวก ก็ล้วนต้องมาอุบัติในมนุษยโลก และทำกิจที่สุดแห่งทุกข์ในกายมนุษย์อันกว้างวาหนาศอกนี้ ไม่ได้ตรัสรู้ธรรมบนเทวโลก พรหมโลก จึงว่าสำคัญ เกิดเป็นมนุษย์แล้วอย่างน้อยๆ อย่าให้ไหลลงต่ำ ให้มันขึ้นสู่ที่สูงเข้าไว้ ไปสุคติก็ยังดี ดีกว่าไปอบายภูมิ เพราะไหลลงต่ำ ขันธมารก็ย่อยแยกขันธ์ระเบิดธาตุธรรมให้อ่อนลงในส่วนภาคพระ ไม่รู้ว่าจะหลุดออกได้ตอนไหน ถ้าบุญกุศลให้ช่องละก็ไม่ได้ผุดได้เกิด

อันนี้ถ้าว่ากันแล้ว ผู้ที่ท่านไปรู้ไปเห็นมา ในระดับหนึ่ง ท่านก็จะพรรณาถึงโทษของสังสารวัฏฏ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ค้นเข้าไปในตนเอง รู้ที่ไปที่มาเหตุเกิดจริงๆของวงจรนี้ จะเห็นโทษเห็นภัยการเกิดมาก ขนาดนั้นแล้วเห็นโทษในสงสารก็ยังต้องบ่มเพาะบารมีมาเกิดในมนุษยโลกนี้ เพื่อจะทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ได้ ไปกว่านั้นคือไปถึงที่สุดแห่งธรรม ก็ต้องใช้มนุษยโลกนี้ละเป็นที่กระทำ เกิดมาแล้ว มีโอกาสแล้วรีบทำ พลาดเมื่อไหร่ ไม่รู้จะมีโอกาสหรือเปล่า

การตั้งอัตตสัมมาปณิธิจึงสำคัญ คือ การตั้งตนไว้ชอบในปัจจุบัน และกระทำบุญกุศลสร้างเหตุพลวปัจจัยส่งไปในอปราปริเวทนียภพ เพื่อตั้งตนไว้โดยชอบให้สืบสันตติต่อไปๆ เพราะว่าภัยในปฏิจจสมุปบาทนี้ น่ากลัวน่าขยาดโดยแท้ จึงอยู่ในภพนี้ เราเป็นผู้เชื่อมั่นในความดี เป็นต้น เป็นสัมมาทิฏฐิบุคคล แต่ว่าในภพหน้า แน่ใจแล้วหรือว่าจะตั้งตนไว้ได้ อาจจะเกิดมาเป็นคนนอกศาสนามาโย้งแย้งขัดขวางพระศาสนาก็ได้ ใครจะไปรู้ นี่ขนาดพระพุทธองค์สมัยเป็นพระโพธิสัตว์ บารมีเต็มแล้ว ไปเกิดในยุคพระกัสสปะพุทธเจ้า ยังไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ทั้งตำหนิว่า การตรัสรู้นั้นง่ายเหรอ ด้วยกรรมตำหนิ แม้จะขอขมาโทษกับพระกัสสปะพุทธเจ้าแล้ว ออกในศาสนาของพระองค์ด้วย ยังได้ไปเกิดในนรกเพราะเศษกรรม และมาอุบัติเพื่อจะตรัสรู้สัมมาสัมพุทธะก็ยังมาขัดขวาง ต้องบำเพ็ญทุกรกิริยาถึง 6 ปี นี่ภัยในปฏิจจสมุปบาท

ไอ้เราๆนี้ บำเพ็ญบารมีสร้างคุณความดีขนาดไหนสู้พระโพธิสัตว์บารมีเต็มได้หรือเปล่า อย่านอนใจนะว่าจะไม่ไหลลงต่ำ ตราบใดยังไม่มีคุณเครื่องโสตะปฏิยังคะธรรม ตราบนั้นก็มีสิทธิ์ลงต่ำ แต่ว่าถ้าเราทำดีเสียอย่าง ละสิ่งที่เป็นโทษทั้งปวง ไม่ไหลลงต่ำแน่นอน แต่ประเด็นคือจะเจริญกุศลธรรมให้ตลอดต่อเนื่องยังไง ก็ต้องใช้หลักสัมมัปปธาน 4 คือ
-สังวรปธาน เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น
-ปหานปธาน เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้สิ้นไป
-ภาวนาปธาน เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้นมา
-อนุรักขนาปธาน เพียรตามรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่นและให้เจริญยิ่งขึ้น

สรุปในเรื่องนี้แล้วให้มีอัตตสัมมาปณิธิทั้งในปัจจุบันธรรมและอปรายิกธรรมสืบไป พึงกระทำในใจว่า ธรรมที่เรารู้แล้วมีอยู่ ธรรมที่เราพึงค้นคว้ายิ่งๆขึ้นไปมีอยู่

แชร์เลย

Comments

comments

Share: