วิชชาธรรมกาย (Vijjā Dhammakāya)
จักษุ ๕ ระดับ
พระครูวินัยธร (ชั้ว โอภาโส)
กายในกายนับตั้งแต่กายมนุษย์หยาบหรือกายเนื้อ ก็มีกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์หยาบ กายทิพย์ละเอียด ซึ่งเป็นกายที่ ๔ นับจากกายมนุษย์ ถึงกายนี้แล้ว ก็จะสามารถทำกรรมฐานได้ ๓๐ ที่ตั้ง ตั้งแต่กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ และอนุสสติ ๑๐
ตาของกายนี้เป็นทิพยจักษุ สามารถเห็นสวรรค์ นรก เปรต อสุรกาย
แล้วเอากายทิพย์นี้แหละ ไปนรก สวรรค์ เปรต อสุรกาย ได้ทุกแห่ง ไปพูดจาปราศรัยกันกับพวกเหล่านั้นได้ ถามถึงบุรพกรรมทุกข์สุขกันได้ทั้งนั้น แต่ว่ายังไม่เห็นพรหมโลก เพราะละเอียดกว่าสวรรค์มาก
ดวงธรรมในกายทิพย์นี้เรียกว่า “ทุติยมรรค” พอขยายออกเป็นปฏิภาคใหญ่เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็จะเห็นกายที่ ๕ ขึ้นอีก ผุดขึ้นที่กลางดวงทุติยมรรค เรียกว่า กายรูปพรหมหยาบ และในกลางกายรูปพรหมหยาบก็มีกายรูปพรหมละเอียด เป็นกายที่ ๖ กายนี้สวยงามประดับประดาอาภรณ์ยิ่งกว่าเทวดา กายนี้ทำกรรมฐานได้ ๔ ที่ตั้ง คือ รูปฌาน ๔
ดวงตาของกายนี้เป็นปัญญาจักษุ สามารถเห็นพรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้น
แล้วเอากายนี้ไปพรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้นได้ ไปไต่ถามทุกข์สุขกับรูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้นได้ แต่ว่ายังไม่เห็นอรูปพรหม ๔ ชั้น เพราะละเอียดกว่ารูปพรหมมาก
ต้องเอาเห็น จำ คิด รู้ เข้าไปหยุดนิ่งอยู่เหนือสะดือสองนิ้วมือในกลางกายรูปพรหมที่ ๖ นี้อีก ดวงธรรมในกายนี้เรียกว่า “ตติยมรรค”
พอขยายเป็นปฏิภาคใหญ่ออกไปเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ก็จะเห็นกายอรูปพรหมหยาบ ในกลางกายอรูปพรหมหยาบก็จะเห็นกายอรูปพรหมละเอียดเป็นกายที่ ๘ กายรูปพรหมนี้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก
กายนี้ทำกรรมฐานได้ ๖ ที่ตั้ง คือ อรูปฌาน ๔ และอาหาเรปฏิกูลสัญญา กับ จตุธาตุววัฏฐาน รวมเป็น ๔๐ กรรมฐานด้วยกัน
ดวงตาของกายนี้เป็นสมันตจักษุ สามารถเห็นอรูปพรหม ๔ ชั้น แล้วเอากายนี้ไปอรูปพรหม ๔ ชั้นได้ ไปไต่ถามทุกข์สุขกันได้ แต่ยังไม่เห็นนิพพาน
ต้องเข้าไปนิ่งอยู่เหนือศูนย์สะดือสองนิ้วมือ ในกลางกายอรูปพรหมละเอียดซึ่งเป็นกายที่ ๘ นี้อีก ดวงธรรมในกายนี้เรียกว่า “จตุตถมรรค”
พอขยายเป็นปฏิภาคใหญ่เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ก็จะเห็นกายอีกกายหนึ่งเป็นกายที่ ๙ กายนี้เรียกว่าธรรมกาย เหมือนพระพุทธรูป เกตุแหลมเหมือนดอกบัวตูม สวยงาม ใสเหมือนแก้ว ดวงตาของกายนี้เรียกว่าพุทธจักษุ (ธรรมจักษุ) เห็นนิพพาน
แล้วเอากายนี้แหละไปนิพพานได้ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนก็เห็นหมด ทั้งขาว กลาง ดำ ไปพบปะเห็นทั้งนั้น เรื่องห่มผ้าม้วนขวา ม้วนซ้าย จะไปรู้เรื่องได้หมด
ถ้าท่านผู้ใดทำได้ถึงพระธรรมกายนี้แล้วจึงค่อยเชื่อ หรือจะไม่เชื่อก็ตามใจท่านเถอะ เพราะคนเรามีอยู่สามพวก ขาวพวกหนึ่ง ดำพวกหนึ่ง กลางพวกหนึ่ง
ถ้าพวกขาวก็เชื่อ ถ้าพวกดำก็ไม่เชื่อ ถ้าพวกกลางก็เฉยๆ ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นพวกขาว กลาง หรือดำ ก็สังเกตดูเอา
ถ้าซื่อตรง นักปราชญ์ ฉลาดใจบุญ ก็ให้รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของภาคขาว
ถ้าคดโกง เก่งกาจ ฉลาดใจพาล ก็ให้รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของภาคดำ
ถ้าไม่ตรง ไม่โกง นั่นก็เป็นเครื่องหมายของภาคกลาง
ธรรมกายนี้ก็มีหยาบละเอียดกว่ากันเข้าไปตามลำดับ กายธรรมกายแรกซึ่งเป็นกายที่ ๙ นั้น เรียกว่าธรรมกายโคตรภูหยาบ
ในธรรมกายโคตรภูหยาบก็มีธรรมกายโคตรภูละเอียด
ในกายโคตรภูละเอียดก็มีกายพระโสดาปัตติมรรค
ในกายพระโสดาปัตติมรรคก็มีกายพระโสดาปัตติผล
ในกายพระโสดาปัตติผลก็มีกายพระสกิทาคามิมรรค ในกายพระสกิทาคามิมรรคก็มีกายพระสกิทาคามิผล ในกายพระสกิทาคามิผลก็มีกายพระอนาคามิมรรค
ในกายพระอนาคามิมรรคก็มีกายพระอนาคามิผล
ในกายพระอนาคามิผลก็มีกายพระอรหัตมรรค
ในกายพระอรหัตมรรคก็มีกายพระอรหัตผล
เป็น ๑๘ กายด้วยกัน
กายตั้งแต่กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ทั้งหยาบทั้งละเอียดหมดทั้ง ๘ กายนี้
เป็น #กายปัญจขันธ์ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน บุคคล เราเขา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
แต่กายทั้ง ๑๐ นับตั้งแต่ธรรมกายโคตรภูขึ้นไปจนถึงธรรมกายพระโสดา ธรรมกายพระสกิทาคา ธรรมกายพระอนาคา ธรรมกายพระอรหัต ทั้งหยาบทั้งละเอียดนี้ เป็น ##กายธรรมขันธ์ เป็นนิจจัง เป็นสุขัง เป็นอัตตา
นิจจังเป็นของเที่ยง สุขังเป็นสุข อัตตาเป็นตัวของเรา เป็นกายของเราแท้ไม่ยักเยื้องแปรผัน
#กายปัญจขันธ์ เป็นกายโลกิยะ
#กายธรรมขันธ์ เป็นกายโลกุตระ
กายโลกิยะ สำหรับทำภูมิสมถะ คือ กรรมฐาน ๔๐
กายโลกุตระ สำหรับทำภูมิวิปัสสนา ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อพบเห็นพระพุทธเจ้าหมดแล้ว จะเข้าไปถวายนมัสการท่านได้ และจะทูลถามท่านได้ ติดขัดเรื่องอะไร ทูลถามท่านจะบอกหมด แต่ว่าถ้าจะทูลถามพระพุทธเจ้าต้องนิ่งให้สนิทนะ ถ้านิ่งไม่สนิทหละ ไม่ได้ยินเสียงท่าน จะเห็นแต่พระโอษฐ์ท่านงาบๆ อยู่เท่านั้น เพราะเรานิ่งไม่พอ ถ้าเรานิ่งพอหละ พระสุรเสียงดังก้องอย่างฟ้าเชียว ไพเราะ
การที่จะดูอย่างนี้ละ ต้องดูเฉพาะตัวนะ และอย่าไปดูให้ใคร เมื่อได้ธรรมกายแล้ว จะแก้โรคภัยไข้เจ็บได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเราไม่แก้ได้ละก็ดี หรือเราไม่ดูให้ใครละก็ดี เราไม่ให้เขารู้ว่าเรารู้ได้ละก็ดี
ถ้าว่าให้เขารู้ละก็ หนักเข้าก็มีคนมาหา เมื่อมีคนมาหาเข้าละก็ ทีหลังเราแก้ไขเขาก็จะให้ลาภสักการะ นี่มันจะกลายเป็นหมอดูไป
เมื่อกลายเป็นหมอดูละ หนักเข้าเขาก็ให้ลาภสักการะ ได้เงินได้ทอง เกิดโลภขึ้น เมื่อเกิดโลภขึ้นแล้วก็กลายเป็นธรรมโกยหละ
ทีหลังเวลาเขาจะมาหา ก็จะคิดเอาเงินเอาทองเขา เมื่อเกิดโลภขึ้นเช่นนั้น ธรรมกายนี่เป็นของบริสุทธิ์ หนักเข้าก็มืดไปเสีย ไม่งั้นก็ดับสูญหายไปเสีย
บางทีเมื่อทำสิ่งใด เมื่อสติมันเกิดเป็นธรรมเกขึ้น เมื่อเป็นธรรมเกขึ้นแล้ว ทีนี้มันก็จะต้องเกิดเป็นธรรมโกง หนักเข้าก็จะต้องหลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต เมื่อดับมืดเสียแล้ว
นี่เป็นแต่ครั้งพุทธกาลแล้วที่เป็น ธรรมกาย ธรรมเก ธรรมโกง
ธรรมโกงนี่นะ พระเทวทัตน่ะ นั่งธรรมกายดีกว่าเดี๋ยวนี้มากมาย ถึงกับเหาะไปในอากาศได้ แต่ทีนี้ไปติดลาภเข้า พอพระเจ้าอชาตศัตรูบำรุงบำเรอด้วยภัตตาหารบริบูรณ์ ก็เกิดเป็นธรรมโกงขึ้น
ธรรมกายเป็นของบริสุทธิ์ นี่คิดจะฆ่าพระพุทธเจ้า จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ธรรมกายก็ดับไป เมื่อดับแล้วก็เกิดเป็นธรรมเกขึ้น
ทีนี้พระเจ้าอชาตศัตรูก็ไม่เล่นด้วย เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูไม่เล่นด้วย ก็เสื่อมจากลาภสักการะ เกิดเป็นธรรมโกง ไปขอวัตถุ ๕ ประการต่อพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าไม่ให้ ก็เกิดทำสังฆเภทขึ้น ก็ไปอยู่ในอเวจีนรกเท่านั้น
ที่มา :
– ธาตุธรรม ๓ ฝ่าย โดยหลวงปู่ชั้ว
– ทางมรรค ผล นิพพาน รวมธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกาย พ.ศ. ๒๕๒๕






ไลน์ "@wlps" เพื่อรับข่าวสารจากทางวัด