ลป.ขาว พุทธรักขิโต วัดป่าคูณคำวิปัสสนา
บ้านกลาง ต.กุดให อ.กุดบาก ที่วัดมีรูปปั้นลป.ใหญ่เท่าองค์จริงซึ่งมีปาฏิหาริย์มาก ท่านอายุ 31 ปี (ปี 42) ได้เคยพบลป
.เทพโลกอุดร 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนเป็นเณร อายุ 12 ปี เข้าป่าไปกับเพื่อนเณรเพื่อเที่ยวเล่นหลงป่าออกไม่ได้ พบพระ
ชรารูปหนึ่งนั่งอยู่ ผิวขาวออกชมพู ผมสีขาว บอกทางออกให้ ครั้งที่ 2 ท่านไปที่ฝั่งลาวตอนอายุ 16 ปี โดนทหารเวียด
นามล้อมไว้นึกว่าท่านเป็นสายลับ ท่านนั่งสมาธิอยู่ด้วยความกลัว ปรากฏว่าลป.เทพโลกอุดรมาสะกิดท่านถามว่าจะให้
ช่วยออกจากวงล้อมไหม ถ้าจะให้ช่วยก็ให้หลับตาลง พอหลับตาหลวงปู่ก็จับข้อมือท่านแล้วก็มีลมมาปะทะหูก็อื้อเหมือน
จะเป็นลม
เมื่อลืมตาก็เห็นพระพุทธรูป 3 องค์ ถามท่านว่าเป็นที่ไหน ท่านว่าอยู่บนภูเขาควาย ท่านจึงอยู่ปฏิบัติธรรมที่นั่น ทุกเช้า
ก็จะมีคนมาใส่บาตรให้ แต่เมื่อตามไปดูก็ไม่พบว่ามีบ้านคนอยู่แถบนั้นเลย วันหนึ่งจึงคิดลองถามชาวบ้านคนนั้นดู
พอจะถามเขาก็ชิงพูดก่อนเลยว่าไม่ต้องถาม ถ้าถามจะอดฉันข้าว
ทุกคืนท่านจะได้ยินเสียงพระมาสอนธรรมะเรื่องสติปัฏฐานและอสุภกรรมฐานให้ เมื่อท่านปฏิบัติไปนานจะครบ 3
เดือนเข้าเรื่องที่คิดจะสึกก็เลิกคิด และพูดเปรยออกมาว่าจะไม่สึกแล้ว พอพูดจบลป.เทพโลกอุดรก็ปรากฏกายขึ้นทันที
ท่านเล่าว่าท่านเป็นพระสมัยพุทธกาล เป็นลศ.ของพระมหากัสสปะ ท่านตั้งใจอยู่เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000
ปี ท่านจึงไม่มีบ้าน ไม่มีพี่น้อง จะคอยช่วยเหลือพระที่อยู่ในป่าและได้รับอันตรายหรือติดขัดทางธรรมะ ท่านไม่มีชื่อ
แต่ลศ.ของท่านคือ “วังหน้า” (สมัยร.1) เรียกท่านว่า “พระครูเทพโลกอุดร” และสร้างพระให้ท่านปลุกเสกให้ส่วนพระที่ไม่
ใช่กรุวังหน้านั้นท่านไม่ได้ปลุกเสก แต่ผู้ที่นับถือท่านสร้างถวายไว้ด้วยความเคารพ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าลป.เทพโลก
อุดรปลุกเสกพระกรุวังหน้าเพียงชุดเดียวเท่านั้น
ลป.เทพโลกอุดรขอให้ท่านสร้างโบสถ์ที่วัดนี้ แต่ท่านบอกสร้างไม่ได้หรอกเพราะไม่มีเงิน ลป.บอกไม่เป็นไรพรุ่งนี้จะ
มีผู้มาถวายเงิน 700,000 บาท พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนมาถวายจริงๆ จึงได้เริ่มสร้าง ปัจจุบันใกล้จะเสร็จแล้ว ท่าน (ลป
.ขาว) ไม่ฉันเนื้อวัว
ท่านเล่าว่าลป.เทพโลกอุดรมีผิวกายสีดำแดง แต่ดูออกผิวขาวเนื่องจากผิวของท่านใส (ละเอียดและมีรัศมี) เกศาสีขาว
เส้นละเอียดไม่สั้นไม่ยาวเกินไปดูเหมือนปุยนุ่น นัยตาสีดำ ห่มจีวรสีเหลืองไม่เข้มนักเกือบเป็นสีกรัก ท่านสอนเน้น
เรื่องสติคือให้มีสติในทุกเมื่อและไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น (ไม่ให้มีห่วง) ชาวบ้านแถบนั้นเคารพลป.ขาวมากและเรียกท่านว่า
หลวงปู่ตั้งแต่ท่านยังเป็นเณร โดยเรียกว่า “หลวงปู่เณร” ท่านว่าชาติก่อนท่านเป็นคนลาว แม้ทุกวันนี้ก็ยังรู้เรื่องของ
เมืองลาวมาก

หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต วัดป่าคูณคำวิปัสสนา
◎ ชาติภูมิ
หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต นามเดิมชื่อ สุพัตร ไพคำนาม เกิดเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๑ บิดาชื่อ นายบุญทัน และมารดาชื่อ นางวอน ไพคำนาม การศึกษา ประถมการศึกษาปีที่ ๖
◎ อุปสมบท
หลวงปู่ขาว ได้เข้าอุปสมบท เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๐ ณ วัดสุมังคลาราม ต.พังข้วาง อ.เมือง จ.สกลนคร โดยมี พระราชวิมลมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการประสิทธิ์ จักกะธัมโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระบรรยง โรจโน เป็นพระอนุสาวนาจารย์

◎ ปาฏิหารย์ หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต
ปาฏิหารย์ด้านต่าง ๆ ของหลวงปู่ขาว ซึ่งได้รับการเปิดเผยจากลูกศิษย์ใกล้ชิด (อาจารย์พิทักษ์) เช่น การล่วงรู้ลางหน้าต่าง ๆ เช่นเวลาจะมีใครไปหาท่าน ๆ จะบอกให้ลูกศิษย์หรือพระเณรจัดเตรียมส่งของไว้ต้อนรับและบอก ว่าคนนั้น คนนี้จะมาหาท่านซึ่งเมื่อถึงเวลาก็มีผู้มาหาตามที่ท่านบอกทุกอย่างโดยไม่มีการนัดหมายมาก่อน
“มีอยู่ครั้งหนึ่งมีพระชรามาจากประเทศลาวตั้งใจจะมาสนทนาธรรมกับท่าน แต่เมื่อเข้าไปในกุฏิหลวงปู่ต่อหน้าหลวงปู่แล้ว กลับลุกขึ้นวิ่ง หนีออกจากกุฏดังกล่าว โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งต่อมาภายหลังได้สอบถามกับพระรูปนั้นจึงทราบว่าที่ท่าน ลูกขึ้นวิ่งหนี เนื่องจากเห็นงูใหญ่ ๒ ตัว เลื้อยออก มาจากใต้ธรรมมาส ซึ่งทําจากกระดูกช้างที่หลวงปู่ขาวนั่งอยู่ และตรงจะเข้าทําร้ายจึงเกิดความตกใจและวิ่งหนี ดังกล่าว โดยขณะนั้นมีชาวบ้านนั่งอยู่ หลายคน แต่ไม่มีผู้ใดมองเห็นงูที่ว่าแต่อย่างใด”
“สิ่งที่น่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อครั้งที่หลวงปู่ขาวเดินทางไปที่ประเทศลาว โดยตั้งใจจะไปเมืองๆ หนึ่งท่านได้เดินไปตามถนนตามธรรมดา ปรากฎว่ามีรถปิกอัพวิ่งมา โดยในรถคันนั้นจะมีพระภิกษุชรานั่งมาด้าย ๓ รูป ท่านจึงโบกขออาศัยรถไปด้วย เมื่อท่านขึ้นรถเรียบร้อยก็ออก เดินทางต่อไป แต่ไปได้ไม่ไกล เครื่องรถเกิดดับ ซึ่งหลังจากคนขับรถลงไปตราจสอบดูแล้วทราบว่าน้ำมันหมด และขณะนั้นได้มีเสียงกระซิบบอก ให้หลวงปู่ขาวลงไปใช้ไม้เท้าเคาะที่ถังน้ำมันรถ ๓ ครั้ง ซึ่งหลังจากท่านลงไปเคาะแล้วรถสตาร์ทติด และวิ่งจนถึงจุดหมายทั้งที่อยู่ห่างหลายสิบกิโลเมตร สร้างความฉงนจากพระชรา ๓ รูปเป็นอย่างมาก จึงมีการฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ขาว และเดินทางมาหาอยู่ไม่ขาด”
“อีกครั้งหนึ่งเร็ว ๆ นี้ เป็นช่วงการหาเสียง เลือกตั้งของ ส.ส.ทั่วประเทศ ตนได้นิมนต์หลวงปู่ขาว ไปฉันเพลที่บ้านของตนซึ่งในวันนั้นตนได้เชิญญาติ คือ นางมาลีรัตน์ แก้วก่า ผู้สมัครหญิงคนหนึ่งของสกลนคร ไปนมัสการหลวงปู่แต่ไม่ได้บอกให้หลวงปู่ทาบก่อนว่าเป็นผู้สมัคร ส.ส. ครั้นถึงเวลาญาติของตนก็เดินทางไปถึง เมื่อหลวงปู่ขาวมองเห็นจึงได้ทักว่าอีน้อยคนนี้มึงเอาที่ ๓ ก็พอนะ ซึ่งหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไป ปรากฏว่านางมาลีรัตน์ แก้วก่า ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.สกลนคร สมใจ และได้คะแนนมาเป็นอันดับ ๓ ตรงกับที่หลวงปู่ขาวทํานายไว้ สร้าง ความศรัทธาแก่ชาวบ้านจนมีการเหมารถกันมาหาหลวงปู่และชมวัตถุโบราณวันละกว่า ๕๐๐ คน
อาจารย์พิทักษ์ เปิดเผยอีกว่า ในช่วงนี้หลวงปู่กําลังให้ช่างวาดรูปเจ้าเกรียงไกร เจ้าเมืองลาวในอดีตคือตัวท่านหลวงปู่ขาวในชาตินี้ ขณะนี้ใกล้จะ เสร็จแล้ว ซึ่งหลวงปู่บอกว่าช่างวาดได้เหมือนมาก ส่วนรูปปั้นนั้นหลวงปู่ขาวจะให้ตนเป็นผู้สร้าง เนื่องจากเห็นว่าตนมีความสะอาดซื่อสัตย์ ซึ่งตนก็จะพยายาม ทําให้ได้เช่นกัน
สําหรับประวัติหลวงปู่ขาวนี้ อาจารย์พิทักษ์เปิดเผยว่า เมื่อครั้งที่ตน เป็นครูอยู่ที่ ร.ร.บ้านกลาง ต.กุดไห เด็กชายขาว ได้เป็นลูกศิษย์ของคนคนหนึ่ง ซึ่งขณะที่เรียนหนังสือนั้น ด.ช.ขาวเรียนหนังสืออ่อนมาก อ่านหนังสือก็แทบไม่ ออกเขียนหนังสือก็ไม่ได้ แต่ต่อมาเมื่อตนมาพบอีกทีเมื่อเป็นพระแล้วกลับอ่าน ออกเขียนได้คล่อง ซึ่งหลวงปู่เคยเล่าให้ฟังว่าได้นอนหลับและนิมิตว่าได้พบโยคีชราตนหนึ่ง และโยคตนนั้นได้ถามหลวงปู่ว่าอยากอ่านหนังสือได้เขียน หนังสือได้หรือไม่ ซึ่งหลวงปู่ก็ตอบว่าอยาก โยคีตนนั้นจึงได้เข้ามาเป่าที่ กระหม่อมหลวงปู่ ๓ ครั้ง หลังจากตื่นขึ้นจึงอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อย่างไรก็ตามวัตถุโบราณทุกชิ้นยังไม่ได้รับการตรวจสอบเพื่อขึ้นบัญชี จากกรมศิลปากร แต่อย่างไร ซึ่งหลวงปู่ขาวกล่าวว่า หากทางเจ้าหน้าที่ ต้องการจะมาดูเพื่อตรวจสอบก็ไม่ขัดข้อง
ประวัติ วัดป่าคูณคําฯ แต่เดิมประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๒ พระอาจารย์ทองคํา ได้ธุดงค์ผ่านมาเพื่อปฏิบัติธรรม บริเวณที่เป็นวัดขณะนี้เป็นที่ดินสงวน แต่ เมื่อพระอาจารย์ทองคําปฏิบัติธรรมได้ ๑ เดือนชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างกุฏิเพื่อให้อาจารย์ทองคําจําพรรษา หลังจากช่วงเข้าพรรษาผ่านไปพระอาจารย์ทองคํา จึงเดินธุดงค์ไปที่อื่นสถานที่แห่งนั้นจึงเป็นที่รกร้างต่อไป
ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๙๘ หลวงพ่อผัน ได้มาพักปฏิบัติธรรมประมาณ ๔-๕ เดือน แล้วก็ธุดงค์ต่อไป แต่ก็ยังมีพระธุดงค์อีกหลายรูปผ่านมาปฏิบัติธรรม ซึ่งก็ยัง ไม่มีพระรูปใดอยู่ตลอด
ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ หลวงพ่อซ้อนได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่ แต่เนื่องด้วยยังเป็นเณร จึงอยู่ได้ไม่นาน บริเวณนี้จึงต้องรกร้างอีกครั้ง
จนถึงปี พ.ศ.๒๕๒๘ หลวงพ่อเบี้ยว ฐานวิโร (อดีตประธานสงฆ์) ได้พิจารณาพื้นที่แห่งนี้ว่ามี ความสงบวิเวก เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จึงได้ชักชวนญาติโยมหลายคนมาช่วยกันตั้งเป็นสํานักสงฆ์ขึ้น สร้างกุฏิ ขยายออกไป ตรงกับวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๘ และได้ปฏิบัติธรรม ณ ที่นี่ตลอดมา
จนกระทั่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓ หลวงปู่ขาว หรือ พระอธิการสุพัตร์ พุทธรักขิโต ภายหลังจากธุดงค์ได้เดินทางกลับมายังบ้านเกิดของท่านและ ได้พิจารณาร่วมกับชาวบ้านกลางแล้วเห็นสมควร ที่จะพัฒนาสํานักสงฆ์แห่งนี้เพื่อเป็นวัดสืบต่อไป ต่อมาได้มีมติความเห็นชอบของคณะกรรมการมหา เถรสมาคมและกรมการศาสนาในสมัยนั้น (ปัจจุบัน กรมการศาสนาได้เปลี่ยนเป็นสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) ได้อนุญาตให้สํานักสงฆ์ป่าคูณคําวิปัสสนา ยกลําดับฐานะขึ้นเป็นวัดในวันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘

วัดป่าคูณคำวิปัสสนาแห่งนี้ถือเป็นวัดป่าที่มีความร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมายอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง
กุฏิของหลวงปู่ขาว อยู่ลึกเข้าไปในป่าใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ทางเดินเล็กๆ เทหล่อด้วยคอนกรีตลดเลี้ยว เลาะไปตามใต้โคนไม้
เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๗ หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าคูณคำวิปัสสนา สืบต่อมากระทั่งปัจจุบัน

◎ หลวงปู่ขาว ท่านไดเเล่าให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดร
หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต ท่านได้เมตตาเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ตัวท่านได้รับจากหลวงปู่เทพโลกอุดรให้ได้รับทราบว่า
“เรายอมจริงๆ ยอมรับท่านทุกอย่างยอมเป็นทาสรับใช้ท่านยอมสิโรราบ เพราะเราเคยเห็นสิ่งต่างๆ หลายอย่างจากท่านแต่ถ้าเราจะมายกให้เห็นเป็นหลักฐานขึ้นมาอ้างอิงเช่นคนอื่นๆ นั้นจนปัญญา เพราะไม่มีตัวตนในตอนที่ได้อยู่กับท่านด้วยกายเนื้อตลอด ๗ วัน แต่สำหรับทุกๆ วันพระท่านจะมาสอนประจำทางสมาธิจะอยู่ในทุกวันพระท่านก็จะมาสอนให้โอวาท อย่างงานล่าสุดที่ท่านให้บูรณะพระธาตุคูณคำ ในวัดมีอะไรจะปรึกษาท่านตลอดอย่างปรึกษาท่าน “ลูกจะสร้าง สิ่งนี้จะสำเร็จไหม”
ท่านหลวงปู่บรมครูจะบอกให้ทราบ..
“ลูกเอ๋ย ถ้าถามว่าการสร้างในพระพุทธศาสนานี่มันดีไหม? มันดี แต่ก็อย่างมงายแต่ให้สร้างเพราะสละความตระหนี่ สร้างเพื่อให้เป็นพุทธบูชา ถ้าจะสร้างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าการสร้างวัตถุเพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั้นมันผิดกับหลักธรรมคำสอนน่ะ พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมศาสดาของเราท่านไม่ได้สอนในเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช ท่านไม่ได้สอนให้ทำในเรื่องวัตถุมงคล แต่ถ้าเราทำ ก็ทำได้ แต่ว่าเราอย่าไปยึดติดกับมันเราทำไว้เพื่อประดับตาโลกแต่สิ่งนี้มิใช่แก่นของพระธรรม แต่พ่อก็ไม่ห้ามแต่ก็อย่าไปหลงงมงาย จนถอนตัวไม่ขึ้น วัตถุมงคลนั้นมันดีตรงกำลังใจ สมมติเรามีความท้อแท้ แต่จิตเรามีความเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายมันช่วยได้นั่นแหละคือตัวศรัทธา ความเชื่อมันเกิดเป็นฤทธิ์กระตุ้นจิตใจเขาให้ได้เกิดผลเมื่อผลที่มันเกิดขึ้นที่จิตใจเขาได้รับผลดังที่ใจเขาจึงเกิดความเชื่อ ศรัทธานับถือมีฤทธิ์มีเดช ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แท้ที่จริงแล้วมันเกิดจากจิตของเขามันไม่ได้เกิดจากวัตถุนั้นถ้าทำด้วยความเชื่อศรัทธามัน จึงจะเกิดเป็นฤทธิ์เป็นผล”
หลวงปู่ขาว จึงได้กราบเรียนท่านหลวงปู่เทพโลกอุดร “แล้ววัตถุมงคลที่พ่อสร้างไว้ล่ะมีไหม”
ท่านบอกให้ทราบ.. “ตั้งแต่พ่อบวชมาในสมัยครั้งท่านหลวงพ่อมหากัสสปะเถระ เป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐาน ท่านไม่เคยสอนเรื่องการสร้างวัตถุมงคล ท่านสอนเรื่องการปฏิบัติอย่างเดียวเน้นหนักมีแต่เรื่องธรรมะล้วนๆ เน้นการปฏิบัติล้วนๆ ไม่ได้สอนในเรื่องวัตถุมงคลแต่ที่เขาเล่าลือ กันว่าเป็นพระกรุหลวงพ่อแตกที่นั่นที่นี่สิ่งที่เขาพูดเขาอุปโลกน์ขึ้นมาเองพ่อไม่ได้ทำขึ้น แต่ที่ทำจริงๆคือกรุวังหน้า ๘๔,๐๐๐ องค์นั้น พ่อทำไว้จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างน่ะลูกเราจะทำอะไรก็ช่างขอให้ใจเรามีความศรัทธาเต็มร้อยเชื่อเต็มร้อย เมื่อเรามีความเชื่อศรัทธาเต็ม
ร้อยความสำเร็จนั้นไม่ได้อยู่ที่วัตถุมงคล แต่สำเร็จที่ใจเราเมื่อใจเราสำเร็จแล้ว ทุกอย่างมันต้องสำเร็จ เพราะทุกอย่างมันเกิดที่เหตุ เกิดขึ้นที่ใจ ถ้าเรามีความเชื่อขอให้เราตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีธรรมที่เราได้บำเพ็ญมาทุกภพทุกชาติบารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นพระบรมครูแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกนี้ เราขอแผ่บิณฑบาตเอากับเทวดาองค์นั้นกับเทวดาองค์นี้จงไปหาข้าทาส
บริวารที่เคยสร้างบารมีธรรมในพระพุทธศาสนาถ้าจะสร้างนั่น สร้างนี่ให้บอกวัตถุประสงค์เขาและขอบารมีเขาขอแผ่เมตตาบิณฑบาตให้ไปสะกิดจิตใจข้าทาสบริวารเนื้อนาบุญสาวกของพระพุทธเจ้า นั่นแหละใครมีศรัทธาก็ขอให้มารวมบารมีธรรมอธิษฐานเอา”
ที่มา : ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://kutbak.sakhonnakhon.police.go.th



ไลน์ "@wlps" เพื่อรับข่าวสารจากทางวัด