รายการโปรด · 22 ชั่วโมง ·
– เราตถาคต คือธรรมกาย พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้.
คำว่า “ธรรมกาย” ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวักกลิสูตร ว่า..
” ดูก่อน วักกลิ เธอจะมาดูร่างกายเน่าเปื่อยของตถาคตทำไม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม”
อรรถกถาจารย์แก้อรรถที่ว่า “เห็นเรา” นั่นก็คือเห็นตถาคต ตถาคตเป็นอะไร ก็เป็นธรรมกาย และการจะเห็นธรรมกายของตถาคต ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆแล้วเห็นนะ ต้องเห็นด้วยญาณ ไม่ใช่เห็นด้วยตาเนื้อ
มีอยู่ในอรรถกถาที่ได้ถวายไปแล้ว ไปเปิดดู อธิบายความไว้เลยในวักกลิสูตรว่า การจะเห็นตถาคต คือเห็นธรรมกายนั้น ต้องเห็นอย่างไร และพระตถาคตก็คือพระนิพพาน คือธรรมกายที่บรรลุอรหัตผลแล้วของท่าน
เขาเห็นอย่างไร? ทำไมจึงเห็น? ไม่ได้ใช้ตาเนื้อหรอกหรือ? ตาเนื้อเห็นไม่ได้ ต้องญาณทัศนะในระดับพุทธจักษุ ก็คือธรรมกายนั่นแหละ ญาณนั้นจึงจะเห็นธรรมกายซึ่งกันและกัน
และที่ตรัสว่า “#ผู้ใดเห็นเรา#ผู้นั้นเห็นธรรม” #ธรรมนั้นคือธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า บางคนบอกว่า เห็นธรรมก็คือรู้ธรรม เข้าใจธรรม ก็ถูก แต่ถูกกี่เปอร์เซ็นต์น่ะ เนื้อแท้จริงๆต้องเห็นธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า เห็นแจ้งไปหมด ก็คือธรรมที่ทำให้กำจัดกิเลส และบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้า การเห็นต้องอยู่ด้วยธรรมกาย จึงเห็นด้วยตาธรรมกาย
เพราะฉะนั้น นี่ การเห็นแจ้งในพระไตรลักษณ์ ในวิปัสสนาปัญญา ธรรมกายก็เห็นได้ เข้าใจได้ เห็นแจ้งถึงอริยสัจ ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ ก็เห็นได้ แล้วเมื่อเห็นได้ เกิดปัญญารู้แจ้งอย่างนี้เรียกว่าวิปัสสนาไหม? แล้วก็วิปัสสนาในระดับไหนด้วย จะบอกไว้ซะเลย เห็นด้วยรู้แจ้งด้วย มันระดับไหน แล้วจะมีกี่วิธีที่จะทั้งเห็นแจ้งและทั้งรู้
“จกฺขุํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ”
เห็น…ขึ้นต้นด้วยจักษุเทียวนะ เห็นด้วยจักษุ แต่ไม่ใช่มังสจักษุ พวกนั้นหมูอยู่ในตลาดเยอะแยะ แต่ไม่เคยปลงได้สักที เห็นอนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตา..หมด แต่กิเลสก็ยังเท่าเก่า ดีไม่ดีมากกว่าเก่าอีก แต่”#จกฺขุํ#อุทปาทิ” #นี่ไม่ใช่มังสจักษุนะ#จริงๆแล้วคือพุทธจักษุ จึงละกิเลสได้หมด
ซึ่งอยู่ที่กายธรรม ไม่ได้อยู่ที่กายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม เพราะฉะนั้น ธรรมกายเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาด้วยอาการอย่างนี้ แต่เบื้องต้นหนักสมถะก่อน เพื่อจะสร้างฐานสำคัญโดยอุบายแห่งการใช้นิมิต เพื่อให้ใจหยุดนิ่งเป็นอารมณ์เดียวอย่างแท้จริง เข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ก็แล้วแต่ แล้วก็พิจารณาสภาวะธรรม ตามรู้ตามเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ณ ภายใน และ ณ ภายนอกด้วย
และ ณ ภายใน สำหรับผู้ที่ยังไม่ถึงขั้นนี้ ท่านให้ถือเอาการพิจารณากายเนื้อของตนเอง และพิจารณาของผู้อื่น เป็น ณ ภายนอก
แต่ถ้าถึงธรรมกายอย่างนี้แล้ว เข้าถึงกายละเอียดเพียงใด จักษุของกายละเอียดนั้น เห็น..แจ้ง..สัมผัส รู้แจ้ง ณ ภายใน ตามเห็นส่วนที่เห็นหยาบเป็น ณ ภายนอก
เช่น กายมนุษย์หยาบเป็น ณ ภายนอก เมื่อถึงกายละเอียดเป็น ณ ภายใน ถ้าถึงกายทิพย์ กายทิพย์เป็น ณ ภายใน กายมนุษย์ละเอียดเป็น ณ ภายนอก ถึงพรหม กายพรหมเป็น ณ ภายใน กายทิพย์ละเอียดเป็น ณ ภายนอก กายเห็นด้วยทิพพจักษุเป็น ณ ภายนอก ไปจนสุดละเอียด ถึงธรรมกาย เป็นพุทธจักษุ แล้วจึงเห็น ยังสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์ เห็นทั้งสังขารและวิปชสังขาร
เพราะฉะนั้น #ธรรมกายนี่#เบื้องต้นจะหนักสมถะ#เพื่อตั้งฐานให้สมบูรณ์#พอถัดไปเป็นอนุวิปัสสนา ตามเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ณ ภายใน เข้าไปจนสุดละเอียด และ ณ ภายนอก คือส่วนที่หยาบกว่า ตรงตามสติปัฏฐาน ๔ ในส่วนที่ลึกซึ้งลงไป
ทีนี้ เมื่อปฏิบัติถึงธรรมกายแล้ว พิจารณาสภาวธรรมแล้ว ดับหยาบไปหาละเอียดอยู่เสมอ ชำระธาตุธรรมเห็น,จำ,คิด,รู้ จากกิเลสทั้งปวง ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้นั่นแหละ คือ มีสติสัมปชัญญะ ใครจรดใจอยู่ในที่สุดละเอียดของธรรมกายได้เพียงไหน จิตก็สะอาดเพียงนั้น ถ้าเดี๋ยวจรดเดี๋ยวหลุดออกมา นั่นยังเป็นปุถุชน แต่ท่านที่เป็นพระอริยบุคคลท่านจรดได้มาก สติของท่านครบหมด กิเลสก็ทำอะไรไม่ได้ หรือทำได้น้อย
การดับหยาบไปหาละเอียด จริงๆคือตัวนิโรธดับสมุทัย ท่านดับหยาบไปหาละเอียด ไปสุดละเอียดของธรรมกายที่ละเอียดๆนั่น เป็นการปหานอกุศลจิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับเจตสิกธรรม
มีอนุสัยกิเลสต่างๆ ตามประเภทที่เมื่ออายตนะภายในกระทบอายตนะภายนอก เสวยอารมณ์สุข เวทนาหรือทุกขเวทนา กิเลสเหล่านี้ก็เกิดขึ้นพร้อมอกุศลจิต ที่จะเจริญก้าวหน้าต่อไปในทางที่ไม่ดี
#การปหานอกุศลจิต#เป็นจิตของธรรมกาย#ความจริงคือญาณ ไม่เรียกว่าจิตอีกต่อไป เพราะวิญญาณดับ ดับตรงไหน ก็ตรงสุดละเอียดของกายในภพ ๓ คือ กายมนุษย์ถึงกายอรูปพรหมสุดละเอียด กายที่เลยนั้นไปไม่เรียกว่าวิญญาณ เป็นญาณ
เพราะฉะนั้นอย่าสงสัยเลย และให้พึงเข้าใจด้วยว่า จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าไม่ประสงค์ที่จะแยกสมถะกับวิปัสสนา มีผู้ตีความเข้าใจกันไปหลายอย่าง เพียงแต่วิเคราะห์และแสดงให้เห็นว่า
“#สมถะ เป็นอุบายสงบใจจากกิเลสนิวรณ์” ส่วน “#วิปัสสนา เป็นอุบายเรืองปัญญาให้เกิดปัญญา” ดังกล่าวมาแล้ว เพื่อจะได้ปหานสังโยชน์ได้ ทั้ง ๒ อย่างนี้เป็นคู่กัน เป็นไปด้วยกัน ไม่ได้แยกกัน
และพระพุทธเจ้าทรงแสดงถึง”#วิชชา” ซึ่งเป็นเครื่องดับอวิชชามูลรากฝ่ายเกิด ท่านทั้งหลายคงได้ยินว่า #หลวงพ่อสดท่านเทศน์ให้ฟังว่า วิชชาภาคิยะ มีอยู่ ๒ อย่างนะ คือ พระโยคาวจรจะเจริญวิชชา เครื่องดับอวิชชามูลรากฝ่ายเกิด ต้องทั้งสมถะและวิปัสสนา พูดกันอย่างง่ายๆเลยว่า
#สมถะอบรมจิตให้ละกามราคะได้ พ้นจากราคะ
#วิปัสสนาอบรมปัญญา ให้ละอวิชชามูลรากฝ่ายเกิด
แต่ว่า ปัญญาจะเจริญไม่ได้ถ้าจิตชุ่มด้วยราคะ เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยสมถะกำจัดราคะ ปัญญาและวิปัสสนาถึงจะเจริญได้ เพราะฉะนั้น สมถะกับวิปัสสนาเป็นของคู่กัน.
________________
เทศนาธรรมจาก
พระเทพญาณมงคล
หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก
จ.ราชบุรี
________________
ที่มาของธรรมะ
ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
________________
เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
ขอบคุณภาพประกอบธรรมะ.











ไลน์ "@wlps" เพื่อรับข่าวสารจากทางวัด