อาจารย์เเม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ

เเม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ

ประวัติสังเขปของ อาจารย์เเม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร

แม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ เป็นศิษย์เอกสำคัญและอาวุโสที่สุดผู้หนึ่ง
ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนทฺสโร)
ท่านมีจริยวัตรอันงดงามและเป็นบุคคลตัวอย่าง
ที่ทุกคนทั้งหลายทั้งปวงเคารพนับถือและเทิดทูนในความดีงาม

แม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ เกิดวันจันทร์ เดือน ๖ ปีจอ พ.ศ.๒๔๒๙ ที่ตำบลบางสะแก ธนบุรี
ท่านเป็นคนจริง ทำอะไรทำจริง ตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส ได้ปฏิบัติธรรมภาวนากับหลวงพ่อวัดปากน้ำ
ซึ่งท่านศรัทธาและเคารพเป็นครูของท่าน จนท่านได้ “ดวงธรรม” แล้ว
มีอยู่วันหนึ่งท่านต้องการทำบุญ แต่ยังขาดปัจจัยอยู่
จึงได้เก็บผลไม้ จากสวนของน้าท่านไปขายโดยไม่ได้ขออนุญาต แล้วนำเงินนั้นไปทำบุญ

เเม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ

ความประมาทอันดูเสมือนเล็กน้อย แต่ก็เป็นเหตุ ให้ดวงธรรมของท่านดับไป ท่านเสียใจมาก เย็นนั้นท่านได้ อธิษฐานใจก่อนนั่งธรรม

” ถ้าหากไม่ได้เห็นดวงธรรมอีก ก็จะไม่ลุกขึ้นจากที่ “

ท่านยิ่งนั่งนานไป ก็เกิดความปวดเมื่อยไปทั่วตัว ยุงก็รุมกัด ครั้นใจท่านระลึกถึงยามที่แม่ไก่ซึ่งกกไข่อยู่นั้น จะไม่ไปไหนจนกว่าไข่จะฟักเป็นตัว
ท่านก็ปรารภไว้ในใจว่า จะไม่ยอมละจากความเพียรประดุจกัน

เวลาก็ล่วงไปจนพ้นกลางดึก ท่านจึงได้เห็น “ดวงธรรมสุกใสสว่าง” อีกคำรบหนึ่ง
แต่นั้นมาท่านก็รักษาศีล และปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด มิได้ประมาทจนต้องสูญเสียดวงธรรมอีกเลย

ต่อมาบิดามารดาของท่านถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ท่านอายุ ๓๕ ปี
ท่านก็ได้สละบ้านเรือนทรัพย์สมบัติออกบวชเป็นอุบาสิกาอยู่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ด้วยจิตศรัทธาต่อหลวงพ่อ และประสงค์ที่จะใช้ชีวิตเพื่อธรรมปฏิบัติตามเเนววิชชาธรรมกายอย่างเต็มที่

ด้วยการรักษาศีล ปฏิบัติรรมโดยเคร่งครัดถูกต้องหมดจด อีกทั้ง “ปุพเพกตปุญญตา” อันเป็นบุญบารมีที่สะสมมาเเต่อดีต กับวิริยะพากเพียรในปัจจุบันของท่าน
ท่านได้บรรลุ “ธรรมกาย” เเละเป็น “ผู้ทรงวิชชาสูง” ผู้หนึ่ง

ท่านเป็นบุคคลที่หลวงพ่อไว้วางใจยิ่งผู้หนึ่ง
มีความเคารพในธรรมคำสั่งสอนของหลวงพ่อ
เเละมีความขยันขันแข็งในการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง อันเป็นเหตุให้ได้รับมอบหมายให้เข้าปฏิบัติกิจภาวนาสำหรับ “ผู้เจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูง”
ในบริเวณที่สงวนไว้สำหรับผู้มีกระแสจิตอันบริสุทธิ์ปฏิบัติภาวนา ซึ่งหลวงพ่อเรียกว่า “โรงงาน”

โดยท่านเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลบรรดาแม่ชีที่ได้ธรรมกายและปฏิบัติหน้าที่ในโรงงาน
และเป็นหัวหน้าเวรในการปฏิบัติกิจภาวนา อีกทั้งเป็นครูผู้สอนวิชชาธรรมกาย

ท่านได้ปฏิบัติกิจภาวนาที่โรงงานนั้นเรื่อยมา ตามบัญชาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมอบหมายไว้
แม้ภายหลังหลวงพ่อมรณภาพเเล้ว ท่านก็มิได้เว้นกิจนั้น จวบจนมีการก่อสร้างโรงงานขึ้นใหม่
แม่ชีปุกเมื่อถึงระยะนั้นมีอายุ ๘๐ ปีเศษ และชรามากเเล้ว จึงได้อยู่ปฏิบัติธรรม และสั่งสอนอบรมการปฏิบัติภาวนาตามเเนววิชชาธรรมกาย เฉพาะในบริเวณที่พักของท่าน

อาจารย์เเม่ชีปุกเป็นผู้มีอารมณ์เยือกเย็น แจ่มใส โอบอ้อมอารี นุ่มนวล เป็นคนไม่โกรธ ไม่ผูกโกรธ ท่านมีน้ำใจงาม และมีความเมตตากรุณาสูงส่ง ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลลูกศิษย์ และผู้มาขอความอนุเคราะห์เเก่ท่านเป็นจำนวนมาก ใครทำสิ่งใดไม่ถูกต้อง ท่านก็จะเตือนว่า ระวังจะเป็นบาปนะ ท่านไม่ตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ ไม่ลบหลู่ หรือยกยอปอปั้นผู้ใด
ด้วยท่านมุ่งจะปฏิบัติธรรมด้วยจิตตั้งมั่น เพื่อถึงความหมดจดแห่งจิตโดยส่วนเดียว
มีทิฏฐิสมบูรณ์ ถึงพร้อมด้วยปัญญา วางตนสมฐานะเเห่งความป็นผู้ใหญ่เเละปูชนียบุคคล
เป็นผู้ให้คำแนะนำสั่งสอนที่ตรง ถูกต้องแท้จริง

คุณธรรมความดีที่ท่านปฏิบัติโดยเสมอต้นเสมอปลายนี้ ทำให้ผู้ใกล้ชิดเเละผู้ที่มีโอกาสรู้จักแม่ชีปุก
เกิดความรู้สึกทั้งอบอุ่น และเยือกเย็นเป็นอัศจรรย์
ด้วยรู้เห็น ความเป็นแม่พิมพ์และแบบแผนที่ดีงามสมบูรณ์หมดจด มีความเต็มใจที่จะรับคำแนะนำ ปฏิบัติตามคำสอนของท่านอย่างเต็มที่
และปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมท่านผู้เป็นที่รักเคารพนับถือของทุกคนโดยมั่นคง

พระเดชพระคุณพระภาวนาโกศลเถระ (วีระ คณุตฺตโม) ได้กรุณาเล่าถึงแม่ชีปุก ว่า
“คุณโยมปุก มุ้ยประเสริฐ ได้ทำวิชชาธรรมกายกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
มาเป็นเวลานานประมาณ ๖๐ กว่าปีตั้งแต่อายุ ๓๕
และ ได้ทำวิชชามาโดยตลอด มิได้ละทิ้งจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ก่อนจะถึงแก่กรรมคุณโยมรู้ตัวตลอดเวลา
พอถึงเวลาใกล้อรุณ คุณโยมปุกก็ได้ประนมมือไว้ที่หน้าอก แล้วถึงแก่กรรมด้วยอาการอันสงบ”

อาจารย์แม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๗
รวมสิริอายุย่าง ๙๙ ปี อยู่ในเพศผู้ทรงศีล ๖๓ ปี
และได้ฝากประวัติอันดีงาม ที่ทุกคนภาคภูมิใจไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้รู้และประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่าง
สมศักดิ์ศรีแห่ง “ผู้ถึงธรรมกาย” และ “ศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ” ทุกประการ

* ข้อมูลจาก หนังสือชีวประวัติ ผลงาน รวมพระธรรมเทศนา ๖๓ กัณฑ์ หลวงพ่อวัดปากน้ำ
เนื่องในโอกาสฉลองชนมายุ ๑๐๐ ปี
จัดพิมพ์โดย มูลนิธิพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย วัดสระเกศ กรุงเทพ
พิมพ์ครั้งที่๒ พ.ศ.๒๕๒๘ จำนวน ๑,๕๐๐ เล่ม

แม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ

ผู้เขียนเคยบอกแล้วว่า แม่ชีบางท่าน แม้จะถือศีลเพียง 8 ข้อ ยังน่ากราบไหว้ได้สนิทใจกว่าพระบางรูปที่ถือศีล 5 ยังไม่ได้นั้น วันนี้ยังจะขอยืนยันในคำพูดดังกล่าว และ จะขอเล่าถึงแม่ชีอีกท่านหนึ่งซึ่งมีคุณธรรมสูงในอดีตให้ฟังอีกท่านหนึ่ง ท่านผู้นั้นก็คือ

แม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ แห่งวัดปากน้ำ

แม่ชีปุก เป็นศิษย์รุ่นแรก ๆ ของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ โดยสู้อุตส่าห์ปลีกเวลาจากงานบ้านมาลองปฏิบัติกับเขาดู แล้วได้เข้าถึงวิชาธรรมกาย จึงบวชในพระพุทธศาสนา และได้เป็นกำลังสำคัญของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำในเวลาต่อมา จนมีผู้เคารพนับถืออย่างมากมาย ซึ่งถ้าจะพูดตามความจริงก็เปรียบเสมือนศิษย์เอกของหลวงพ่อวัดปากน้ำในสมัยนั้น ทั้งนี้ เพราะ แม่ชีปุก เป็นผู้ตั้งใจรักษาศีลและปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด จึงได้รับมอบหมายจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้เป็นผู้สอนวิชาธรรมกาย เป็นหัวหน้าเวรในการปฏิบัติกิจภาวนา และเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลแม่ชีที่ได้ธรรมกายทั้งหมด

ด้วยความสามารถที่ได้จากการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ตลอดมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ยังความไว้วางใจจากหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้มอบคนไข้ที่ป่วยเจ็บทุกข์ทรมาน มาหาแม่ชีปุก ให้ทำการรักษาแทนอยู่หลายปีจนท่านมรณภาพ

เรื่องดังต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ คุณเฉลิมพงษ์ ไพฑูรย์ เล่าไว้ ในหนังสือ ที่สมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำพิมพ์เป็นอนุสรณ์แก่แม่ชีปุก ถึงคุณธรรมความดีงามของท่านว่า

คุณเฉลิมพงษ์รู้จักท่านเป็นครั้งแรกเมื่อ 8 ปีมาแล้ว ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อวัดปากน้ำถึงแก่มรณภาพไปประมาณ 17 ปี แต่คุณธรรมความดีและกิตติคุณในวิชาธรรมกายของท่านกลับเลื่องลือไปไกล จึงเป็นแรงใจให้คุณเฉลิมพงษ์ไปกราบนมัสการสังขารของท่าน ณ วัดปากน้ำภาษีเจริญ พร้อมกันนั้น คุณเฉลิมพงษ์ก็มีความตั้งใจที่จะไปกราบกรานครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อประสิทธิ์ประสาทวิชาธรรมกายและมอบหมายหน้าที่ให้ช่วยอบรมสั่งสอนแก่ผู้ศรัทธาในการปฎิบัติธรรมสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

ซึ่งก็สมปรารถนา เพราะเมื่อคุณเฉลิมพงษ์มีโอกาสเข้าไปกราบแม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ คุณเฉลิมพงษ์ก็รู้สึกเลื่อมใสในลักษณะอันยิ้มแย้มผ่องใส เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ของท่านเป็นอย่างยิ่ง

แม้ในขณะนั้นท่านจะมีอายุถึง 90 กว่าปีแล้วก็ตาม แต่ท่านยังแข็งแรง ลุกขึ้นเดินได้ด้วยตนเองไม่ต้องมีคนคอยพยุง ด้วยเหตุนี้เมื่อคุณเฉลิมพงษ์ไปกราบนมัสการหลวงพ่อวัดปากน้ำครั้งใด ก็จะเข้าไปกราบแม่ชีปุก เกือบทุกครั้ง

อยู่มาคราวหนึ่ง บิดาของคุณเฉลิมพงษ์ป่วยด้วยโรคไตวาย ซึ่งรู้ก็ต่อเมื่อไปตรวจอาการที่โรงพยาบาลศิริราช นายแพทย์เอ็กซเรย์แล้วบอกว่า อาการไข้ของบิดาคุณเฉลิมพงษ์หนักมาก อยู่ในขั้นสุดท้ายของโรคนี้ อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ ขอให้คุณเฉลิมพงษ์เตรียมตัวเตรียมใจไว้

เมื่อถึงตอนนี้ คุณเฉลิมพงษ์เล่าว่า

“…ครั้นข้าพเจ้าทราบเช่นนั้น ด้วยความศรัทธามั่นใน หลวงพ่อวัดปากน้ำและคุณยาย ข้าพเจ้าจึงรีบมาที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ตรงไปหาคุณยาย แจ้งอาการป่วยของบิดาข้าพเจ้าให้คุณยายทราบ เพื่อขอบารมีหลวงพ่อวัดปากน้ำและบารมีคุณยายเป็นที่พึ่ง ขอให้ช่วยบิดาข้าพเจ้าให้มีชีวิตยืนยาวต่อไปอีก

เหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ได้บังเกิดขึ้น เมื่อบิดาข้าพเจ้าไม่ได้เสียชีวิตดังที่นายแพทย์บอกไว้ แต่อาการกลับดีขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถมีอายุยืนยาวต่อไปอีกเกือบสองปี!”

อีกครั้งหนึ่ง พี่สาวของคุณเฉลิมพงษ์ได้รับอุบัติเหตุ โดนรถมอเตอร์ไซค์ชนศีรษะส่วนหน้าฟาดพื้นสลบคาที่ อาการอยู่ในขั้นน่าวิตกมาก คุณเฉลิมพงษ์ก็ได้ไปขอบารมีของหลวงพ่อวัดปากน้ำและแม่ชีปุกเป็นที่พึ่งอีก ในที่สุดพี่สาวของคุณเฉลิมพงษ์ก็หายเป็นปกติ

นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ต่าง ๆ หลายครั้งที่คุณเฉลิมพงษ์ ประสบกับตัวเอง และก็รอดพ้นมาได้ทุกครั้ง ด้วยบารมีของหลวงพ่อวัดปากน้ำและบารมีของแม่ชีปุก

คุณเฉลิมพงษ์เล่าต่อไปว่า

“เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้ามาหาคุณยายบ่อยขึ้น เมื่อมารดาของข้าพเจ้ามาบวชเป็นแม่ชีที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ มีเวลาได้รับใช้คุณยายตามโอกาส ทำให้ข้าพเจ้าคุ้นเคยกับคุณยายมากขึ้น

ที่บ้านคุณยาย ตอนบ่ายเวลา 13.00 – 14.00 น. ของทุก ๆ วัน จะมีลูกศิษย์ไปนั่งปฏิบัติธรรมกับคุณยายเสมอ ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่มีมามานานแล้ว ใครที่มาก่อนเวลาปฏิบัติธรรม คือระหว่าง 11.00 – 13.00 น. อันเป็นเวลาอาหารกลางวัน คุณยายจะให้ผู้ใกล้ชิดจัดอาหารให้รับประทานเสมอ แม้บุคคลนั้นเพิ่งมาเป็นครั้งแรกก็ตาม จะได้รับความเมตตาจากคุณยายเช่นเดียวกันทุก ๆ คน

ข้าพเจ้าจำได้ว่า วันหนึ่งหลังจากการปฏิบัติธรรมแล้ว ข้าพเจ้าถามคุณยายว่าทำอย่างไรจึงจะได้เห็นดวงธรรมเร็ว ๆ

คุณยายได้ยกเอาคำกลอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำ มา กล่าวให้ฟังว่า

“ขุดบ่อหล่อธารา

ให้อุตส่าห์ขุดร่ำไป

ขุดตื้น ๆ น้ำบ่มี

ขุดถึงที่น้ำจึงไหล”

แม่ชีทองสุข ไพฑูรย์ ได้พูดถึง แม่ชีปุกว่า ตามปกติท่าน เป็นผู้มีอารมณ์เยือกเย็น อัธยาศัยละมุนละม่อมและมีเมตตาธรรมสูง

แม่ชีทองสุขยังจำเหตุการณ์ครั้งหนึ่งได้ดี กล่าวคือ แม่ชีปุกท่านเลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่งตั้งชื่อว่า “ทองแดง” ซึ่งท่านรักและเมตตามาก เจ้าทองแดงเองก็ดูเหมือนจะรู้ถึงความรักความเมตตาที่ได้รับจากท่าน จึงคลอเคลียอยู่กับท่านไม่ยอมห่าง

อยู่มาวันหนึ่ง แม่ชีทองสุขไปหาท่าน เห็นเจ้าทองแดง ผอมผิดปกติ มีอาการเซื่องซึมไม่ปราดเปรียวเหมือนเคย จึงรู้ว่า มันป่วย ไม่กินข้าวปลามาสอง-สามวันแล้ว

แม่ชีทองสุขจึงปรารภกับท่านว่า ควรจะหาคนพาเจ้า ทองแดงไปให้สัตวแพทย์ตรวจรักษา เพราะถ้าช้าเกินไปมันอาจตายได้ แต่ท่านกลับบอกว่า

“ไม่เป็นไร…เดี๋ยวฉันจะแก้โรคให้มันเอง”

แม่ชีทองสุขฟังท่านบอกแล้ว เกิดความสงสัยว่า ท่านจะรักษามันได้อย่างไร ในเมื่อท่านไม่ได้เป็นหมอ

แต่อยู่มาอีกสอง-สามวัน เจ้าทองแดงที่แม่ชีทองสุข เห็นเซื่องซึมก็กลายเป็นแมวที่ปราดเปรียว กินข้าวกินปลาเหมือน เดิม!

แม่ชีทองสุขกล่าวในตอนท้ายว่า

“…ฉันก้มลงกราบคุณยายด้วยความศรัทธา และเกิด ความเชื่อมั่นในคุณธรรมของคุณยายแต่นั้นมา!”

…หมู่นี้เขียนถึงแม่ชีผู้มีปฏิปทาน่าเคารพกราบไหว้ แล้วสบายใจดี! ไม่เหมือนเขียนถึงพระถึงเจ้า บอกตรง ๆ ว่า กลัว!

สนใจ พระผงสมเด็จหลวงพ่อวัดปากน้ำรุ่น 5 ได้ที่ลิงก์ https://www.facebook.com/share/p/17QVKmkF7r/

Cr. ประสบการณ์ทางวิญญาณ โดย ทองทิว สุวรรณทัต

พิมพ์เผยแพร่ทางออนไลน์ครั้งแรกโดย แอดมินพี เพจ ศักดิ์สิทธิ์ วันที่ 7/9/2568 เวลา 20.00 น. อนุญาตให้คัดลอกเผยแพร่ แต่ควรรักษามารยาทโดยให้เครดิตทางเพจด้วย จะขอขอบคุณอย่างยิ่ง

Share: