เมื่อทำวิชชาได้ละเอียดเข้าไป

เมื่อทำวิชชาได้ละเอียดเข้าไป

จนถึง “ปราสาททำวิชชาของหลวงพ่อ” ก็จะพบธาตุธรรมของ หลวงพ่อ และ “กลางธาตุ” ทั้งหลายของหลวงพ่อ กำลังทำวิชชาสะสางธาตุธรรม และพระนิพพาน เพื่อช่วยสัตว์โลกทั้งหลายอยู่มิได้หยุดเลย

และเมื่อทำวิชชาละเอียดเข้าไป ก็จะทราบว่า หลวงพ่อ(สด) คือ “ต้นธาตุต้นธรรมภาคพระ” ซึ่งได้ถอยพืดกำเนิดธาตุธรรมเดิมมาสร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก ช่วยรื้อสัตว์ ขนสัตว์ที่ยังหลงติดอยู่ในไตรวัฏฏ์ให้เข้านิพพานเป็นอีกต่อไปนั้นเอง

ส่วนผู้ที่ช่วยเหลือทำวิชชาอยู่กับหลวงพ่อ ซึ่งจะเห็นอยู่โดยรอบ ๆ หลวงพ่อนั้น ชื่อว่า “กลางธาตุ” ของท่าน

บางรายก็ยังเป็น “กลางธาตุกายมนุษย์” (คือยังมีชีวิตเป็นมนุษย์) สร้างบารมี และทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างพระศาสนาอยู่ บางท่านก็ล่วงลับไปแล้ว และว่าโดยที่จริงแล้ว

ผู้มีบารมีระดับกลางธาตุนั้นมีมาก แต่ปฏิบัติพระศาสนาไม่ตรงตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า

ก็เพราะว่า ภาคมารเขาพยายามปัดบังวิชชานี้

และภาคมารจะปัดเข้านิพพานถอดกาย (ถ้าเขาต้านทานบารมีไม่อยู่) เพื่อให้สิ้นฤทธิ์ ที่จะช่วยเหลือสัตว์โลก

บรรดากลางธาตุทั้งหลายเหล่านั้น จึงไม่ปรากฏอยู่ในผังปราสาทที่ทำวิชชาของหลวงพ่อ

อนึ่ง “กลางธาตุกายมนุษย์” บรรดาที่สร้างบารมี และทำหน้าที่อยู่ในปัจจุบันนี้ หากปฏิบัติตรง และเจริญวิชชาชั้นสูงนี้ ก็จะพบอยู่ในปราสาทที่ทำวิชชาของหลวงพ่อ ตามฐานะของอำนาจ สิทธิ และสิทธิเฉียบขาด ในการปกครองธาตุธรรมของแต่ละท่าน

แต่ถ้าผู้ใดปฏิบัติไม่ตรง หลงกลทำประโยชน์ หรือเป็นฐานให้แก่ภาคมาร (เป็น “ฐานทัพ”ให้ฝ่ายมาร)

“ต้นธาตุต้นธรรม” ก็จะเก็บวิชชา อำนาจสิทธิของผู้นั้นเสีย แล้วอำนาจสิทธินั้นก็จะเปลี่ยนไปเป็นของ “ผู้ที่ปฏิบัติตรง” และสร้างบารมีสูงขึ้นมาแทนที่ใหม่ต่อไป.

#หลักสำคัญอยู่ว่าเมื่อรู้เห็นแล้วก็อย่าคะนองใจ

ว่าตนเก่งกล้าแล้วพยากรณ์ให้แก่ผู้อื่นฟัง หรือโอ้อวดในคุณธรรมของตน อันจะเป็นทางเสื่อมอย่างยิ่ง

เพราะจริง ๆ แล้ว ปฏิบัติเพื่อละวางอุปาทานนะ

คำว่า“ หยุด” นี่ เขาให้ปฏิบัติเพื่อให้หยุดทำชั่ว

ให้หยุดปรุงแต่ง ไม่ต้องติดอะไร

เพื่อละวาง ละวางกิเลสในใจเรา ปล่อยความยึดติดอย่าให้มี

เอา ๑๘ กายนี้ให้มันตลอดปลอดภัย ให้ถึงธรรมกาย แล้วก็ให้เป็นธรรมกายดับหยาบไปหาละเอียดให้บริสุทธิ์ใสสว่างอยู่เสมอ รับรองไม่มีโทษ

ดังเช่นที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ

ได้เคยกล่าวว่า…..

“ ต่อแต่นี้ไป เราจะต้องเข้าให้ถึงที่สุด

เข้าไปในกายที่สุดของเราให้ได้ เป็นกาย ๆ ออกไป

เมื่อเป็นกาย ๆ เข้าไปแล้ว ถ้าทำเป็นแล้ว ไม่ใช่เดินท่านี้

เดินในไส้ทั้งนั้น ในไส้เห็น ไส้จำ ไส้คิด ไส้รู้

ในกำเนิดดวงธรรมที่ทำให้เป็นสุดหยาบสุดละเอียด

(เถา – ชุด – ชั้น – ตอน – ภาค – พืด …..ฯลฯ)

เดินในไส้ (หยุดในหยุด กลางของหยุดในหยุด)

ไม่ใช่เดินทางอื่น เดินในกลางดวงปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา

เดินไปในกลางดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา ดวงวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ

นั่นเป็นทางเดินของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์

เดินไปในไส้ ไม่ใช่เดินไปในไส้เพียงเท่านั้น

ในกลางว่างของดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ของดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ

ว่างในว่างเข้าไป เหตุว่างในเหตุว่าง เหตุเปล่าในเหตุเปล่า

เหตุดับในเหตุดับ เหตุลับในเหตุลับ เหตุหายในเหตุหาย

เหตุสูญในเหตุสูญ เหตุสิ้นเชื้อในเหตุสิ้นเชื้อ

เหตุไม่เหลือเศษในเหตุไม่เหลือเศษ …ฯลฯ

หนักเข้าไปไม่ถอยหลังกลับ

นับอสงไขยไม่ถ้วน นับชาติอายุไม่ถ้วน

ไม่มีถอยกลับกัน เดินเข้าไปอย่างนี้นะ

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่ใช่เดินโลเลเหลวไหล

ที่เรากราบ ที่เราไหว้ เรานับถือนะ ท่านวิเศษวิโสอย่างนี้

นี่แหละเป็นผู้วิเศษแท้ ๆ นี่แหละเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกแท้ ๆ

ถ้าเป็นผู้รู้จริง เห็นจริง ได้จริง เราจึงเอาเป็นตำรับตำราได้…”

การเดินตามรอยบาทของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์

เราจะต้องทำวิชชา…เข้าไปถึงขนาดนั้น

ก็เพราะเหตุผลที่หลวงพ่อว่า …

“ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านก็ไปถึงที่สุดเหมือนกัน

ถ้าใครยังไปไม่ถึงที่สุด ก็ยังไม่ฉลาดเต็มที่

ต่อเมื่อเข้าไปถึงที่สุดกายของตัวต่อไปแล้วละก็ ฉลาดเต็มที่แน่

ต้องไปให้ถึงที่สุดให้ได้

เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละก็

รักษาตัวได้เป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับบัญชา

ที่บังคับเรา ให้เกิด ให้แก่ ให้เจ็บ และให้ตายอยู่เดี๋ยวนี้แหละ

พวกมาร บังคับให้เป็นไปตามนั้น

ส่วนพวกพระ บังคับไม่ให้เกิด ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ และไม่ให้ตาย

นี่พวกพระ พวกมาร บังคับกันอย่างนี้

เวลานี้พวกพระ บังคับไม่ให้รบกัน

แต่พวกมาร บังคับให้รบกันหนักขึ้น ”

แชร์เลย

Comments

comments

Share: