นิพพาน..สูญเลยจริงหรือ คัดคำบางส่วนจากคำเทศน์ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน พระฤาษีลิงดำ

…นิพพาน..สูญเลยจริงหรือ?.”
คัดคำบางส่วนจากคำเทศน์ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน พระฤาษีลิงดำ
..
“เมื่อกิเลสดับ ตัณหาดับ แล้วขันธ์ ๕ ก็ดับ อะไรมันเหลือ ถ้าฟังกันให้ดี คิดกันให้ดีแล้วจะต้องรู้ว่า “จิตมันยังเหลืออยู่ จิตมันไม่ดับ” ไอ้สภาพของจิต คือสิ่งที่เป็นทิพย์แท้ มันไม่ดับ มันเข้าไปสู่พระนิพพาน แล้วพระนิพพานมีตัวตนไหม ก็ต้องตอบว่ามีตัวเป็นทิพย์ ตัวละเอียด”
…..
องค์สมเด็จพระบรมสุคต ตรัสว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ไปถึงพระนิพพานแล้วไม่มีคำว่าเคลื่อน ไม่มีคำว่าตาย อยู่ที่พระนิพพานเป็นสุข ไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย……
..
ความจริงคำอธิบายนี้ อาตมาเองหรือฉันเองก็ต้องขอประทานอภัยต่อครูผู้สอน ถึงอย่างไรท่านก็เป็นผู้มีพระคุณให้ความรู้เบื้องต้นแก่ฉัน แต่สำหรับคำอธิบายเข้าใจพลาดมาจากคำสอนของบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ได้ เพราะว่าท่านเองเป็นผู้ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน และอาจค้นคว้าตำรับตำราทั้งหลายเหล่านั้นไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อฟังมาอย่างนั้นจะไปเหมาเอาว่าท่านทำผิดหรือว่าพูดผิดโดยเจตนาก็ทำมิได้ เพราะการพูดตามตำราก็ดี พูดตามครูบาอาจารย์สอนสืบเนื่องกันมาก็ดี ก็ถือว่าเป็นการพูดถูกตามที่ท่านรับฟังมา
ฉะนั้นการกล่าวว่า พระนิพพานมีสภาพสูญ พระพุทธเจ้าจัดว่าเป็น อุจเฉททิฐิ คือเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนึ่ง
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ก็อยากจะพูดให้ฟังว่า พระนิพพานเป็นยังไง
คำว่า “พระนิพพาน” นี่เป็นสภาพละเอียด เป็นทิพย์อันหนึ่ง สำหรับผู้ถึงพระนิพพานแล้วย่อมจะพูดอย่างนี้ คือว่า “พระนิพพานเป็นทิพย์ละเอียดที่สุด” คือนอกเหนือจากกามาวาจรสวรรค์ หรือพรหมโลก……
….
เมื่อกล่าวถึงสภาวะของพระนิพพาน พระนิพพานท่านกล่าวว่า มีอำนาจนอกเหนือจากอำนาจของวัฏฏะคือความวน “วัฏฏะ” เขาแปลว่า “วน” มันวนไปวนมา เกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เกิดเป็นเทวดา หรือเกิดเป็นสัตว์นรก หรือเกิดเป็นพรหม หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็วนไปวนมาอย่างนี้ไม่สิ้นสุด เพราะยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสและตัณหา
เมื่อท่านผู้ใดมีอำนาจกิเลสตัณหาสิ้นไป หมายความว่า “ทำกิเลสและตัณหาสิ้นไป” เช่นพระอรหันต์ ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีแดนเป็นที่เกิดที่เขาเรียกกันว่า นิพพาน นิพพานตัวนี้แปลว่า “สภาพดับ” คือ ดับอำนาจของความทุกข์ทั้งหมด อำนาจความทุกข์ที่มีเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะอาศัยตัณหา ๓ ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา…
เมื่อตัณหาทั้ง ๓ ประการนี้ไม่สามารถจะครอบงำจิตของท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นเรียกกันว่า “พระอรหันต์” แล้วก็พระอรหันต์นี่แหละเข้าถึงสภาพของพระนิพพาน พระนิพพานอยู่ที่ไหน ก็ตอบไม่ยากว่า “พระนิพพานอยู่นอกสภาพของโลก” คำว่า “โลก” จะเป็นมนุษยโลก เทวโกล พรหมโลกก็ดี อันนี้ยังอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสและตัณหา
พระนิพพานมีดินแดนอีกอันหนึ่ง เป็นทิพย์ละเอียดกว่าพรหมโลก อยู่ไกลจากพรหมโลกขั้นสูงสุดไม่มากนัก เรียกว่าวัดโดยระยะของความเป็นทิพย์และดินแดนนั้นถ้าท่านผู้ใดไปแล้ว ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ไม่วนไปวนมา มีสภาพอยู่แน่นอน หมายความว่าเกิดในที่นั้นแล้วไม่มีการตายอีก สภาพของการเกิดไม่มีขันธ์ ๕ อย่างมนุษย์ มีสภาพเป็นทิพย์อย่างเทวดา หรือพรหมแต่ละเอียดกว่านั้นผ่องใสกว่านั้น สวยสดงดงามกว่านั้น มีความสุขอย่างเดียวไม่มีความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าความขัดข้องนิดหนึ่งในอารมณ์ของจิตของท่านผู้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานไม่มี
หากจะถามว่าจะรู้ได้ยังไง ตอบไม่ยาก จะรู้ได้ด้วยการปฏิบัติถึง ถ้าจะถามว่า ผู้พูดนี่ปฏิบัติถึงแล้วหรือยัง
ก็ขอตอบได้อย่างไม่ยากว่า ถ้าปฏิบัติถึงเมื่อไรก็ถึงเมื่อนั้น
ถ้ายังไม่ถึง มันก็ไม่ถึง แล้วเวลาพูดเอาหลักเกณฑ์มาจากไหน ก็หนึ่ง ได้มาจากพระที่เข้าถึงมรรคผล สอง ได้มาจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า พระนิพพานมีสภาพไม่สูญ อย่างที่ท่านพระโมคคัลลาน์ ถามพระพุทธเจ้าว่า “พระนิพพานมีสภาพสูญใช่ไหม”
พระองค์ตอบว่า “พระนิพพานกิเลสดับ ตัณหาดับ ดับกิเลส ตัณหาและขันธ์ ๕ ได้สิ้นเชิง”
เมื่อกิเลสดับ ตัณหาดับ แล้วขันธ์ ๕ ก็ดับ อะไรมันเหลือ ถ้าฟังกันให้ดี คิดกันให้ดีแล้วจะต้องรู้ว่า “จิตมันยังเหลืออยู่ จิตมันไม่ดับ” ไอ้สภาพของจิต คือสิ่งที่เป็นทิพย์แท้ มันไม่ดับ มันเข้าไปสู่พระนิพพาน แล้วพระนิพพานมีตัวตนไหม ก็ต้องตอบว่ามีตัวเป็นทิพย์ ตัวละเอียด

เราอย่าเถียงกันด้วยการอ้างตำรา อย่าเถียงกันด้วยอำนาจยศฐาบรรดาศักดิ์ นี่มันเป็นเหตุของอบายภูมิทั้งสิ้น เพราะการยึดถือตำราก็ดี ถือขั้นอันดับในการเรียนก็ดี การถือยศถือศักดิ์ศรีก็ดี อันนี้มันเป็นโลกียวิสัย เขาเรียกว่า โลกธรรม เป็นกฎของโลก ไม่ใช่กฎของความเป็นพระอริยะ
แล้วคนยังติดอยู่ในอำนาจของกิเลสและตัณหาจะมองเห็นอะไร ดวงตาสัตว์และบุคคลมีสภาพผ่องใส ถ้าโดนใครเขาเอาโคลนเข้ามาปิดหนาเลอะเทอะไม่สามารถจะมองอะไรเห็น สภาพของตาที่ไม่ผ่องใสจะไม่สามารถเห็นอะไรได้ ก็ไม่ต่างกับคนตาบอด แต่ประสาทจักษุยังดีอยู่ ถ้าสามารถลอกโคลนตมที่พอกนัยน์ตาออกมาได้หมดจดเมื่อใด เมื่อนั้นดวงตาก็แจ่มใส สามารถจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ตามประสงค์
ข้อนี้อุปมาฉันใด จิตของคนก็เหมือนกัน จิตของคนที่ประกอบไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาพอกพูน ย่อมมีสภาพเหมือนคนตาบอด

รวมความว่า จะต้องรู้เองทำให้ถึงเองเท่านั้น จึงจัดว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าจริง ๆ จึงจัดว่าเป็นพุทธศาสนิกชนจริงๆ คนใดถ้ายังเก่งเพียงแค่ตำรา ท่านว่าบุคคลประเภทนั้นก็เอาปูนวงหัวไว้ได้เลยว่า บุคคลประเภทนี้ยังเอาตัวไม่รอด ป่วยการกล่าวถึงไปไยถึงพระนิพพาน
….
ที่มาจากหนังสือพ่อสอนลูกหน้า (๒๙๔-๒๙๘)พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เชิญหาอ่านคำเทศน์เต็มได้จากหนังสือ

แชร์เลย

Comments

comments

Share: