หลวงพ่อองค์นี้คือพระที่ลต.มหาบัวบอกว่าท่านจะเป็นที่พึ่งของพระศาสนาต่อไป ท่านเกิดเมื่อ 24 กพ. 2506 อายุ 53 ปี (ปี 2559) เป็นลูกศิษย์ของลพ.สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม และลพ.พุธ ฐานิโย
ลพ.บุญเดชเคยไปเมืองพญานาคด้วยกายเนื้อมาแล้ว โดยอยู่ที่นั่นถึง 28 วัน และยังได้เก็บจีวรผืนที่ใช้ลงไปเมืองพญานาคไว้เป็นที่ระลึกจนถึงทุกวันนี้ น้ำที่ซักผ้าจีวรนี้ปรากฏว่ามีเกล็ดประกายสีทองปนอยู่ในน้ำเต็มไปหมด และท่านยังได้นำลูกแก้วของเมืองบาดาลมาด้วย
ท่านฝึกสมาธิอย่างจริงจังโดยเฉพาะในแนวมหาสติปัฏฐาน 4 คือมีสติทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งเวลาตื่นและเวลาหลับจนกระทั่งสามารถกำหนดเวลาตื่นได้ ท่านชอบฝึกการอดอาหารและอดนอนต่อเนื่องกันครั้งละหลายๆ วันจนกระทั่งได้บรรลุธรรมขั้นต่างๆ บางครั้งเมื่อท่านเดินจงกลม ก็มีผู้เห็นว่าท่านเดินจงกลมอยู่บนอากาศหรือยืนอยู่เหนือยอดไม้ (ยืนยันได้โดยคุณศักดิ์ พันธุ์ศิลา 380 หมู่ 11 บ้านโนนสว่างเหนือ ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย 43220 เคยไปแอบดูตอนท่านเดินจงกลม)
เมื่อหลายปีก่อนท่านมีความสงสัยว่าลป.เทพโลกอุดรมีจริงหรือไม่ ท่านจึงแก้สงสัยโดยอธิษฐานจิตว่า “หากลป.เทพโลกอุดรมีจริง ขอให้ท่านได้พบเห็นในวันนี้ จะเป็นกายเนื้อหรือกายทิพย์ก็ดี หากแม้นไม่พบเห็นในวันนี้คืนนี้ต่อไปจะไม่เชื่อว่าลป.เทพโลกอุดรมีจริง” เมื่อท่านอธิษฐานเสร็จก็ก้มลงกราบพระ ขณะที่ท่านหันหลังกลับมาเพื่อเตรียมตัวนั่งสมาธิ ทันใดนั้นสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ท่านต้องตะลึง เพราะท่านเห็นพระภิกษุวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างสูง ผิวผ่องเป็นสีชมพู ผมขาว ใบหูใหญ่ หน้าตาคม จมูกโต ครองจีวรสีแก่นขนุน กำลังเดินตรงเข้ามาหาท่าน พร้อมกับเสือโคร่งขนาดใหญ่และสิงโต
พระภิกษุรูปนั้นเอ่ยขึ้นว่า “เธอต้องการพบเราไม่ใช่หรือ” หลังจากนั้นท่านจึงได้บอกกับลพ.บุญเดชว่า “เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร” และท่านได้เมตตาเล่าเรื่องที่น่ารู้ต่างๆ พร้อมทั้งสอนธรรมะและการปฏิบัติแก่ลพ.บุญเดชอยู่ราว 2 ชั่วโมง แล้วท่านก็เดินกลับหายตัวลับไปต่อหน้าต่อตา ท่านจึงหมดความสงสัยและยืนยันว่าลป.เทพโลกอุดรมีอยู่จริง ท่านยังได้ปั้นรูปเสือและสิงโตไว้เป็นอนุสรณ์ที่ปากทางขึ้นบนลานพระใหญ่ของวัดถ้ำแสงธรรมอีกด้วย
เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ผม (อู๋) กับเพื่อนๆ ได้เดินทางไปหาท่านที่ภูลังกา โดยผมตั้งใจจะนำเหล็กไหล “หลวงปู่สิงห์” ซึ่งเป็นเหล็กไหลน้ำหนึ่งสีปีกแมลงทับถวายแก่ท่าน (เหล็กไหลก้อนนี้เป็นเหล็กไหลจากภูเขาควายที่ยังไม่ตายยังนิ่มอยู่เหมือนตังเม) แต่ผมก็รู้ตัวอยู่ว่าตอนนี้ร่างกายของผมไม่สามารถที่จะปีนขึ้นเขาภูลังกาได้เพราะทางขึ้นเขาชันและสูงมาก ขึ้นไปแล้วก็ยังไม่ถึงวัดต้องเดินผ่านป่าเขาลำธารไปอีกไกล ผมเคยขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่ร่างกายยังแข็งแรง ตอนนั้นกว่าจะไปถึงวัดก็แทบหมดแรงนอนหมดสภาพเลยทีเดียว ครั้งนี้ผมตั้งใจจะถวายท่านโดยกำหนดจิตบอกไปในตอนนั่งสมาธิ แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเมื่อไปถึงทางขึ้นแล้วจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อนๆ ผมเขาก็ถามว่าเมื่อไปถึงแล้วจะเอาอย่างไร ผมก็บอกว่า “ไม่รู้” ถามผม 2-3 ครั้ง ผมก็ตอบเหมือนเดิมคือ “ไม่รู้”
แต่เชื่อไหมครับ พอพวกผมไปถึงตีนเขาทางขึ้นภูลังกา ก็เห็นหลวงพ่อบุญเดชท่านกำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่พอดี ท่านเพิ่งลงมาจากภูลังกาเพื่อจะไปธุระในเมือง ลงมาถึงก็เจอกับพวกผมเลยอะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น หากพวกผมถึงช้าไปหรือเร็วไปแค่ 15 นาทีก็ไม่มีทางได้พบท่านแล้ว เพราะในปีหนึ่งหลวงพ่อท่านจะลงมาจากภูลังกาแค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น ผมจึงได้นำเหล็กไหลน้ำหนึ่งชนิดที่ไม่มีใครจะได้มาครอบครองถวายท่านไปเพื่อเอาบุญติดตัว ท่านรับไปแล้วก็ยิ้มด้วยความยินดีโดยหันหน้าไปทางภูเขาควาย (ท่านคงใช้ญาณตรวจดูแล้ว)