ไปกราบพระอภิญญาหลวงพ่อฉาบวัดศรีสาคร โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)

ไปกราบพระอภิญญาหลวงพ่อฉาบวัดศรีสาคร โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)

ผมรู้จักหลวงพ่อฉาบก็เพราะได้รับคำบอกเล่าจากหลวงปู่โง่น โสรโย ครั้งที่ผมได้ไปกราบหลวงปู่โง่นว่าท่านเป็นพระดี เมื่อมีเวลาผมจึงหาโอกาสไปกราบทำบุญกับหลวงพ่อฉาบที่วัดศรีสาคร อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี โดยขับรถไปเพียงคนเดียว

หลวงพ่อฉาบท่านเป็นพระไม่เหมือนใคร เพราะท่านจะอยู่แต่ในกุฏิของท่าน ท่านจะรับแขกตอนก่อนฉันเพลเท่านั้นส่วนในเวลาอื่นก็จะปิดประตูไม่มีใครสามารถเข้าไปในกุฏิของท่านได้ ท่านไม่ยอมออกจากกุฏิไปไหนเลยร่วม 30 ปี แต่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอยู่ว่าในแต่ละวันจะมีคนมาจากภาคใต้บ้าง ภาคเหนือบ้าง มาที่วัดเพื่อจะมากราบท่าน

พอลูกศิษย์ถามว่ารู้จักท่านได้อย่างไรเขาก็บอกเหมือนๆ กันว่าท่านไปบิณฑบาตที่หน้าบ้านของเขา เขาก็เลยถามว่าท่านอยู่ที่ไหนแล้วเขาก็ตามมาหาจนเจอ พวกลูกศิษย์ที่วัดบอกจะเป็นไปได้อย่างไรเพราะหลวงพ่อฉาบไม่เคยออกไปไหนเลย พอคนเหล่านั้นขึ้นไปกราบท่านต่างก็ยืนยันว่าเป็นองค์เดียวกัน ทั้งของที่เคยถวายให้ท่านก็ยังเห็นว่ายังมีอยู่ในกุฏิของท่านด้วย

หลวงพ่อฉาบท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อแช่ม อินทโชโต วัดตาก้อง จ.นครปฐมตั้งแต่ท่านยังหนุ่มๆ ได้เรียนกรรมฐานและคาถาอาคมจากหลวงพ่อแช่ม แล้วท่านก็ยังได้ไปเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อโอภาสี เรียนจนสำเร็จกสินไฟกับหลวงพ่อโอภาสีซึ่งเป็นพระอภิญญาที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น

หลังจากนั้นท่านก็ออกธุดงค์ท่องเที่ยวไปทั่ว เมื่อกลับมาถึงวัดศรีสาครท่านก็ไม่ยอมออกจากกุฏิ ไม่รับกิจนิมนต์ ไม่ไปไหนทั้งนั้นโดยท่านมักจะบอกใครต่อใครว่าท่านไม่สบาย แต่ก็กลับมีผู้คนมาหาท่านมากมายจากทั่วประเทศ

ลูกศิษย์ของหลวงพ่อฉาบต่างรู้ดีว่าหลวงพ่อฉาบท่านเป็นพระพูดน้อย พูดเฉพาะกับบางคน บางคนท่านก็ไม่พูดด้วย ใครไม่มีวาสนากับท่านท่านก็ไม่เปิดประตูรับ พูดจาตรงไปตรงมาโผงผางแบบไม่เกรงใจใคร แต่ก็ปรากฏว่าท่านสามารถพัฒนาวัดของท่านให้เจริญกว้างใหญ่โอ่โถงไม่แพ้ใคร เพราะคนจากต่างถิ่นแวะเวียนเข้ามาทำบุญกับท่านมากมาย

มีเรื่องที่ลูกศิษย์เล่ากันเป็นการภายในว่า เคยมีท่านผู้ว่าสิงห์บุรีมากราบท่าน แล้วช่วงนั้นพอดีหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋งเพิ่งละสังขาร ทางผู้ว่าได้บอกท่านว่าพรุ่งนี้เช้าจะเดินทางโดยเครื่องบินไปงานของหลวงปู่แหวน หลวงพ่อฉาบท่านก็บอกว่าท่านก็จะไปเหมือนกันโดยจะเข้าไปนั่งสวดอภิธรรมที่วัดดอยแม่ปั๋งด้วย คุยกันว่าใครจะไปถึงก่อนกัน หลวงพ่อฉาบบอกว่าอาตมาจะไปถึงก่อนแน่นอน

ทางผู้ว่าบอกว่าเป็นไปไม่ได้เพราะเขาจะเดินทางโดยเครื่องบินแต่เช้าตรู่ ไม่มียานพาหนะอะไรจะเร็วไปกว่าเครื่องบินได้ พอท่านผู้ว่าไปถึงวัดดอยแม่ปั๋งก็ปรากฏว่าเห็นหลวงพ่อฉาบนั่งเตรียมสวดอยู่ก่อนแล้ว ภายหลังจึงได้ทราบว่าหลวงพ่อฉาบท่านใช้วิชาย่นระยะทางโดยท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่าแค่เดินสามก้าวก็ถึงวัดดอยแม่ปั๋งแล้ว

ครั้งแรกที่ผมไปกราบหลวงพ่อฉาบ
ผมได้เตรียมอาหารและของใช้ต่างๆ พร้อมปัจจัยเพื่อจะนำไปถวายท่าน ผมเดินทางไปคนเดียวโดยขับรถไปจากกรุงเทพเพราะเห็นว่าระยะทางไม่ไกลนัก ไปถึงก็ต้องรอเวลาให้ท่านเปิดประตูออกมา วันนั้นมีผมไปรอพบท่านเพียงคนเดียว ด้านหน้าก็มีลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้ากุฏิ เมื่อผมได้เข้าไปในกูฏิก็คิดในใจว่าท่านจะคุยกับผมไหมหนอ เพราะทราบมาว่าบางคนท่านก็ไม่ยอมคุยด้วย

พอเข้าไปถึงบริเวณที่ท่านอยู่ก็เห็นท่านนั่งบนเก้าอี้ติดกับหน้าต่าง ผมกราบท่านเสร็จก็นั่งพับเพียบเพื่อรอให้ท่านทัก ปรากฏว่าท่านนิ่งเงียบไม่พูดไม่คุย ท่านนั่งหันหน้าไปทางขวามือแล้วก็มองออกไปที่นอกหน้าต่าง นานราวๆ 3-5 นาที แต่ผมรู้สึกว่านานมาก แล้วท่านก็หันมาพูดกับผมว่า “อาตมามองออกไปเพื่อจะดูว่าข้างนอกไกลออกไปสุดสายตา จะมีใครดีเท่าโยมไหม โยมเป็นคนดีที่หาใครเทียบไม่ได้เลยนะ”

ผมฟังท่านพูดเสียงดังช้าๆ ชัดๆ หูไม่ฝาดไปแน่ ท่านพูดชมเชยผมแบบที่ผมเองก็ไม่คาดคิด ผมก็เลยยิ้มเขินๆ หลังจากนั้นท่านก็เล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ฟังหลายอย่างซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์การปฏิบัติธรรมของท่าน….

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีพระท่านกล่าวชมผม เพราะก่อนหน้านั้นผมก็เคยได้รับคำชมเชยจากพระท่านหนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว เพราะมีอยู่วันหนึ่งผมได้ซื้อของใช้ต่างๆ ใส่ถังไว้เพื่อจะนำไปถวายพระโดยไม่เจาะจงวัด ผมจะซื้อเตรียมไว้ประมาณ 2 ถังใส่ไว้หลังรถ แล้วผมก็จะขับรถไปเรื่อยๆ เห็นว่าวัดไหนอยากจะเข้าไปถวายก็ถวายเลยแบบสุ่มเอา

วันนั้นผมขับรถเลยจังหวัดอยุธยาจะไปทางสุพรรณบุรี ผมเหลือบไปเห็นวัดแห่งหนึ่งอยู่ทางซ้ายมือ เป็นวัดที่อยู่ในดงต้นไม้ ผมตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในวัดแห่งนั้น ค่อยๆ ขับเข้าไปก็เห็นว่ามีศาลาหลังใหญ่เป็นศาลาไม้เก่าๆ ที่ยกพื้นไม่สูงมากนัก ในศาลานั้นเห็นชาวบ้านนั่งกันอยู่เกือบเต็มศาลา

ผมก็เลยจอดรถแล้วนำถังสังฆทานถือเดินขึ้นไปบนศาลานั้น มองเห็นพระชราองค์หนึ่งยืนอยู่กำลังพูดกับพวกชาวบ้านที่นั่งพับเพียบฟังท่านอยู่ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร แล้วท่านก็มองเห็นผมกำลังเดินเข้าไปท่านก็เลยพูดถามขึ้นว่า “โยมมาวัดมีธุระอะไรหรือเปล่า” ผมมองไปที่พระองค์นั้น โอ้โหพระองค์นี้มีผิวพรรณผ่องใส แม้จะเป็นพระชราผอมๆ แต่ก็เห็นรัศมีของท่านเป็นสีทอง ผมก็เลยกราบเรียนท่านไปว่าจะแวะเข้ามาเพื่อถวายถังสังฆทาน

พูดเสร็จผมก็ค่อยๆ เดินขอทางชาวบ้านเข้าไปเพื่อถวายของพร้อมซองปัจจัยทำบุญ เมื่อถวายเสร็จผมก็กราบแล้วถอยออกมาเพื่อจะเดินออกจากศาลาแห่งนั้น เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ได้ยินเสียงท่านพูดออกไมโครโฟนว่า “เอ้าพวกเรา อนุโมทนาบุญกับหนุ่มท่านนี้กัน คนๆ นี้เป็นคนดีและมีบุญมากนะ อนุโมทนาบุญสาธุพร้อมๆ กันนะ” สิ้นเสียงของท่านชาวบ้านต่างก็หันมองมาที่ผมเป็นตาเดียวกันพร้อมกับเปล่งเสียงว่า “สาธุ” กระหึ่มไปทั้งศาลา ส่วนผมก็แทบจะเดินไม่เป็นเลย เพราะเขินที่หลวงพ่อท่านกล่าวชมผมต่อหน้าชาวบ้านโดยที่ผมไม่ได้ตั้งตัว ผมก็เลยยกมือไหว้สาธุตามเขาไปด้วย

หลังจากวันนั้นราวๆ 1 ปี ผมก็ได้มีโอกาสผ่านไปที่วัดนั้นอีกผมเลยขับรถแวะเข้าไป หวังว่าจะได้ทำบุญกับพระท่านนั้นอีกครั้ง ปรากฏว่าท่านได้ละสังขารไปเสียแล้ว ลูกศิษย์ได้เก็บร่างของท่านเอาไว้เพราะร่างของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย เป็นที่น่าเสียดายที่ผมได้มีโอกาสทำบุญกับท่านเพียงครั้งเดียว เป็นพระที่ผมก็ไม่รู้จัก แต่จำได้ไม่มีวันลืม….

แชร์เลย

Comments

comments

Share: