อย่าละความเพียร

  • อย่าละความเพียร
    💎 ก่อนจะถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายเนี่ย จะว่ายากก็ยาก ยากสำหรับคนที่ยังไม่เป็น แต่ว่าผู้ที่ปฏิบัติได้ถึงแล้วก็รู้สึกว่า อ้อ!เป็นอย่างนี้
    เรื่องนี้ก็อยากจะกราบเรียนเพื่อเป็นกำลังใจของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทุกท่าน อย่าคิดท้อใจ มันเหมือนกับว่าเราจะยึดหลักสำคัญ ไม่ใช่ง่ายครับ ของดีไม่ใช่ง่าย ขึ้นอยู่ที่วาสนาบารมี แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ยังไม่เห็นนี่วาสนาบารมีจะด้อยกว่าคนที่เห็นเร็ว เห็นปานกลางหรือเห็นช้า ข้อนี้ไม่มีประมาณนะครับ ผู้ที่ปรารถนาสูงต้องบำเพ็ญบารมีมามาก และก็ต้องบำเพ็ญบารมีไปอีกมาก บุญบารมีแก่กล้าพอสมควรแก่ภูมิธรรมก็จะเข้าถึงเอง
    กระผมขอยกตัวอย่างก่อน พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ก็ใช่ว่าจะไปนั่งปุ๊บเห็นปั๊บ ไม่ใช่นะครับ ท่านต้องใช้ความเพียรมาก ซึ่งเราพอจะแน่ใจว่าท่านเป็นพระมหาโพธิสัตว์แน่นอน ผู้ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว การศึกษาสัมมาปฏิบัติที่ให้ได้ผลมาถึงระดับที่หลวงพ่อท่านเป็นนี่ ท่านได้ปฏิบัติมานับภพนับชาติไม่ถ้วน แม้ในภพชาตินี้ก็หลายปี เห็นดวงใสแจ่มแล้วนั่นแหละเป็นการเริ่มต้น ที่ว่าเห็นแล้วสว่างอยู่ ณ ภายใน หลายวัน เป็นปีนะครับ แล้วก็ท่านก็ยังไม่บอกใคร ฉันข้าวอยู่กับครูบาอาจารย์ เพียงแต่เห็นหน้าท่านอิ่มอยู่ แล้วท่านก็คล้ายๆเหมือนอมยิ้มอยู่นิดๆ คนอื่นก็ทักว่าท่านสดนี่มีอะไรดีนะ หน้าตาผ่องใส แล้วก็อิ่มอยู่ท่าทางน่ะ ท่านก็ยิ้มเฉยๆ นี่ฉันข้าวร่วมกัน แล้วต่อมาอีกก็นานพอสมควร ท่านก็ตั้งจิตอธิษฐานแล้วเล่า ขอพระพุทธเจ้าว่าของจริงในพระพุทธศาสนามีอะไร ขอให้ท่านได้พบผังของจริงของพระพุทธเจ้าของพระพุทธศาสนา นี่เล่าประวัติเลาๆ ที่ได้ยินได้ฟังมานะครับ แล้วก็ฟังเสียงเทปท่านบ้าง จนเมื่อวันหนึ่ง กระผมจำวันเดือนปีไม่ได้ล่ะ จะเป็นที่วัดคูเวียงหรือที่ไหนจำไม่ได้ ท่านบอกว่าอ้าว!วันนี้ถ้าไม่ได้ก็ให้มันตาย ก็ให้มันรู้กัน! อย่างนี้นะครับ เอาอย่างนี้เลยนะ แล้วท่านก็นั่งในอุโบสถ วันนั้นเป็นวันพระ นั่งในอุโบสถ มดมันมี ท่านเรียกมดคี่ ไม่รู้มดยังไงก็ไม่ทราบละ เรียกมดคี่ มันก็มีอยู่ในอุโบสถน่ะยั้วเยี้ยกันบ้าง ท่านก็เอามือจุ่ม สมัยแต่ก่อนมันใช้น้ำมันก๊าซจุดตะเกียง เอามือจุ่มน้ำมันก๊าซ ก็ขีดเป็นวงรอบไว้ ไม่ให้มดมันมาทำอันตรายหรือมาทำให้ท่านต้องลำบาก ท่านก็ตั้งใจสละเต็มที่ ใจก็ปักดิ่งอยู่ที่ดวงใสแจ่มนั่นแหละ แต่ท่านเห็นดวงเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ นี่วาสนาบารมี เดี๋ยวจะเล่าตรงนี้ฟังนิดหน่อย แล้วท่านพบธรรมกาย ด้วยใจท่านปักดิ่งนั้นเองท่านพบธรรมกายของจริงในพระพุทธศาสนา ท่านดำเนินไปในวันนั้นเลยนะ ถึงนิพพานน่ะ ที่นี้ล่ะรู้เห็นนรกสวรรค์ไปเลย นี่วาสนาบารมี แล้วก็เมื่อปรากฏขนาดนั้นน่ะ ทิพพจักษุ ทิพพโสต สมันตจักษุ ถึงพุทธจักษุ มันเห็นทั้งจักรวาล เห็นไปถึงพระนิพพาน ท่านจึงตั้งมั่นเลยสอนเลย แล้วก็ประวัติท่านก็เจริญรุ่งเรืองในทางธรรมตลอดมา การแสดงพระธรรมเทศนาท่านก็เรียนทั้งไวยากรณ์ บาลีไวยากรณ์ แล้วก็บาลีโดยอาศัยคัมภีร์โบราณ เรียนบาลีไวยากรณ์ใหญ่ ท่องจำจบหมด แปลได้หมด พระเดชพระคุณวิสุทธิวงศาจารย์ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายปริยัติวัดปากน้ำรองเจ้าอาวาส ท่านบอกว่าหลวงพ่อสามารถสอนได้ถึงเปรียญธรรม 7 ประโยค หมายความว่าสอนคนอื่นได้ ท่านเป็นคนขยันเอาจริงเอาจัง เพราะฉะนั้นท่านทั้งแปลได้ทั้งอะไรได้ ท่านเรียนคัมภีร์มูลกัจจายน์ แล้วก็คัมภีร์หลายอย่าง ท่านท่องจำหมดเลย เก่งมาก ประกอบด้วยความเพียร ท่านเจริญวิชชาสูงมาก จนถึงขนาดว่า เท่าที่กระผมทราบประวัติ ท่านเหาะได้นะ อยู่ในอุโบสถน่ะ ลองเหาะดู มีลูกศิษย์ใกล้ชิดเพียงไม่กี่รูปที่อยู่เห็น แต่ว่ามันไม่ได้นานเพราะว่าวิชชายังไม่แก่กล้า ฝนนี่ อยู่ในโบสถ์ท่านก็ให้ฝนตกในโบสถ์นั่นแหละได้ คือวิชชาเกิด อภิญญาเกิดนั้นเองครับ อภิญญา 6 ก็ประกอบด้วย วิปัสสนาญาณ ทิพพจักษุ ทิพพโสต แล้วก็มโนมยิทธิ อิทธิวิธี เจโตปริยญาณ แล้วก็ปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ และอาสวักขยญาณเป็นที่สุด ซึ่งข้อสุดท้ายเป็นของพระอรหันต์ พระอรหันต์ทุกองค์ไม่ว่าจะบำเพ็ญบารมีทางด้านหนักทางด้านปัญญาหย่อนสมาธิ หรือหนักทางด้านสมาธิหย่อนปัญญา บรรลุคุณธรรมด้วยคุณลักษณะเจโตวิมุติหรือปัญญาวิมุตินี่ จะต้องบรรลุอาสวักขยญาณเสมอไปนะครับ อันนี้เป็นภูมิธรรมสุดท้ายที่จะต้องบรรลุทุกองค์ เป็นอภิญญาข้อที่ 6 แต่ก็น้อมพระทัยไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ แล้วก็อาสวักขยญาณ อันนี้พระองค์ทรงบรรลุในคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ในยามต้นแห่งราตรี ในยามกลางแห่งราตรี ในยามปรายแห่งราตรี ดังที่กระผมอ่านถวาย
    ที่นี้กล่าวถึงหลวงพ่อเนี่ย ท่านเอาจริงเอาจัง แล้วก็ท่านบอกว่า ของจริงมันต้องอยู่กับคนจริง คนไม่จริงไม่ได้
    ที่นี้เรื่องวาสนาบารมี มันอย่างนี้พระเดชพระคุณ เกิดมานี่เราไม่ทราบหรอกครับ ว่าใครบำเพ็ญบารมีด้วยอธิษฐานจิตเพื่อความบรรลุมรรคผลในระดับใด ในเบื้องต้นก็จะไม่รู้หรอกครับ บางคนก็ระดับปกติสาวก ระดับอสีติมหาสาวก พุทธอุปัฏฐาก พุทธบิดา พุทธมารดา เป็นต้น นี้ ระยะเวลาการบำเพ็ญบารมีก็เป็นแสนกัปป์ ถ้าขึ้นไปเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เป็นอสงไขยกัป ขึ้นไปเป็นปรารถนาพุทธภูมิ ระดับปัญญาธิกโพธิสัตว์ เหมือนกับพระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้ ทรงดำริอยู่ในพระทัยน่ะ 7 อสงไขยแสนกัป นี่กระทำมโนปณิธาน เปล่งพระวาจาออกมาแสดงให้คนรู้ว่าฉันปรารถนาพุทธภูมินะ หรือแสดงกิริยาให้ทราบ ทรงรู้พระองค์ อีก 9 อสงไขยแสนกัป นี่ 16 อสงไขยแล้วนะครับ มาถึงกาลของพระพุทธเจ้าทีปังกร ทรงพยากรณ์ว่าฤาษีตนนี้ต่อไปอีก 4 อสงไขยแสนกัปก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นี่ทั้งหมดมันก็ 20 อสงไขยนะครับ อสงไขยนี้นับไม่ถ้วน
    แต่ถ้าเป็นศรัทธาธิกโพธิสัตว์ ก็ 2 เท่านะครับ ในแต่ละชั้นๆนี่ 2 เท่า ทำมโนปณิธานก็ 14 อสงไขย วจีปณิธานและมโนปณิธานร่วมด้วยกันนั่นก็ 18 อสงไขย ในตอนสุดท้ายบำเพ็ญครบไตรทวาร คือทั้งกายทั้งวาจาและใจ 8 อสงไขย ไอ้ที่ว่าแสนกัปนั่นน่ะคือส่วนที่เผื่อไว้บางทีไปอบายภูมิระดับตื้นๆ เช่นว่าไปเกิดเป็นพญาช้างบ้าง อะไรบ้าง ประมาณนั้นน่ะ บางทีมันก็พลาดไปได้เหมือนกัน แต่ว่าได้รับพุทธพยากรณ์แล้วเนี่ยมันเที่ยงต่อการตรัสรู้ เป็นนิยตโพธิสัตว์
    ที่นี้ ถ้าเป็นวิริยาธิกโพธิสัตว์ บำเพ็ญเพียรด้วยความเพียรเป็นประธาน 2 เท่าขึ้นไปอีก อย่างพระศรีอริยเมตไตรยองค์นี้
    เพราะฉะนั้น ระยะเวลาการบำเพ็ญบารมี ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด มาถึงอย่างภพชาตินี้ ก็ไม่ทราบว่าใครบำเพ็ญบารมีโดยตั้งปณิธานจะบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า เรียกว่าอนุพุทธะ หรือจะบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ไม่มีใครทราบ นอกจากตัวเองปฏิบัติไปๆก็จะค่อยๆทราบเอง จะค่อยๆทราบเองเมื่อถึงภูมิธรรมที่พอจะทราบได้
    เพราะฉะนั้น เรื่องบุญบารมี วาสนาบารมี การเห็นเร็ว-เห็นช้า ไม่เป็นประมาณ อย่าได้ไปท้อใจว่าฉันไม่มีบารมีพอ อย่าไปคิดอย่างนั้นครับ แล้วถ้าใครบางทีก็ เหมือนกับคนจะไปรองน้ำฝนน่ะครับ บางคนก็ชามน้อยๆกะละมังแค่นี้ ไปวางเดี๋ยวเดียวก็เต็ม เต็มเร็ว บางคนก็ต้องใช้โอ่งใหญ่หน่อย ก็นานอีกหน่อยถึงจะเต็ม บางคนก็ต้องใช้ภาชนะที่ใหญ่โต ระดับเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ไอ้นั่นก็ยิ่งนานไปใหญ่ รองน้ำฝน นี่เป็นข้อสมมติ
    เพราะฉะนั้น ขณะนี้กระผมใคร่กราบเรียนเพื่อถวายพระเดชพระคุณ เราทราบแล้วว่าสู้ก็ตายไม่สู้ก็ตาย จะสู้หรือไม่สู้ นี่แหละครับ ไอ้ที่ว่าสู้ก็ตายไม่สู้ก็ตายนี่ ยังไงก็เป็นสังขารธรรมที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง เรียกว่าอุปาทินนกสังขาร มันต้องตายแหง๋ๆอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเราเห็นเหตุตรงนี้ เห็นพฤติกรรมตรงนี้ จึงทรงแสวงหาโมกขธรรมที่ไม่ตาย ที่นี้ เมื่อมีผู้ประพฤติปฏิบัติเข้าถึงรู้เห็นไปถึงอายตนะนิพพาน ปกตินะครับ นิมนต์ตั้งใจปฏิบัติเถอะครับ แม้จะปฏิบัติในสายเดิม ก็เอาใจมาผูกไว้ตรงศูนย์กลางเท่านั้นแหละ ข้อนี้ไม่ว่ากันหรอกถ้ากลับไปแล้ว เพราะว่ามันเคยปฏิบัติยังไงมันก็ติด ก็ไม่ว่ากัน ดีหมด แต่ถ้าผูกใจไว้ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมเดี๋ยวมันก็จะปรากฏของดีอยู่ตรงนั้น
    ผู้เคยปฏิบัติยุบพอง ตั้งสติสัมปชัญญะตรงนั้น ที่มาฝึกที่นี่เดี๋ยวเห็นตาม ไม่นานเกินรอ หรือยิ่งพุทโธ ยิ่งสะดวกโยธินเลย เพราะสาวลมหายใจเข้าออก ซึ่งความจริงท่านพระสารีบุตรสอนนะครับ ท่านไม่ใช่ให้สาวไปสาวมาอย่างนี้นะ ท่านเปรียบเหมือนเลื่อยไม้ เราอย่าไปดูเลื่อยไปอย่างนี้ ใจมันฟุ้งซ่าน มันไม่หยุด ดูตรงคมเลื่อยที่มันตัด จุดประเด็นที่ให้ตัดนั่นแหละ การพิจารณาลมหายใจเข้าออกก็เช่นกัน เบื้องต้นอาจจะสาวก่อนให้มันรู้ตื้นลึก แต่ว่าพอใจค่อยๆเป็นสมาธิให้จำไว้เลย มันจะต้องหยุดนิ่ง ณ จุดเดียว จึงเรียกว่าเอกัคคตาจิต เพราะฉะนั้น ปฏิบัติไปพึ่งน้อมเข้าไปสู่หลักของท่านพระสารีบุตรท่านได้แสดงเอาไว้ เหมือนกับคมเลื่อย ถ้าไปมัวดูตัวเลื่อยล่ะก็อยู่อย่างนั้นแหละ จิตไม่หยุด ดูตรงจุดที่เลื่อยมันตัดน่ะ มันอยู่ในหนังสือนั่นแหละครับ นี่พระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นมันไปลงเรื่องเดียวกัน พระเดชพระคุณหลวงปู่มั่น ท่านปฏิบัติไปๆก็เป็นดวงใส เห็น ท่านก็พุทโธนะ เห็นเป็นดวงใส แต่เห็นข้างนอก ท่านก็เอาดวงนั้นแหละ พิจารณาในดวงเดี๋ยวก็เห็น มันก็ช่วยทำให้ทิพพจักษุ ทิพพโสตเกิดเหมือนกัน แต่ว่ามันมีเล่ห์ เล่ห์หมายความว่ามันเบี้ยวมันไม่ตรง ท่านก็เริ่มรู้สึกว่าเอ้ะ! แต่ดูระลึกชาติได้อะไรได้นะ ทิพพจักษุเกิด อตีตังสญาณก็พอเกิด อนาคตังสญาณก็เกิด ปัจจุปปันนังสญาณก็เกิด เพราะจิตเป็นสมาธิ ญาณมันก็ค่อยๆพัฒนาขึ้น เพราะตอนหลังต่อมาท่านก็เอาไว้ข้างใน เพราะอะไร เพราะว่าท่านตามไปดู 3 เดือน กระผมเคยอ่านประวัติของท่าน 3 เดือนก็ไม่เห็นได้อะไร ระลึกชาติก็ได้ อะไรก็ได้ แต่มันก็เท่านั้นแหละมันไม่ไปต่อ ที่นี้ต่อเมื่อท่านเอามาไว้ข้างใน แล้วพิจารณา ณ ภายใน ตรงนี้ได้กันเลย เพราะฉะนั้นตรงกลางมันกำเนิดธาตุธรรมเดิมครับ กระผมเคยอ่านในประวัติที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันนี่ ท่านก็ กระผมจำได้ หนังสือเล่มใดก็ไม่ทราบ ท่านก็บอกว่า แต่ท่านสาวลมหายใจเข้าออกนะ ท่านก็เห็นเป็นดวงอยู่ ณ ภายใน นะครับ เหล่านี้เป็นต้น มันลงท้ายมันไปตรงที่เดียวกันนะครับ เพราะฉะนั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำนี่ ด้วยบุญบารมีของท่าน พบโป้ะเช้ะตรงนั้นเลย พอถึงธรรมกายท่านเข้าทำความรู้สึกเป็นธรรมกาย ปล่อยวางทั้งหมด มันก็เป็นแต่กายธรรมไปสุดละเอียด บริสุทธิ์ผ่องใสเท่ากับอายตนะที่สถิตอยู่ของพระนิพพานธาตุ ท่านก็เข้าไปเห็นได้ ที่นี้ก็มาสอนคนอื่น ก็ปฏิบัติได้ตาม อภิญญาเกิด วิชชาเกิด ตามสมควรแก่ภูมิธรรม…

เทศนาธรรมจาก
พระเทพญาณมงคล
หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก
จ.ราชบุรี

จากเทศนาธรรมเรื่อง
“อย่าละความเพียร”
https://youtu.be/YoFgiXDcXzU

เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.

แชร์เลย

Comments

comments

Share: