ข้อมูลจาก https://www.meditation101.org/17204606/29-วิธีอัพเกรดกายสิทธิ์
29. วิธีอัพเกรดกายสิทธิ์
วิธีอัพเกรด “กายสิทธิ์”
ให้เป็น “กายสิทธิ์พระพุทธจักรฯ”
โดย พิรจักร ทิศุธิวงศ์ สุวพรรดิเดชา
แห่งภาคทอง สังกัดโพธิวงศ์
© สงวนลิขสิทธิ์ – สามารถใช้ได้เมื่อได้รับอนุญาต
อ้างถึงเนื้อหาสาระเกี่ยวกับ “กายสิทธิ์” และ “กายสิทธิ์พระจักรพรรดิ” ที่ผมได้เคยรจนาไว้ในบทความก่อนๆ ถ้ามีผู้สงสัยว่ากายสิทธิ์คืออะไร คำตอบง่ายๆ ก็คือ “ทิพยะกลกาย” ซึ่งมีหลายประเภท แต่เราจะไม่อธิบายซ้ำอีกในบทความนี้
วิธีอัพเกรด “กายสิทธิ์” มีด้วยกันหลายวิธี หลายรูปแบบ ตามความถนัดของครูวิชชา บางวิธีก็ยากมากบ้างน้อยบ้าง แต่วิธีที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นวิธีง่ายๆ คล้ายการอัพเกรดเครื่องคอมพิวเตอร์ ตามขั้นตอนคร่าวๆ ดังนี้
- กลั่นกายสิทธิ์ให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยสมาธิ แล้ว นำพระเกตุดอกบัวตูมติดตั้งบนเศียรของกายสิทธิ์
- จากนั้นจึง “สวมชฎา” ให้กับกายสิทธิ์ เมื่อสวมแล้ว เครื่องทรงจะเกิดขึ้นประดับประดากาย โดยมากแล้วจะเป็นชุดทอง
- เมื่อสวมชฎาแล้ว ให้นำ “ดวงวิชชา” ติดอยู่บนยอดชฎา
- เมื่อเครื่องประดับขึ้นครบแล้ว ให้เลือกประดับอัญมณีสีแสง ลงบนเครื่องทรงทองนั้น
- นำดวงฌาน มาขยายเป็นแผ่นฌาน แล้วให้กายสิทธิ์นั้น นั่งอยู่บนแผ่นฌาน หากกายสิทธิ์ปรารถนาจะเคลื่อนไหว ให้นำแผ่นฌานมาติดเป็นหัวเข็มขัด ระหว่างเคลื่อนไหวลุกออกจากแผ่นฌาน
- มอบ “รัตนะ 7” ให้กับกายสิทธิ์ โดยกำกับวิชชา ให้จักรแก้ว ลอยหมุนขวาอยู่ใต้แผ่นฌาน ถ้าแผ่นฌานกลายเป็นหัวเข็มขัดขณะลุกออก ให้จักรแก้วย่อขนาดแล้วย้ายมาติดอยู่บนหัวเข็มขัด
- นำ “แก้วมณี” ออกมาจาก “จักรแก้ว” แล้วกำกับวิชชาในแก้วมณี เข้าด้วยกันกับ “ดวงวิชชา” “อัญมณีสีแสงต่างๆ บนเครื่องทรง” และ “รัตนะ 6 ที่เหลือ” จากนั้นจึงนำดวงแก้วมณีใส่ไว้ใน “หัวใจเครื่อง” ของกายสิทธิ์ (แก้วมณีขั้นสูงตามชั้นของจักรแก้ว จะทำให้กายสิทธิ์อัพเกรดเป็นขั้นสูงขึ้นด้วย)
- เครื่องประกอบในการอัพเกรดกายสิทธิ์สามารถหาได้จากครูวิชชา หรือภพต่างๆ โดยอาจมีการแลกเปลี่ยน หรือซื้อขาย (แลกกับบุญ ไม่ใช่ทรัพย์)
- วิธีที่อธิบายนี้บอกโดยคร่าว ไม่ลงรายละเอียด ผู้ใช้ควรมีความรู้ความเข้าใจมากพอ ก่อนนำไปปฏิบัติจริง หากสงสัย กรุณาถามครูวิชชา
- วิธีการนี้จดลิขสิทธิ์โดย พระจักรฯพิรจักร ทิศุธิวงศ์ สุวพรรดิเดชา แห่งภาคทอง สังกัดโพธิวงศ์
รจนา ณ วันที่ 18 – 19 เมษายน พ.ศ. 2563 ตามวันเวลาประเทศไทย ในปัจจุบันสมัย
ภาคผนวก: ถาม-ตอบ เรื่องอัพเกรด “กายสิทธิ์”
(A) มีท่านถามผมประมาณว่า ในกรณีที่ภพเจ้าของกายสิทธิ์นั้นๆ ยังดุอยู่ จะทำอย่างไร ผมคิดว่า อาจจะต้องใช้วิธีเดียวกับพระกริ่งไพลดำท่าน คือ “พลิกกลับธาตุกลับธรรม” แล้วล็อคไว้ แต่ถ้าเกรงว่าจะล็อคไม่อยู่ ก็เติมธาตุเติมธรรม ให้กลายเป็นสีดำ ฝ่ายสัมมาทิฐิ ไปซะเลยครับ
(B) มีผู้เสนอมาว่า ถ้าหากจะ พลิกธาตุพลิกธรรมของกายสิทธิ์ แล้วล็อคเอาไว้ น่าจะล็อคเอาไว้กับ “รัตนะ 7” คือ “จักรแก้ว” ที่หมุนเวียนขวาอยู่ใต้ฐานองค์กายสิทธิ์ โดยอาจจะตั้ง “จักรแก้ว” ไว้ 1 – 3 ชั้น หรือมากกว่า ต่อกายสิทธิ์ 1 องค์ โดยกำหนดให้เร็วช้าไม่เท่ากัน เพื่อไม่ให้มีช่องว่าง ไม่มีระหว่าง ของจังหวะเดินเครื่อง ดังนี้แล้ว เครื่องของกายสิทธิ์ก็ยากที่จะหมุนซ้าย ถ้าเกิดหมุนซ้ายเมื่อไร เครื่องก็จะ “ลั่น” ดังนี้ครับ
(C) อ้างถึงความที่ผมรจนาว่า ให้กำกับวิชชา เข้ากับดวงแก้วมณี, ดวงวิชชา, มณีแสงสีต่างๆ และรัตนะ 6 ที่เหลือนั้น ผมคิดว่า จะมีลักษณะคล้าย “การกำกับสิทธิ์และอำนาจ” ดูจะคล้ายการสั่งวิชชาอยู่บ้าง แต่ถ้าใครไม่สามารถทำได้เอง อาจจะขอให้ พระกริ่งไพลดำ หรือพระกริ่งสัมมาอะระหัง ท่านช่วยทำให้ครับ นอกจาก พระกริ่งไพลดำ, พระกริ่งสัมมาอะระหัง แล้ว ก็ยังมี เหรียญพระนั่งเมืองแก้วฯ ของวัดหลวงพ่อสดฯ ที่สามารถสั่ง และ/หรือ บอกวิชชาได้ เพื่อกำกับสิทธิ์และอำนาจ ในวิชชา ในสาย ในสี ในวงศ์ ในองค์ ของกายสิทธิ์ เข้ากับรัตนะ 7 ครับ ถ้าไม่มี ก็คงต้องติดต่อครูวิชชานะครับ
(D) การอัพเกรดกายสิทธิ์นั้น หากเกรงว่าภพเจ้าของกายสิทธิ์จะเรียกคืน ให้เจรจาตกลงจ่ายค่ากายสิทธิ์เป็นบุญ, วิชชา, หรืออื่นๆ แล้วตัดสายควบคุม หรืออาจอัพเกรดให้องค์ต้นกายสิทธิ์ของภพนั้นๆ เป็นการตอบแทนด้วยครับ (21 เมษายน 2563)
(E) ปกติแล้วภพกายสิทธิ์ท่านก็มีวัตถุประสงค์ต่างกันไปในการส่งกายสิทธิ์มาทำหน้าที่น่ะครับ ยกตัวอย่างเช่น พระฤาษีดาบส ที่ปรุงเหล็กไหลขึ้นมาแล้วเร้นอยู่ในถ้ำ เมื่อเรียกเหล็กไหลออกมาได้ เหล็กไหลก็คุ้มครองเจ้าของ พระฤาษีดาบสที่ละโลกไปอยู่พรหมโลก หรือภพอื่นๆ ก็กำกับเหล็กไหลอยู่ แต่จะมากจะน้อย ก็ตามแต่ ท่านก็ส่งฤทธิ์เดชมา ถ้าจะตัดสายควบคุม เจ้าของในเมืองมนุษย์ก็ต้องตกลงกับพระฤาษีผู้เป็นเจ้าของ มิฉะนั้น เมื่อเจ้าของในเมืองมนุษย์ละโลกไป กายสิทธิ์ก็เปลี่ยนมือ ไปเป็นของคนอื่น แล้วก็ทำหน้าที่ต่อไป ตราบกว่าจะพบวิชชา หากกายสิทธิ์ดำรงอยู่กระทั่งโลกแตกสลาย พระดาบสฤาษีในพรหมโลก ก็เรียกกายสิทธิ์กลับคืน การทำงานของกายสิทธิ์จึงเป็นลักษณะของ “ต่างคนต่างตอบแทน” ดังนี้ครับ (21 เมษายน 2563)
(F) เหล็กไหล บ้างก็เป็นเพียงกายสิทธิ์ของพระฤาษีดาบส บ้างก็เป็นตัวเป็นตนของท่านครับ แต่ตามปกติแล้ว ผู้ทรงวิชชา หรือวิชา ไม่นิยม นำตัวเองสถิตย์อยู่ในของ เหมือนพระเกจิ สร้างพระเครื่อง ให้ลูกศิษย์ใช้คุ้มครองตน ท่านก็ปลุกเสกแต่เท่านั้น ไม่ใส่วิญญาณตนเองลงไป แต่ก็แล้วแต่บางท่าน ก็ผสมลงไปบ้าง มากน้อย เรียกว่า “ลงส่วน” ก็มีหลายแบบครับ ซึ่งการลงส่วนนั้น ครูวิชชาบางท่านก็ไม่ประสงค์จะใช้วิธีนี้ เพราะหากเจ้าของกายสิทธิ์ เป็นผู้มีวิชชา ก็อาจจะ “ขโมยส่วน” หรือทำให้ส่วนนั้นผิดแปลกผันแปรไป จะกลายเป็นโทษหรือปัญหาต่อครูวิชชาเองได้ครับ (21 เมษายน 2563)
(G) อ้างถึงเรื่องการ “รังสรรค์” กายสิทธิ์ ขึ้นเป็น “พระพุทธจักรฯ” ผมมีข้อแนะนำอีกอย่างคือ หากปรารถนาจะประดับ “ดารา” ให้กับกายสิทธิ์ ก็ต้องไปหาดารามาใส่ ในทำนองเดียวกันกับการหาอัญมณีสีแสงต่างๆ ส่วนว่าการได้ดาราในวิชชานั้น จะยากง่ายเพียงไร ก็สุดแท้แต่ ถ้าหากมีกำลังและปรารถนาจะได้โดย “งาน” ก็ลองบริจาคการกุศล แล้วรับมอบ “ดาราอิสริยาภรณ์” ซึ่งในแต่ละประเทศก็มีกฎกติกาต่างกันไปครับ ซึ่งบางท่านก็อาจได้มาด้วยความดีความชอบ เมื่อได้มาแล้ว ก็นำมารังสรรค์กายสิทธิ์ ให้ยอดเยี่ยม ยิ่งๆ ขึ้นไปครับ (21 เมษายน 2563)
(H) “ดารา” ที่ได้จากเครื่อง[ราช]อิสริยาภรณ์ นั้นมีพลังจากภพผู้รักษา หรือเทวดาประจำเมืองครับ หากแม้ว่าโลกจะแตกสลาย หมดสิ้นการประชุมเป็นอาณาจักรแล้ว แต่ผู้ทรงวิชชาสามารถ “ล็อค” พลังนั้นเอาไว้ได้ เช่นเดียวกันกับ “ปริญญา” ที่ออกโดยมหาวิทยาลัย แล้วต่อมา มหาวิทยาลัยยุบตัวลง ปริญญาก็ยังเหลือศักดิ์และสิทธิ์ เพราะมีกระทรวงอุดมศึกษารับรอง เช่นเดียวกับโลกทิพย์ ซึ่งแม้อาณาจักรผู้ประชุม “ดารา” ขึ้นนั้นจะเลือนหายไป แต่ภพทิพย์ที่ทำหน้าที่สูงกว่า ก็รับรองแทนต่อไปครับ (21 เมษายน 2563)
(I) การที่เครื่อง[ราช]อิสริยาภรณ์ของอาณาจักรใด อาณาจักรหนึ่ง จะมีกำลังมากน้อยนั้น หากผู้รับอยู่ภายในอาณาจักรของผู้ประชุม “ดารา” นั้นขึ้น ก็จะมีศักดิ์ และอำนาจเต็ม ตามขอบเขตที่ผู้ประชุมให้ไว้ แต่ถ้าหากผู้รับไปอยู่ในอาณาจักรอื่น ก็จะมีศักดิ์และอำนาจลดลง และอยู่ในขอบเขตจำกัด อุปมาเหมือนคนไทย อยู่ในประเทศไทย ก็มีสิทธิ์ และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนไทยเต็มที่ แต่เมื่อคนไทยไปอยู่ต่างประเทศ สิทธิ์ และศักดิ์ศรี ก็อยู่ในกรอบจำกัด ถ้าอยู่ในสถานทูต ก็เป็นเขตเฉพาะที่มีสิทธิ์และศักดิ์มากขึ้น แต่ถ้าอยู่นอกสถานทูต ก็มีสิทธิ์และศักดิ์ลดลง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงได้รับความคุ้มครองจากอาณาจักรนั้นๆ เหมือนท่านเอกอัครราชทูต ที่มีกฎหมายพิเศษคุ้มครองครับ (21 เมษายน 2563)
(J) เมื่อวานนี้ ผมเล่าสู่กันฟัง เรื่องการประดับ “ดารา” ให้กับกายสิทธิ์แล้ว มีบางท่านคงสงสัยว่า นอกจากดารา แล้วจะประดับ จันทรา หรือ สุริยะ ได้หรือไม่ ซึ่งผมพอทราบมาว่า จันทรา กับ สุริยะ นั้น ถ้าจะคว้ามาในวิชชาก็ยากพอดูอยู่ครับ แต่บางท่านอาจจะคว้าได้ แต่ถ้าจะใช้วิธีปันส่วนจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ก็มีบางราชอาณาจักร ที่มี “สุริยะ” ขึ้นชื่อ นั่นก็คือราชวงศ์อิมพีเรียลของประเทศญี่ปุ่นครับ (22 เมษายน 2563)
Credit: https://en.wikipedia.org/wiki/Order_of_the_Rising_Sun
(K) สำหรับท่านที่ต้องการอัพเกรดกายสิทธิ์ให้เป็น “พระธรรมจักรพรรดิ” สามารถทำได้โดยการนำ “พระเกตุดอกบัวตูม” หรือ “พระเกตุเปลวเพลิง” ของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง (ด้วยการตกลงแลกเปลี่ยนอย่างเป็นธรรม) นำมาต่อไว้ที่ยอดชฎาของกายสิทธิ์ ส่วนดวงวิชชาให้เปลี่ยนเป็นการ “อัดวิชชา” เข้าไปในชฎา ดังนี้ครับ (11 พฤษภาคม 2563)
(L) มีท่านถามผมประมาณว่า ในการแต่งกายสิทธิ์ให้เป็นพระจักรพรรดินั้น อะไรคือสิ่งทำให้เป็น “พระพุทธจักรพรรดิ”?
คำตอบของผมคือ น่าจะมีหลายแนวทาง เช่น สิทธิ์ และ อำนาจ จากเครื่องทรง, อัญมณีสีแสง, และวิชชา แต่ส่วนที่ผมคิดว่าง่ายกว่าก็คือ “จักรรัตนะ” ที่กำกับกายสิทธิ์ ถ้าเป็นจักรรัตนะจากเมืองนิพพาน นำดวงแก้วมณีข้างในจักรรัตนะ มาใส่หัวใจเครื่องสิทธิ์ของกายสิทธิ์ กายสิทธิ์ก็จะกลายเป็นพระพุทธจักรฯ ครับ ส่วนการแต่งให้เป็น “พระธรรมจักรพรรดิ” ก็ใช้พระเกตุดอกบัวตูม ดังที่ผมเคยรจนาแจ้งไว้ ดังนี้. (12 พฤษภาคม 2563)
(M) มีท่านถามผมประมาณว่า ในเมื่อเราสามารถแต่งกายสิทธิ์ ด้วย item ต่างๆ ให้เป็นพระพุทธจักรพรรดิ แล้วทำไมเราจึงไม่เชิญพระพุทธจักรพรรดิลงมาเลยน่าจะง่ายกว่า?
คำตอบของผมนั้น ขออ้างอิง ถึงความรจนาก่อนหน้า ว่าวิธีแต่งกายสิทธิ์นั้น เหมาะกับการแต่งแบบ “ล่างขึ้นบน” คือแต่งกายสิทธิ์ในโลกมนุษย์ ที่พระฤาษีชีไพร พระดาบส นักพรต สิทธา และผู้ทรงวิชชา ปรุงสร้างไว้ เช่นคดหิน เหล็กไหล ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความ “หนักแน่น” กว่ากายสิทธิ์จากภพทิพย์ และมีการ “ลงวิชชา” (คล้ายๆลงโปรแกรมเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์) ของผู้สร้างเอาไว้เป็นพื้นฐานอยู่บ้างแล้วครับ แต่ข้อดีข้อด้อยก็คือ กายสิทธิ์ในเมืองมนุษย์มักจะสะอาดบริสุทธิ์น้อยกว่ากายสิทธิ์จากภพทิพย์ แต่กายสิทธิ์ที่สร้างในภพทิพย์ บ้างก็ไม่มีวิชชา อุปมาเหมือนคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่เอี่ยม ที่ซื้อมาจากร้าน ยังไม่ได้ลงโปรแกรมครับ
(12 พฤษภาคม 2563)
(N) มีท่านถามผมประมาณว่า ทำอย่างไรกายสิทธิ์จึงจะค้นวิชชาได้เอง?
ผมขอแนะนำว่า น่าจะต้องใส่แว่นใส่กล้องอย่างดี (ดูคำอธิบายในตำรามรรคผลพิสดาร เล่ม 2) ของพระธรรมกาย หรือพระจักรพรรดิองค์แก่ๆ ให้กายสิทธิ์ไว้ใช้ตรวจวิชชา แล้ววางดวงวิชชาไว้บนหัตถ์ ตั้งโปรแกรมให้ค้นวิชชาเป็น เดินวิชชาเป็น เหมือน AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ค้นเจอแล้วก็เก็บไว้ในดวงวิชชา โดยสอนกายสิทธิ์ให้ใช้แว่นใช้กล้องกระทั่งชำนาญครับ ทั้งนี้ แว่นกับกล้องที่จะติดตั้งให้กายสิทธิ์ สามารถปรุงขึ้นเป็นหลายๆสี สำหรับดูวิชชาสีต่างๆกันครับ ถ้าจะให้กายสิทธิ์สามารถสั่งวิชชาได้ก็ต้องใส่ “ดวงอำนาจในวิชชา” ไว้ในกายสิทธิ์ โดยอาจใส่ในองค์กายสิทธิ์โดยตรง หรือสร้างเถาชุดชั้นตอนภาคพืดเชื่อมลงมาจากภพ แล้วส่งอำนาจวิชชามาจากภพตามลำดับชั้น น่าจะปลอดภัยกว่าครับ (13 พฤษภาคม 2563)
(O) มีทางลัดใดหรือไม่ ที่จะทำให้กายสิทธิ์สามารถสั่งวิชชาได้ โดยไม่ต้องใส่ “อำนาจในวิชชา” ลงไปในองค์กายสิทธิ์?
คำตอบคือ ให้กายสิทธิ์ประทับนั่งบน “เก้าอี้เมือง” (เป็นอุปกรณ์ในวิชชา ที่ผู้สร้างได้คำนวณศักดิ์, สิทธิ์, และอำนาจในวิชชา กำกับไว้) โดยนั่งเดี่ยวอยู่ในภพมนุษย์ หรือภพทิพย์ ที่ต่อเถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด เชื่อมเอาไว้ ทั้งนี้อาจจัดหา “บริวารกายสิทธิ์” ให้ช่วยเดินวิชชาตามสั่ง หรือสร้าง “ห้องวิชชา” โดยนำของกายสิทธิ์อื่นๆ มารวมกันไว้ เพื่อช่วยกันเดินวิชชา ไม่ว่าองค์กายสิทธิ์ที่สั่งวิชชาได้จะอยู่ในภพมนุษย์ หรือภพทิพย์ แล้วก็สอนให้กายสิทธิ์ตรวจวิชชา สั่งวิชชา โดยอาจแสดง “มุทรา” ประกอบ ส่วนเก้าอี้เมืองนั้น ต้องสอบถามจากวัดหลวงพ่อสดฯ ซึ่งมี “พระนั่งเมือง” เป็นองค์ประธานครับ
หมายเหตุ: กายสิทธิ์ทั่วไปเดินวิชชา “เบา” กว่ากายมนุษย์ผู้ทรงวิชชา แต่ถ้ามีกายสิทธิ์มากๆ ก็ช่วยได้มาก เพราะกายสิทธิ์เดินวิชชาได้ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และไม่ต้องหลับนอนเหมือนกายมนุษย์ครับ (13 พฤษภาคม 2563)
(P) พระเกตุดอกบัวตูม เป็นของทิพย์ของธรรม ที่สามารถส่ง “ธรรมฤทธิ์” หล่อเลี้ยงกายสิทธิ์ให้บริสุทธิ์ โดยปกติแล้วอยู่ในลักษณะของดอกบัวตูม สามารถประดิษฐานติดตั้งไว้บนยอดชฎา ของกายสิทธิ์ แต่ถ้าต้องการสงวนยอดชฎาไว้ติดตั้งอย่างอื่น เช่นดวงฌาน หรือดวงอัษฎาวุธ ก็สามารถแปลงดอกบัวตูมเป็นชั้นดอกบัวบาน เป็นขั้นๆ ของยอดชฎานั้นได้ (13 พฤษภาคม 2563)
(Q) อัพเกรด “รัตนะ 7” ประจำกายสิทธิ์
จากที่ผมได้เคยรจนาไว้ในบทความเกี่ยวกับพระจักรพรรดิว่า ปกติแล้ว พระจักรพรรดิ จะมี “รัตนะ 7” ไว้ในความปกครองและใช้สอย โดยพระจักรพรรดิบางพระองค์มี รัตนะ 7 หลายชุด หลายชั้น สำหรับพระจักรพรรดิผู้มีศักดิ์ใหญ่ ก็เป็นไปได้ว่า “รัตนะ” ของท่าน จะเป็นขั้น “จักรพรรดิ” อยู่ในตัวเองอีกด้วย กล่าวคือ
“ขุนพลแก้ว” เป็น “พระขุนพลจักรพรรดิ”
“แก้วมณี” เป็น “พระมณีจักรพรรดิ” (กายสิทธิ์จากจ้าวมณี)
“ขุนคลังแก้ว” เป็น “พระคลังจักรพรรดิ”
“นายแก้ว หรือ นางแก้ว” เป็น “บุรุษรัตนะจักรพรรดิ หรือ นางแก้วรัตนะจักรพรรดิ”
“ช้างแก้ว” เป็น “พระคชาจักรพรรดิ”
“ม้าแก้ว” เป็น “พระอาชาจักรพรรดิ”
สำหรับ “จักรแก้ว” นั้นให้อยู่ในความปกครองของกายสิทธิ์พระจักรพรรดิโดยตรง เพื่อความปลอดภัย เมื่ออัพเกรดรัตนะ 7 ให้เป็นขั้นจักรพรรดิด้วยแล้ว กายสิทธิ์พระจักรพรรดิจะมีอานุภาพมากขึ้นอีกหลายเท่า แต่ต้องแบ่งลำดับชั้นอำนาจปกครองในหมู่กายสิทธิ์ให้พอเหมาะสม เพื่อมิให้เกิดการลักลั่นต่อกันและกันครับ
(15 พฤษภาคม 2563)
(R) การอัพเกรดกายสิทธิ์ขั้นสูง
การอัพเกรดกายสิทธิ์ขั้นสูงนั้น สามารถทำได้ด้วยการ สวมเครื่องทรงมณีลังการ ให้กับกายสิทธิ์ และ/หรือสวมเครื่องทรง หงส์ลดา ให้กายสิทธิ์ เท่าที่กายสิทธิ์จะรองรับได้ครับ หากกายสิทธิ์รองรับไม่ได้ อาจต้องปลดออกบางส่วนครับมณีลังการนั้นก็คือ เครื่องทรงประดับอัญมณีสีแสง ซึ่งโดยเบื้องต้นเราเรียกว่า “ลดา” ซึ่งสีของอัญมณี บ่งบอกถึงความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับวิชชาของแต่ละสี กับเจ้าของเครื่องทรง ส่วนหากว่าเครื่องทรงอัญมณีเป็นชุดใหญ่ เราเรียกว่า “มณีลังการ” โดยแบ่งเป็น จุล- มหา- อธิ- ทั้งนี้ชุดมณีลังการจะมีอัญมณีสีเดียวล้วนๆ หรือหลายสี เหมือน “แหวนนพรัตน์” ก็ย่อมได้ โดยนัยนี้ ผู้สวมชุดทรง จะมีความสามารถในทางวิชชา อันเกี่ยวเนื่องกับวิชชาจากสีต่างๆ หากทรงชุดมณีลังการ แล้วครอง “จักรมณี” คือจักรแก้วที่ประดับอัญมณีสีแสง ก็จะทรงวิชชาในสีทั้งปวงเป็นอเนกอนันต์
ส่วน “หงส์ลดา” ก็คล้ายๆ เสื้อเกราะ.. ปกติแล้ว ผู้ทรงวิชชาที่มีอำนาจมาก อาจสามารถสั่ง “ระเบิด” ผู้อื่นได้ แต่ถ้าหากครองชุดหงส์ลดา ก็จะไม่มีผู้ใดสั่งระเบิดได้ครับ อย่างไรก็ตาม ทั้งมณีลังการ และหงส์ลดา ก็หนักในวิชชา ต้องมี “ธาตุ” มากจึงจะทรงอยู่ได้ในยามสวมใส่ ด้วยเหตุนี้ กายสิทธิ์ธรรมดาทั่วๆไปจะไม่สามารถรองรับชุดมณีลังการ กับหงส์ลดาได้ เว้นแต่จะปลดส่วนประกอบของชุดออกบางส่วนครับ (16 พฤษภาคม 2563)
(S) เล่าเรื่องการอัพเกรดกายสิทธิ์ไปเป็นมหากาพย์แล้ว อีกเรื่องที่ลืมไป ซึ่งหลายๆท่านอาจให้ความสำคัญอยู่ไม่น้อย ก็คือเรื่อง “ผ้า” ครับ ซึ่งผ้าครอง ของกายธรรม หรือแม้แต่กายพระจักรพรรดิก็ตาม มีผลต่อการเดินวิชชา กล่าวคือ ผ้าเนื้อดีจะทำให้ “เบาสบายในญาณ” บางสำนักก็มีผ้าเป็นลวดลายอัตลักษณ์เฉพาะของตนเอง ผ้าอื่นๆ ก็มีหลายแบบ หลายเกรด ผ้าที่ดีที่สุดคือ “ผ้าสุริยะรังสี” ครับ ซึ้งเป็นผ้าเรียบเนียนไม่มีลวดลายใดๆ แต่สวมใส่แล้วสบายกว่าผ้าอื่นๆ ครับ แต่พระจักรพรรดิบางพระองค์ก็ไม่ทรงครองผ้าในท่อนบน แต่ทรงสวมเครื่องประดับเพียงเท่านั้น ตามแต่อัธยาศัยของพระจักรพรรดิครับ บางพระองค์ก็สำอางหน่อย บางพระองค์ก็ออกแนวบู๊ๆครับ (17 พฤษภาคม 2563)