มีขบวนแห่มารับก่อนดับจิต
คุณภัลลิกา ศิลปบรรเลง เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งที่ได้วิชชาธรรมกาย เธอเล่าถึงสาเหตุที่เธอได้วิชชาธรรมกาย หลังจากที่ได้ศึกษาปฏิบัติอยู่นานถึงกว่า ๑๐ ปี แต่ในช่วงนั้นไม่ใคร่ได้ผลจนนึกท้อใจ อาจเป็นเพราะยังมีภาระอื่นอยู่มาก ไม่ใคร่มีเวลา ปฏิบัติกิจทางพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ บิดาของเธอ คือคุณหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้ป่วยด้วยโรคบิดและลำไส้พิการ แล้วยังมี โรคหัวใจรั่วอันเป็นโรคเดิมซึ่งทุเลาไปแล้วกลับกำเริบขึ้นร่วมอีกด้วย จึงทำให้อาการของ คุณหลวงฯ น่าวิตก ครอบครัวของท่านได้หาแพทย์ชั้นหนึ่งที่สำเร็จจากต่างประเทศมารักษา กันอย่างเต็มที่ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น
คุณภัลลิกาและพี่สาวชื่อคุณชิ้น ศิลปบรรเลง เชื่อมั่นในอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และบารมีธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำ จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปประจำดวงชะตาของ คุณพ่อกับรูปหลวงพ่อไปประดิษฐานไว้ใกล้เตียงนอนเหนือศีรษะ เวลาที่อาการทรุดลง ทุกคนที่พยาบาลก็ช่วยกันภาวนาว่าสัมมาอะระหัง ๆ ๆ อาการก็ค่อยบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่ออาการทรุดลงเรื่อย ๆ คุณชิ้น ศิลปบรรเลง ได้ไปกราบเรียนหลวงพ่อ ขอบารมี ให้ท่านแก้โรค และขอผู้ที่ได้วิชชาธรรมกายไปช่วยแก้โรคให้คุณพ่อที่บ้านด้วย แม้หลวงพ่อ จะทราบล่วงหน้าด้วยญาณแล้วว่า โรคของคุณหลวงฯ รักษาไม่หายแน่นอน แต่ท่านก็กรุณา ส่งแม่ชีธรรมกายไปช่วยแก้โรคให้ถึงบ้านทุกวัน ผลัดละ ๒ คน ท่านยังบอกคุณชิ้นว่า ไปบอก คุณหลวงให้หมั่นภาวนาไว้เมื่อไม่หายก็จะได้ไปดี คุณหลวงก็ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อแนะนำ
ในขณะที่แม่ชีธรรมกายนั่งแก้โรค คุณภัลลิกาก็นั่งภาวนาด้วย แต่คราวนี้มีความมุมานะพยายามเป็นพิเศษ นั่งอย่างเอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว เพราะเห็นว่าเป็นวิธีเดียว ที่จะช่วยคุณพ่อให้หายโรคได้ พร้อมกับตั้งสัจอธิษฐานว่า ถึงแม้ว่าจะต้องสละเลือดเนื้อ และชีวิตก็ยินดีเพื่อสนองพระคุณของคุณพ่อ ถ้าสำเร็จวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อ และช่วยแก้โรคให้คุณพ่อหายป่วยได้ จะลาออกจากงานไปบวชชีที่วัดปากน้ำ
ก่อนนั่งภาวนาคุณภัลลิกาได้ตั้งสัจอธิษฐานอย่างนี้เสมอ วันหนึ่งตั้งสัจจะว่า ถ้าไม่สำเร็จจะไม่ยอมลุกจากที่ จะนั่งคร่ำเคร่งอยู่เช่นนี้ทั้งกลางวัน กลางคืน โดยไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอนหรือเปลี่ยนอิริยาบถ คุณภัลลิกาก็ได้เห็นแสงสว่างจ้าเหมือนแสงของดวงอาทิตย์ ปรากฏขึ้นแจ่มชัดตรงหน้า แล้วเห็นร่างของคุณพ่อถูกตัดออกจากกันเป็นท่อน ๆ คุณภัลลิกา จึงเล่าให้แม่ชีรำภา โพธิ์คำฉาย กับแม่ชีชั้น จอมทอง ซึ่งไปนั่งแก้โรคให้คุณพ่อฟัง แม่ชีตอบว่า คุณภัลลิกาได้เห็นธรรมะแล้ว ให้พยายามเพียรยิ่งขึ้นต่อไป แล้วสอนวิธีถอนโรคให้ จนคุณภัลลิกาสามารถเชื่อมร่างกายของคุณพ่อที่ขาดออกจากกันนั้นให้ติดกันได้ ขณะนั้น อาการของคุณหลวงฯ ก็ทุเลาขึ้น ส่วนคุณภัลลิกาได้แม่ชีทุ่มต่อวิชชาธรรมกายให้
คุณภัลลิกาได้เขียนเล่าเรื่องนี้ไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้ใช้วิชชาธรรมกาย ถอนอาการโรคของคุณพ่ออยู่ประมาณ ๒ – ๓ วัน ได้เห็นกายทิพย์ใส เป็นแก้วขาวบริสุทธิ์สวยงามมากออกมาจากอกของคุณพ่อ ข้าพเจ้าบอก คุณชั้นและคุณทุ่มซึ่งนั่งถอนโรคอยู่ด้วยกันให้ดู แล้วช่วยกันสะกดด้วยอำนาจของธรรมกายนี้ จนกายทิพย์ของคุณพ่อกลับเข้าไปในร่างอีกดังเดิมเป็นอยู่เช่นนี้ หลายครั้งหลายครา ข้าพเจ้าจึงแน่ใจว่า อาการป่วยของคุณพ่อไม่มีทางรอด หลวงพ่อท่านจึงได้สั่งกำชับมากับพี่สาว ให้บอกคุณพ่อมั่นอยู่ในการภาวนา และเมื่อวันที่ท่านเจ้าคุณพ่อได้มาฉันอาหารบิณฑบาตที่บ้าน ก่อนหน้าคุณพ่อจะสิ้นนั้น ท่านยังได้กรุณาบอกแก่คุณพ่ออีกว่า คุณหลวงทำใจให้ดีนะ หมั่นภาวนาไว้ให้มั่น เราสู้เขาไม่ได้ เราก็ไปทางดี
โอวาทของเจ้าพระคุณหลวงพ่อครั้งนี้ ทำให้คุณพ่อข้าพเจ้าได้สติ และภาวนาอยู่จนกระทั่งท่านสิ้นไป ด้วยอำนาจของการภาวนานี้แหละ เมื่อก่อนหน้าที่ คุณพ่อจะสิ้นใจ ข้าพเจ้าก็ได้เห็นมีขบวนแห่ประกอบด้วยเครื่องสูง มีฉัตร อภิรุม ชุมสาย บังแทรก บังสูรย์ ฯลฯ มาลอยอยู่เหนือร่างของท่าน เมื่อกายทิพย์ ออกจากร่าง ขบวนแห่นั้นก็เข้าห้อมล้อม นำกายทิพย์ของคุณพ่อขึ้นรถที่มา ในขบวนนั้น แล้วก็เคลื่อนขบวนลอยสูงขึ้น สูงขึ้นทุกที จนลับหายไปในอากาศ ข้าพเจ้าถามคุณทุ่มว่า ที่ข้าพเจ้าเห็นนี้เป็นความจริงหรือไม่ ก็ได้รับการยืนยันว่า เป็นความจริง ข้าพเจ้าจึงไม่เสียใจในมรณกรรมของคุณพ่อครั้งนี้ เพราะได้เห็น และรู้ว่าท่านไปสู่ที่สุขจริง ๆ
บางท่านอาจไม่เชื่อว่า เพียงแต่การภาวนา เมื่อก่อนจะตายเท่านั้น จะมี กุศลสูงส่งให้ ซึ่งเป็นการเหลือวิสัย ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่า คนเราเมื่อเวลาจะตายนั้น มีหนทาง ๒ แพร่ง ถ้านึกถึงกรรมชั่วก็ต้องไปสู่ทุคติ ถ้านึกถึงกรรมดีก็ไปสู่สุคติ
คุณพ่อข้าพเจ้าได้บำเพ็ญความเพียรในวิชชาของหลวงพ่อมากว่า ๒๐ ปีแล้ว ทั้งยังยึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแน่วแน่ ท่านได้ประกอบกุศลกิจมิได้ขาด มีทำบุญให้ทาน และให้วิทยาทานแก่คนทั่วไปทุกวัยด้วยการสอนวิชาดนตรี ปี่พาทย์ทุกชนิดให้เปล่า ๆ โดยมิได้คิดมูลค่าผลของการที่ท่านได้ประกอบ กองการกุศลไว้มากมายนี้เอง กับทั้งท่านเชื่อมั่นในวิชชาของหลวงพ่ออย่างจริงจัง ท่านภาวนาอยู่เรื่อยมิได้ขาด ฉะนั้นเมื่อท่านดับจิต กรรมดีจึงส่งให้ท่านไปสู่สุคติ ข้าพเจ้าได้ทราบในภายหลังว่าคุณพ่อได้เห็นธรรมะของพระพุทธเจ้า เมื่อจวนจะสิ้นใจ จากการภาวนาวิชชาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ กุศลนี้จึงส่งให้ ท่านได้ไปเสวยสุข..”
**หนังสือตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ
***Post by เพจบารมีธรรม หลวงพ่อวัดปากน้ำ