ประวัติวัดพระพุทธบาทผาหนาม
พระพุทธบาทผาหนามตั้งอยู่ในเขตที่ 16 อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอลี้ เพราะในเดือนเมษายนของทุกปี จะมีงานนมัสการสรงน้ำพระธาตุเจดีย์และพระบาทเป็นประจำ โดยมีประชาชนทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลกันมาทำบุญเป็นจำนวนมาก ลักษณะพระบาทเป็นรอยค่อนข้างชัดเจนเหยียบประทับไว้บนแผ่นหินบนดอยผาหนาม ปัจจุบันสร้างมณฑปรูปเจดีย์ครอบไว้และพุทธศาสนิกชนต่างหใความศรัทธาว่าเป็นรอยพระบาทของพระองค์ รอยพระบาทแห่งนี้ถูกค้นพบมานานเท่ามดไม่ปรากฎ แต่จากหลักฐานที่พบเข้าใจว่าจะเป็นวัดมาก่อน เพราะพบซากอิฐปรักหักพังและรายชื่อเจ้าอาวาส 8 รูปนับย้อนหลังอายุการครองวัดไปเกือบถึง 300 ปี จากนั้นวัดพระพุทธบาทผาหนามก้ได้รกร้างว่างเปล่าไปเป็นเวลาช้านานจะด้วยสาเหตุใดไม่ปรากฎ จากตำนานพระพุทธบาทผาหนามที่จารึกไว้บนใบลานได้เล่าว่า ครั้งพุทธกาลสมัยที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จจาริกโปรดเวนัยสัตว์ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่บริสุทธิ์ ด้วยทรงหวังจะให้สัตว์พ้นทุกข์จากวัฏฏสงสารอยู่อย่างไม่ย่อท้อพระทัย ณ ปัจจุสมัยใกล้รุ่งของคืนวันหนึ่ง ขณะที่ทรงแผ่ขอบข่ายแห่งพระญาณอันกว้างใหญ่หาขอบเขตมิได้ เมื่อตรวจดูเวนัยสัตว์อันพอที่พระองค์จะโปรดได้นั้นก็ทรงเล็งเห็นว่า นาคราชตนหนึ่งอยู่ในถ้ำดอยผาหนาม มีอุปนิสัยที่จะทรงโปรดได้พร้อมกับทรงทราบด้วยพุทธญาณว่าสถานที่ที่นาคราชอยู่นั้น จะเป็นสถานที่ประกาศสัจจธรรมแห่งพระองค์ที่สำคัญในอนาคตกาล หลังจากสำเร็จพุทธกิจแล้ว จึงเสด็จมาสู่สถานที่อันเป็นเขตของอำเภอลี้ในปัจจุบันนี้และทรงพักผ่อนพระอิริยาบถ ณ ผาลาด ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังปรากฏหลักฐานอยู่ ณ ท่ามกลางแม่น้ำลี้ใกล้ๆกับบนดอยผาหนาม จะกล่าวถึงนาคราชยักษ์ตนดังกล่าว ครั้งนั้นได้อาศัยในถ้ำใต้ดอยผาหนาม มีนิสัยดุร้ายชอบจับคนและสัตว์กินเป็นอาหารอยู่เสมอ โดยสั่งสมปาณาติบาทบาปกินเป็นจำนวนมาก ในวันที่พระพุทธองค์มาประทับอยู่ที่ผาลาดนั้น มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งได้ท่องเที่ยวมาตามประสาผ่านมาที่หน้าถ้ำอันเป็นที่สถิตของพญานาค เกิดความหิวน้ำ เห็นแอ่งน้ำเล็กๆที่หน้าถ้ำจึงตรงเข้าไปหมายจะดื่มกิน พญานาคตนนั้นเห็นจึงเลื้อยพุ่งเข้าหาสุนัขจิ้งจอกเพื่อหมายที่จะจับกิน เมื่อสุนัขจิ้งจอกเห็นดังนั้น ด้วยความรักตัวกลัวตาย มันจึงวิ่งหนีไปทางที่พระพุทธองค์ประทับอยู่โดยมีนาคราชยักษ์ไล่ตามไปติดๆ จนสุนัขจิ้งจอกอ่อนแรงด้วยความหิวกระหายบวกกับความเหนื่อย ก็พอดีมันมาซวนเซซบแทบพระบาทของพระศาสดาพอดีด้วยอาการที่สิ้นแรง พระองค์จึงเอื้อมพระหัตถ์ลูบหัวมันด้วยเมตตา แล้วทรงใช้พระดรรชนีจิ้มตรงแผ่นหิน ทันใดนั้นก็มีสายน้ำพุ่งขึ้นมาด้วยพุทธปาฏิหาริย์ให้สุนัขจิ้งจอกได้ดื่มกินให้สมอยาก ฝ่ายพญานาคไล่ตามมาถึงเห็นสุขนับจิ้งจอกยู่แทนพระบาทพระพุทธองค์ก็มิอาจเข้าใกล้ได้ด้วยอำนาจพุทธฤทธิ์ จึงหันกลับมาสู่ถ้ำด้วยความโกรธและอาฆาตในพระองค์ที่ทรงขัดขวางไม่ให้มันกินสุนัขจิ้งจอกได้สมใจ หลังจากที่ทรงช่วยสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นให้พ้นภัยแล้ว พระองค์จึงเสด็จมาที่ดอยผาหนาม พญานาคเห็นพระองค์เสด็จมาดังนั้น จึงเนรมิตให้ดอยทั้งลูกปรากฏเป็นหนามอันแหลมคมไปหมด หวังจะไม่ให้พระองค์ขึ้นไปบนดอยได้ พร้อมทั้งแผ่พังพานกั้นทางเสด็จ พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่าจะโปรดนาคราชตัวนี้โดยมิได้ข่มมานะทิฎฐิเสียก่อนมิได้จึงเหาะขึ้นบนอากาศด้วยพุทธฤทธิ์แล้วเหยียบพระบาทลงบนพังพานกดเศียรพญานาคลงกับพื้นหินจนพญานาคกระดิกกระเดื้ยไม่ได้ แล้วมันก้หายตัวไปด้วยิชอิทธิฤทธิ์วิธี พระองค์จึงเสด็จเข้าไปในถ้ำที่อยู่ของพญานาค สักครู่หนึ่งก็มีมานพคนหนึ่งมีรูปกายสวยงามเข้ามาหาพระองค์ พระองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่ามานพคนนี้ คือพญานาคจำแลงมานั่นเอง ฝ่ายมานพจำแลงหลังจากกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วจึงทูลขึ้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นผู้มีวรรณะทั้งมวลอันผ่องใส มีสายพระเนตรประดุจด้วยเมตตา อะไรหนอที่ทำให้ท่านเป็นดังนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ดุกร นาคราชเราเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เว้นจากการเบียดเบียน เมื่อใจเราปราศจากกิเลศเหตุเศร้าหมองใจเราจึงผ่องแผ้ว ร่างกายเราจึงผ่องใส พญานาคได้ฟังพุทธดำรัสดังนั้น ก็เกิดความเลื่อมใส ทราบด้วยอุปนิสัยว่านี้คือพระพุทธเจ้า จึงเกิดปิติแล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีความทุกข์ยิ่งนัก ร้อนรนด้วยการแสวงหา ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระองค์จึงตรัสสอนว่า ดูกร นาคราชการแสวงหาย่อมเป็นความทุกข์ การเบียดเบียนผู้อื่น ย่อมทำให้เกิดความร้อนรนกระวนกระวายท่านจงทีศีลเป็นเครื่องทรง แล้วตั้งตนอยู่ในธรรม ท่านจะเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความสุขที่แท้จริง แล้วทรงประทานศีลให้นาคราชสมาทานและตรัสธรรมสอนสั่งในสัคคาถา หลังจากจบเทศนาพญานาคมีปิติมีน้ำตาอันอาบหน้าด้วยความซาบซึ้ง แต่มิอาจบรรลุธรรมได้เพราะมีชั้นภูมิเป็นสัตย์เดรัจฉาน พระองค์จึงเสด็จขึ้นสู่หลังดอยทรงอธิษฐานเหยียบประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่แผ่นหิน แล้วตรัสกับนาคราชว่า ดูกร นาคราช ท่านจงรักษาสถานที่แห่งนี้ไว้เถิด เพราะต่อไปในอนาคตรอยพระบาทแห่งนี้จะเป็นที่แห่งมหาขนมาบูชาเป็นสังเวชนียสถาน เมื่อเขาทั้งหลายได้มาถึงน้อมรำลึกถึงเราย่อมเข้าถึงธรรมเหตุนั้น เขาทั้งหลายย่อมมีความสุข มีสุขคติเป็นที่หวัง หลังจากโปรดพญานาคแล้วพระองค์จึงเสด็จกลับ ฝ่ายพญานาคสมาทานศีล ตั้งมั่นอยู่ในธรรมมิหวั่นไหว เมื่อขาดจากการจับสัตวืกินเป็นอาหาร ร่างกายก็อยู่ไม่ได้จึงถึงแก่ความตาย ด้วยอานิสงส์แห่งศีลและการได้สดับธรรมจากพระโอษฐแห่งพระพุทธเจ้าจึงได้เกิดเป็นรุกขเทวดา มีวิมานอันเป็นทิพย์สถิตอยู่ ณ ถ้ำผาหนาม รักษาพระพุทธบาทอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ และจะได้หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ก็ในอนาคตกาล เมื่อพระศรีอารยิเมตไตรยเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ตำนานผาหนามก็จบลงเพียงเท่านี้
หลังจากนั้น รอยพระพุทธบาทแห่งนี้ก็ถูกค้นพบและมีศรัทธาพุทธศาสนิกชนมานมัสการมิได้ขาด จนเกิดความเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นวัด โดยมีหลักฐานการครองการสร้างวัดพระพุทธบาทผาหนามจากพระเถรนุเถระ เทาที่ทราบตามลำดับ ดังนี้1.ครูบามหารัตนากร 2.ครูบาปินใจ 3.ครูบาพุทธิมา 4.ครูบาสุนันทะ 5.ครูบาจันทร์แก้ว 6.ครูบาก๋า(เดิมอยู่วัดห้วยต้ม) 7.ครูบาอินตุ้ย(เดิมอยู่วัดนาทราย) 8.ครูบาสุยะ(เดิมอยู่วัดแม่หว่าง) หลังจากท่านครูบาสุยะเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่า วัดพระพุทธบาทผาหนาม มีเจ้าอาวาสชื่อใดครอบครองอีกและวัดแห่งนี้ก็ผุพังรกร้างไปตามกาลเวลา เข้าใจว่า บ้านเมืองระยะนั้นคงจะเกิดภัยสงคราม จนกระทั่งถึงปี 2507 ท่านครูบาเจ้าอภิชัยขาวปี จึงร่วมกับราษฎรหมู่บ้านผาหนาม ซึ่งได้อพยพมาจากอำเภอฮอด อันเนื่องมาจากน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก และศรัทธาพุทธศาสนิกชนจากที่ต่างๆช่วยกันสร้างวัดขึ้นอีก จนเจริญรุ่งเรืองถึงปัจจุบันนี้ สมกับพุทธทำนายที่ทรงพยากรณ์ สถานที่แห่งนี้จะเจริญเป็นสังเวชนียสถานและประกาศพระสัทธรรมแก่ผู้แสวงหาต่อไปในอนาคตกาล