ประสบการณ์ผู้ปฏิบัติธรรม

รัศมีแห่งบุญ

จากอิสลาม เข้าถึงพุทธ ที่สุดละเอียด

พระคุณของครู

ชาวคริสต์ผู้ปฏิบัติธรรมจริงจัง ก็ถึงธรรมกายได้

รัศมีแห่งบุญ

ประสบการณ์ผู้ปฏิบัติธรรม

รัศมีแห่งบุญ

จากอิสลาม เข้าถึงพุทธ ที่สุดละเอียด

พระคุณของครู

ชาวคริสต์ผู้ปฏิบัติธรรมจริงจัง ก็ถึงธรรมกายได้

เรามีสิ่งของที่พอแบ่งปันให้ผู้อื่นได้  เราก็อยากที่จะแบ่งปันให้แก่ญาติพี่น้องหรือบุคคลที่เรารู้จักบ้าง  การที่เราจะส่งสิ่งของหรือฝากของให้กับใครสักคน ยิ่งการฝากสิ่งของที่มองไม่เห็นให้กับบุคคลที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาแล้ว เรายิ่งอยากทราบว่าของฝากที่เราส่งไปให้นั้นถึงผู้รับหรือไม่  ของฝากที่ว่านี้ก็คือบุญ  ส่วนผู้รับคือบุคคลที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะไม่ใช่มนุษย์

เมื่อข้าพเจ้าทำบุญ  นอกจากผลบุญย่อมเกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าแล้ว  ข้าพเจ้าก็จะอุทิศบุญให้กับญาติพี่น้อง พ่อแม่ของข้าพเจ้าที่เสียชีวิตไปแล้วด้วย  แต่บางราย ภพภูมิที่ท่านเหล่านั้นไปเกิดค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเคยก่อกรรมทำบาปอกุศลหลายๆ อย่างเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เช่น การประพฤติผิดศีล ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ  มีความตระหนี่ในการที่จะทำบุญบริจาคทาน  ไม่สนใจหรือเห็นคุณค่าของการรักษาศีล  ยิ่งการภาวนาอบรมจิตใจแล้วแทบไม่รู้จักไม่สนใจเลย  ทำให้มีสภาพความเป็นอยู่ในภพภูมิที่ลำบาก  ร่างกายโทรมหมองคล้ำ  อดอยาก แม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ก็แทบจะไม่มี ข้าพเจ้าทำบุญแล้วก็ตั้งใจอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับเขาเหล่านั้นไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗  บอกเขาเหล่านั้นให้มารับส่วนบุญ  ให้อนุโมทนาบุญ  เมื่อเขาอนุโมทนาบุญที่เราอุทิศให้แล้ว  ได้เห็นสภาพความลำบากที่ร่างกายหิวโหยทรุดโทรมในภพภูมิเดิมหายไป  ร่างกายกลับเปลี่ยนไปตามภพใหม่ เป็นสุคติ เป็นกายทิพย์  มีรัศมีภายในกายสว่างขึ้น  แต่งกายสวยงามพ้นจากความทุกข์ทรมานอย่างเห็นได้ชัด  สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้าดีใจที่การส่งของฝาก (คือ “บุญ”) ให้สามารถส่งไปถึงมือผู้รับที่ไม่ใช่มนุษย์ได้  ซึ่งเป็นผลพลอยได้เพียงเล็กน้อยของการปฏิบัติธรรม ที่สามารถพิสูจน์ได้จริง  นอกจากอุทิศส่วนบุญให้ญาติพี่น้องแล้ว  ผู้ที่มาอนุโมทนาบุญกับเรานั้น ยังมีอีกมากมายนับไม่ถ้วน [หมายถึงผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์] ตลอดเวลา อยู่เสมอๆ

ข้าพเจ้าจะเล่าประสบการณ์บางส่วนที่ได้พบเห็นทุกครั้งที่มีการทำบุญ ที่สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี [ปัจจุบันคือ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม]  ไม่ว่าจะเป็นการอบรมพระกัมมัฏฐานแด่พระสงฆ์ การอบรมเยาวชน พิธีทอดกฐิน ผ้าป่า และการปฏิบัติธรรม ฯลฯ  สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็น คืออานุภาพของพระประธานที่ศาลาอเนกประสงค์ จะเห็น แสงสว่างพุ่งออกมาจากพระเศียรพระพุทธรูปประธาน  สว่างไสวครอบคลุมพื้นที่บริเวณสถาบันพุทธภาวนาฯ เต็มไปหมด (ซึ่งต่อมาภายหลังได้ทราบว่า ที่เศียรของพระพุทธรูปประธาน ได้มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่  นอกจากนี้ในองค์พระประธาน ได้บรรจุพระผงสมเด็จธรรมกาย พระหยก และวัตถุมงคลต่างๆ ไว้ด้วย)

ในระหว่างงานบุญกุศลทุกครั้ง ได้มองเห็นเหล่าเทวดา นางฟ้า พรหม เต็มทั่วท้องฟ้า สว่างไสวระยิบระยับเต็มทั่วไปหมด  มากมายเหลือคณนานับได้ มาร่วมอนุโมทนาบุญกับเรา  แม้แต่พวกเปรต อสุรกาย ที่มีอุปนิสัยในกิจการบุญกุศลบ้าง  ก็พลอยมาอนุโมทนา  เหล่าเทพ พรหม ที่ปรากฏให้เห็นนั้นมีวรกายงดงาม มีรัศมีสว่างไสวระยิบระยับทั่วไปหมด  กระทำทักษิณาวรรต ประคองอัญชลีเวียนขวา  ด้วยอาการนอบน้อมในบุญกุศลเต็มสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย  เต็มท้องฟ้า เต็มจักรวาล หลังจากที่เขาเหล่านั้นได้อนุโมทนาบุญแล้ว ผลบุญก็ส่งให้เห็นเป็นปัจจุบันธรรม  กล่าวคือ วรกายและอาภรณ์ที่งามระยิบระยับนั้นก็เปล่งรัศมีสว่างไสวระยิบระยับไปทั่วท้องฟ้ามากยิ่งขึ้น  ส่วนพวกเปรต อสุรกาย สัตว์นรก ที่ตกระกำลำบากอยู่ในความมืดมน หิวโหยทุรนทุราย หนาวเหน็บเจ็บปวด  เมื่อเราแผ่เมตตาและบุญให้  พวกที่มีอุปนิสัยในบุญ เนื่องจากเคยได้กระทำมาบ้างแล้ว ก็พลอยเปลี่ยนภพภูมิดียิ่งขึ้น ผิวพรรณงามเปล่งปลั่งขึ้น  ความทุกข์ทรมาน หิวโหย ก็พลันหายไป  พวกที่มีบาปกรรมน้อยก็พลอยเปลี่ยนภพภูมิดีขึ้นเป็นเทวดาไปบ้างก็มี เป็นมนุษย์ก็มี

การทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้ผู้อื่นได้อนุโมทนาบุญ  หากยังไม่ได้สัมผัสด้วยตัวของท่านเองแล้ว ก็ยากที่จะอธิบายได้  แต่ขอให้ทุกท่านเชื่อว่า บุญที่ได้กระทำลงไปนั้นส่งผล  นอกจากส่งผลถึงตัวท่านเองแล้ว  ถ้าท่านยังมีโอกาสอุทิศส่วนบุญให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและอยู่ในภพภูมิอื่น ที่พอจะมีอุปนิสัยในบุญกุศล มาอนุโมทนาบุญกับเราอยู่     บุญกุศลที่เราได้อุทิศส่วนบุญให้ไปแล้ว และที่เขาได้อนุโมทนาบุญแล้วนั้น ย่อมส่งผลย้อนกลับมาสู่เราเป็นทับทวี  ประดุจเรามีเทียนอันส่องสว่างไสวอยู่แล้ว ยังให้ผู้อื่นมาแต่เทียนกับเราอีก  แสงเทียนที่มีผู้มาต่อจากเราเพิ่มขึ้นเพียงใด  ย่อมยังความสว่าง คือเป็นบุญบารมีแก่เราเพิ่มมากขึ้นเป็นทับทวีแก่เราเพียงนั้น

จีราภา  เศวตนันท์
วิทยากรสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย

จากอิสลาม เข้าถึงพุทธ ที่สุดละเอียด

ประสบการณ์ผู้ปฏิบัติธรรม

รัศมีแห่งบุญ

จากอิสลาม เข้าถึงพุทธ ที่สุดละเอียด

พระคุณของครู

ชาวคริสต์ผู้ปฏิบัติธรรมจริงจัง ก็ถึงธรรมกายได้

เดิมทีข้าพเจ้าไม่ได้นับถือศาสนาพุทธมาก่อน  ไม่เคยศรัทธา  ไม่เคยคิดว่าพระพุทธเจ้ามีจริง  โดยเฉพาะเรื่องการทำสมาธิ ก็คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ  เรียกว่า ถ้าเอ่ยกันถึงคำว่า “พุทธ”  จะมีความรู้สึกว่าไม่ชอบเอาเสียจริงๆ

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเคยได้รับคำสั่งสอนจากผู้ใหญ่ว่า พระพุทธเจ้าไม่มีตัวตน มีแต่เพียงคำสอนซึ่งเป็นพระคัมภีร์  แต่ถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงก็ตายไปนานแล้ว  ใครจะรู้ได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร  ฉะนั้นการกราบไหว้บูชารูปปั้นนั้น มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นเอง  แล้วก็โมเมเอาว่านี่แหละคือพระพุทธเจ้า บูชากันไปบูชากันมา  ดีไม่ดีกลายเป็นพวกผีไม่มีญาติเข้าไปสิง จะกลับให้โทษเสียอีก  หรือถ้าบูชาไม่ถูกต้อง ก็อาจจะทำให้คนในครอบครัวมีอันเป็นไป

แล้วเรื่องการทำสมาธิอีกอย่าง  อย่าให้นั่งเด็ดขาด จะทำให้เป็นบ้าไปเลยก็ได้  เพราะเมื่อนั่งๆ ไป จะต้องเห็นผีสางต่างๆ นานา  ที่ผู้ใหญ่ท่านกล่าวเช่นนี้เพราะรู้ว่าเด็กๆ ทุกคนย่อมกลัวผีเป็นธรรมดา  เรียกว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ  เขาจะต้องต่อต้านทุกเรื่องไป

ที่ว่าไม่ได้นับถือพุทธ  คือบิดาเป็นคริสตัง  มารดาเป็นมุสลิม  แต่บิดาเสียไปในขณะที่มารดาตั้งท้องข้าพเจ้าได้ 2-3 เดือน  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงนับถืออิสลามตามแม่   ซึ่งแน่นอนที่สุด ในครอบครัวชาวมุสลิมเขาจะเคร่งครัดในศาสนามาก  การวางตัวในสังคมก็มีขีดจำกัดไปเสียทุกอย่าง  แต่แล้วข้าพเจ้าก็ได้สามีเป็นชาวพุทธ แถมยังชอบและสนใจในเรื่องปฏิบัติธรรมเสียอีก

วันหนึ่งสามีของข้าพเจ้าได้ซื้อหนังสือที่กล่าวถึง “ธรรมกาย” ของหลวงพ่อสด  ซึ่งมีวางขายตามร้านหนังสือทั่วไปมาอ่าน  อ่านแล้วก็คุยกันตามประสาสามี-ภรรยา  เรามีความเห็นว่า  เท่าที่ได้อ่านและถามๆ คนอื่นดู ก็รู้สึกว่า ธรรมกายนั้นถ้าจะปฏิบัติไม่ใช่ของง่ายๆ   เคยมีคนเขาบอกว่า ที่ศาลาการเปรียญวัดสระเกศ (วัดภูเขาทอง)  เขามีสอนอยู่  จะชวนข้าพเจ้าไป  ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบวิชานี้  เราไม่ไป เขาก็ [จึง] ไม่ไป  เป็นอันจบ

หลังจากนั้นไม่นาน  ข้าพเจ้าได้ฝันว่า หลวงปู่ทวดท่านมาชวนว่า ให้จับมือท่านไว้ จะพาไปพบ“หลวงพ่อสด” ที่พระนิพพาน  ในฝันว่าลอยไปอย่างสบายเลย  คำแรกที่หลวงพ่อสดท่านพูดกับข้าพเจ้าก็คือ “เราชื่อสด  จะมาฝึกธรรมกายไหม ?” ในฝันก็ตอบท่านไปว่า “ไม่ฝึก”  เพราะเคยอ่านหนังสือเลยรู้สึกยาก  ท่านก็ไม่พูดอะไร  ทำหน้าเฉยๆ  เมื่อตื่นขึ้นก็เล่าให้สามีฟัง  เขารีบบอกทันทีว่าเป็นนิมิตที่ดี   ในที่สุดก็ขัดคำชวนที่จะไปวัดสระเกศไม่ได้  เรื่องวัดเรื่องวาก็ไม่เคยจะรู้ธรรมเนียมเท่าไรนัก  รับศีลก็ไม่เป็น  ต้องเอาหนังสือของวัดมาดูเวลาที่เขารับศีล  วุ่นวายอยู่เป็นเดือน  แม้แต่ปัจจุบัน การสวดมนต์ทำวัตรก็ยังไม่ค่อยเป็นเท่าไรนัก  อาศัยฟังบ่อยๆ ก็ชักชินหู

การฝึกปฏิบัติธรรมในวันแรก ก็แยกกลุ่ม   วิทยากรเขาแนะนำให้กำหนดดวงแก้วกลมใส ประมาณเท่าฟองไข่แดงของไก่  เริ่มจากช่องจมูกซ้าย ว่า “สัมมาอะระหังๆๆ”  แล้วเลื่อนดวงแก้วไปตามฐานต่างๆ  จนถึงฐานที่ 7 เหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือ  ให้จรดใจนิ่งไว้ตรงกลางดวงแก้วกลมใสนั้น  แล้วกำหนดจุดเล็กใสขึ้นที่ศูนย์กลางดวงแก้วกลมใส  เขาให้ทำอะไรก็ทำตามไป ไม่ได้คิดอะไร ครั้นเมื่อนิ่งถูกส่วนเข้า  วิชชาก็เริ่มเดิน* [คำว่า “เดิน” ในที่นี้ หมายถึง “เจริญ”  กล่าวคือ เจริญภาวนาหรือเจริญวิชชา]   จากดวงปฐมมรรคเข้าสู่กายธรรม  กายในกาย ณ ภายใน  เริ่มโตใหญ่ใสละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ  ตายแล้ว อะไรกันนี่ !  จิตใจเริ่มสับสน  เมื่อใจไม่จรดศูนย์   วิชชาก็หยุดเดิน*   เมื่อคลายจากสมาธิ  วิทยากรถามว่า เห็นดวงแก้วแจ่มใสไหม ?  เลยตอบว่า “แจ่มใสดีค่ะ”

อาทิตย์ต่อมาก็ได้ 18 กาย กับพระวิทยากร  จึงรู้ว่า เป็นอย่างที่เราทำได้ถึงในคราวก่อน  เลยเสียท่าไปแล้ว  เมื่อพระท่านสอนเสร็จ  ก็มีการซักถามกันพอสมควร ว่าทำไมกายพระคือเรานั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  ท่านก็ให้ความกระจ่างดี  จึงเริ่มเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว  ทีนี้ชักเริ่มสนุก  แต่ยังคิดไม่ถึงว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อไปอีก  เพียงแต่พระวิทยากรท่านว่า ต่อไปนี้อย่าให้เสียท่าอีกนะ  ให้ปล่อยใจหยุดนิ่งไปตามญาณวิถี   ในที่สุดก็ได้ต่อวิชชาชั้นสูงกับหลวงพ่อเสริมชัย  แต่ก่อนที่จะได้ฝึกกับท่าน  ได้ทำสมาธิ  เดิน 18 กาย ซ้อนสับทับทวีที่บ้าน ก่อนจะคลายจากสมาธิ ก็หยุดตรึกนิ่งไปที่จุดสุดท้ายของการเข้าถึง รู้ เห็น และเป็น  ตามที่พระวิทยากรท่านสอน  ก็มีเสียงก้องกังวานขึ้นว่า “วันข้างหน้าจะต้องพบกับอาจารย์ที่มีสายสัมพันธ์กันในอดีต  เขาผู้นี้จะรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่าง  และจะเป็นผู้ให้วิชชาทั้งหมดแก่เรา”

ต่อมาจึงได้รับการฝึกเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงกับหลวงป๋า  [หมายถึง  พระภาวนาวิสุทธิคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล) ซึ่งผู้เขียนมีความเคารพเสมือนบิดา ผู้ให้กำเนิดชีวิตในทางธรรม]  ในการฝึกวิชชาชั้นสูง  นับตั้งแต่เริ่มพิสดารกาย เป็นเถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด ฯลฯ  คำสอนต่างๆ ของหลวงป๋าในวิชชาชั้นสูงนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน  ดังนั้นเมื่อเจริญภาวนาเสร็จแต่ละครั้ง ต้องคอยถามว่าจุดนี้เป็นอย่างนี้ อย่างนั้นใช่ไหม ?   ตามปกติเป็นคนไม่ค่อยกล้า  แต่ก็กลัวจะทำผิดจากวิชชาของท่าน  จึงจำเป็นต้องรายงานผลการปฏิบัติให้ท่านทราบตลอดเวลา  ประกอบกับหลวงป๋าท่านมีเมตตา เอาใจใส่กับลูกศิษย์   ในที่สุดก็เข้าถึงต้นธาตุต้นธรรม …   เราทำผิดท่านก็ไม่เคยว่า  ยิ่งทำให้เรามีกำลังใจและเกิดความอบอุ่น

อยู่มาวันหนึ่ง หลวงป๋าท่านเรียกมานั่งข้างหน้าเพื่อแนะนำวิธีปฏิบัติ … ก็พอดีศาลาข้างๆ มีงานศพเป็นคนจีน  หูเราก็บังเอิญได้ยินเป็นเสียงสวดมนต์ ไปแวบคิดว่าสวดอย่างนี้เขาเรียกว่าสวดกงเต็กหรือเปล่า ?  เสียงหลวงป๋าพูดทันที “ให้มานั่งสมาธิ  ไม่ใช่มาคิดนอกเรื่อง”   ไม่ใช่ครั้งนี้ที่ท่านคอยเตือน  ตลอดเวลาที่เจริญภาวนากับท่าน จะได้ยินคำเตือนเสมอ  เมื่อจิตไม่ตกศูนย์  นี่แสดงว่าตลอดเวลาท่านจะคอยประคับประคองจิตของเราให้หยุดให้นิ่งอยู่ตลอดเวลา  ในเรื่องของวิชชา ท่านไม่เคยหวงใคร  รับได้เท่าไร ตามสภาพภูมิธรรม ท่านก็เปิดให้หมด

ในที่สุดเราก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานในพระนิพพาน เข้าถึงธาตุล้วนธรรมล้วนของต้นๆ … ได้รู้ซึ้งถึงพลังและอานุภาพของธรรมกาย   โดยการมุ่งเข้าสู่เขตธาตุเขตธรรมต่อๆ ไปเป็นทับทวี โดยไม่ถอยหลังกลับ  …  หลวงพ่อสดก็ผุดขึ้นพร้อมกับเสียงก้องกังวานมาทันทีว่า “ตนนั้นต้องทำให้วิชชาธรรมกายให้เป็นวิชชาที่ไม่ตาย  ความหมายก็คือ ให้ทำวิชชาเป็นอยู่ตลอดเวลา  และต้องเผยแพร่ต่อๆ ไปด้วย   ข้อสำคัญ ต้องรวมธาตุธรรมของศาสนาทุกศาสนา ทุกสี ทุกสาย ทุกกาย ทุกองค์ ทุกวงศ์ มากลั่น และละลายธาตุธรรมนั้น  ดับอธิษฐานถอนปาฏิหาริย์จนหมดธาตุธรรมภาคดำและกลางๆ  และให้เป็นแต่ธรรมกายที่เป็นธาตุล้วนธรรมล้วน  ไม่มีคำว่า สี สาย นิกาย ฯลฯ ต่อไป  ตั้งแต่มนุษย์โลกขึ้นไปจนถึงจักรวาลในจักรวาลต่อๆ ไป   จนทำให้ธรรมกายนั้นยิ่งใหญ่หาที่สุดมิได้  แต่จงจำไว้ จำทำอะไรก็ตาม  ไม่ว่าจะเป็นวิชชารบหรือการสะสางธาตุธรรม ฯลฯ  จะต้องใช้เมตตาพรหมวิหารเป็นที่ตั้ง  อย่าทำด้วยความรุนแรง (ด้วยกิเลส)  และขาดสติ  แล้วจะประสบผลสำเร็จ”

ดังนั้นเมื่อต้องทำวิชชารบกับมารทีไร  ถ้าจิตคิดว่าต้องเอาชนะให้ได้  เสียงของหลวงพ่อสดจะดังก้องขึ้นมาทันทีว่า“จงใช้เมตตาเป็นที่ตั้ง  ทำเช่นนั้นไม่ถูก”   จิตที่กล้าแข็งก็เริ่มอ่อนโยนลงทันที  ใจก็คิดว่า การที่ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะหน้าที่  ไม่ใช่ด้วยความอาฆาต   ก็น่าแปลก  ฝ่ายมารเขาจะเริ่มถอยวิชชาของเขาออกไปทีละน้อย  แต่เราต้องคิดเสมอว่าต้องไม่ประมาท  โดยเราต้องทำวิชชาให้นำหน้าเขาอยู่เสมอ  มิฉะนั้นจะถูกภาคมารเขาสอดเข้ามาในสุดละเอียดของเราได้

ฝึกเดินวิชชาอยู่ประมาณเดือนเศษ ก็มีการอบรมพระกัมมัฏฐานที่สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ในเดือนธันวาคม  หลวงป๋าก็ชวนให้ไปที่ดำเนินสะดวก   เมื่อไปถึงที่นั่น ก็ไปยืนอยู่ข้างๆ ศาลาอเนกประสงค์ หันหน้าไปทางซ้ายมือ  เป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่รอบเกาะ  รู้สึกว่าลมเย็นสบายดี  จึงยืนทำวิชชาเข้าสุดละเอียดไปเรื่อยๆ  เมื่อหยุดตรึกนิ่งก็เห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นมาจากกลางบ่อนั้น  จึงสอบถามคนที่นั่นว่า  ตรงนั้นเขาจะสร้างอะไรหรือ ?  ต่อไปบริเวณเกาะนั้นจะเป็นวิหารธรรมกาย  ต่อไปเมื่อเป็นวัด จะยกฐานะขึ้นไปอุโบสถ  พอรู้เช่นนั้น ความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้น  ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุไรเหมือนกัน

ในการอบรมพระกัมมัฏฐานแด่พระสงฆ์ (รุ่นที่ 11)  คราวนั้นหลวงป๋าท่านเมตตาอนุญาตให้เป็นวิทยากรสอนโยมเป็นครั้งแรก  พูดก็ไม่เป็น  ยังเขินๆ อยู่  ไม่รู้จะทำอย่างไร  รู้สึกกลัวไปเสียหมด  ทีกลัวเพราะว่า กลัวจะพูดไม่เข้าใจ  แล้วก็กลัวเขาจะว่า สอนเขาแล้วตัวเองรู้หรือเปล่าว่าเขาเห็นจริงหรือไม่  หันไปหันมา ไม่รู้จะทำอย่างไร  เลยเข้าไปในธาตุธรรมของหลวงพ่อสด  สวมความรู้สึกเข้าไปเป็นท่านเลย  ก็น่าแปลก ความประหม่าหายไปหมด กลับมีพลังอะไรไม่รู้เกิดขึ้น  คือมีความคิดว่าจะต้องทำตัวเราให้ใส  สักครู่เป็นการตั้งสติไปในตัว  พอเริ่มสอน ระหว่างที่พูดก็เอาธาตุธรรมของแต่ละคนมาซ้อนในที่สุดละเอียดของเรา  ตอนนั้นมีลูกศิษย์อยู่ 4-5 คนเห็นจะได้  ก็เห็นทันทีว่าแต่ละคนเขาทำได้แค่ไหน  สอนเสร็จคลายจากสมาธิ ก็ยังไม่เชื่อตัวเองอีก  จึงทดสอบตัวเอง โดยการสอบถามทีละคนตามสภาพภูมิธรรมของแต่ละคน  ปรากฏว่าถูกต้องหมด  ก็เกรงว่า นี่เราทำอะไรโดยพลการหรือเปล่าหนอ ?  จึงรีบกราบเรียนหลวงป๋า  ท่านกลับไม่ว่าอะไร  แถมยังแนะนำเคล็ดลับวิชชาครูเพิ่มให้อีก  แล้วยังสอนให้เดินเครื่องธาตุเครื่องธรรม เห็น จำ คิด รู้ ให้ผู้ที่ทำวิชชาฝืดๆ  เพื่อที่เขาจะได้เดินวิชชาอย่างแจ่มใสโดยตลอดอีกด้วย  ความรู้ในเรื่องวิชชาเริ่มได้รับจากท่านเป็นระยะๆ อย่างไม่เคยหวงวิชชาเลย  บุญคุณอันนี้ใหญ่หลวงนัก  เกินกว่าจะบรรยายออกมาด้วยคำพูดได้

ทีนี้ ขอย้อนกล่าวถึงสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี  ทุกครั้งที่มีการอบรมเยาวชนก็ดี อบรมพระก็ดี  จะเห็นเหล่าเทวดา นางฟ้า พรหม อรูปพรหม เต็มท้องฟ้าไปหมด  เรียกว่า สว่างไสวไปทั่วทั้งสถาบันเลย  เขาคงมาเป็นกำลังใจอนุโมทนากับเหล่าพุทธบริษัทที่มาอบรมกันตลอดเวลา  สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นมีพญานาคองค์มหึมาคอยอำนวยความสะดวกให้ คือพอเริ่มนั่งสมาธิทีไร จะเป็นการสอนหรือทำวิชชาก็ดี  เขาจะมาขดเป็นอาสนะเหมือนปางนาคปรกให้เราสบายดีอีกด้วย  นี่ที่สถาบันฯ นะ  ต่อพอกลับกรุงเทพฯ เขาไม่ยอมตามมาด้วยหรอก น่าเสียดาย  เพราะเวลาเขาให้เรานั่ง รู้สึกสบายบอกไม่ถูก  จึงกราบเรียนเล่าให้หลวงป๋าฟัง   ท่านบอกว่าเป็นของประจำอยู่ที่สถาบัน  ช่วยดูแลสถาบันฯ ของเรา    ก็ไม่น่าแปลกอะไรนี่  เพราะตลอดเวลาที่ทำวิชชากับท่าน จะเห็นประจำอยู่แล้ว ว่าพลังและอำนาจของบุญ บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ของท่านมหาศาลขนาดไหน  ใครอยากรู้ลองแอบดูเอาเอง   ถ้าจิตเข้าถึงต้นธาตุต้นธรรมที่สุดละเอียดและเป็นสายธาตุธรรมเดียวกันคือสายขาว  ก็จะเห็นตามที่เป็นจริงได้  ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอก  เพราะเป็นเรื่องของวิชชา  แต่อย่าลืมนะ ก่อนจะทำอะไรควรนึกขอขมาท่านเสียก่อนด้วย  เพราะครูบาอาจารย์เป็นของสูง

เมื่อตัวเองนี้ได้เข้าถึง รู้ เห็น และเป็น เช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกเป็นห่วงท่านทั้งหลายที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  อย่ามัวเสียเวลาอันมีค่าของชีวิตเลย  เพราะทุกลมหายใจเข้าออกนั้นมีค่าเสียเหลือเกิน  มาปฏิบัติธรรมกันเถอะ ไม่มีอะไรยากเกินกำลังของมนุษย์เราเลย  ถ้าท่านตั้งใจจะปฏิบัติธรรม รักษาศีลอย่างน้อยศีล 5 เราไม่บกพร่อง  ก็พ้นจากอเวจีมหานรกได้แล้ว  ส่วนการปฏิบัติธรรมในแนวของธรรมกายก็ไม่ยากเลย  เพียงแต่ขอให้ “หยุด” ตัวเดียวเท่านั้น  ที่ว่ายากนั่นก็เพราะเราไม่หยุดจริงนั่งเอง   ถ้าจิตของเราหยุดนิ่งจริงแล้ว  การเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายนั้นจะรู้ได้ทันทีว่า  วิชชาไม่มีสิ้นสุด คือเราจะเข้าไปในที่สุดละเอียดขององค์ต้นธาตุต้นธรรมที่สุดละเอียดได้เรื่อยๆ   ถ้าท่านทำได้จะรู้สึกว่าการเจริญภาวนานั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่อหน่ายเลย   เพราะท่านสามารถค้นพบข้อมูลหรือสิ่งใหม่ๆ ได้อยู่ตลอดเวลา เป็นการเจริญปัญญารู้แจ้งในสภาวะจริงของธรรมชาติทั้งฝ่ายพระและฝ่ายมารในตัวเรานี้แหละได้ดี อย่างที่ท่านไม่เคยได้รู้เห็นมาก่อนเลย  เป็นธรรมวิจยะ ให้สามารถแยกธาตุธรรมภาคพระ (ธรรมขาว)  ภาคมาร (ธรรมดำ)  ภายในตัวเราเองได้  แล้วเก็บธาตุธรรมภาคมาร (ธรรมดำ) เสีย  ให้เหลือแต่ธาตุล้วนธรรมล้วนของฝ่ายพระ (ธรรมขาว) เป็นเราได้   มีผลให้กาย วาจา ใจ ของเราสะอาดบริสุทธิ์  ตรงกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ให้ละชั่วด้วยกาย วาจา ใจ  ประกอบแต่กรรมดีด้วยกาย วาจา ใจ  ทำใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์  และตรงกับพระพุทธวจนะที่ว่า กณฺหํ ธมฺมํ วิปฺปหาย  สุกฺกํ ภาเวถ ปณฺฑิโต   บัณฑิตพึงละธรรมดำเสีย  พึงยังธรรมขาวให้เจริญ [สํ.มหา.19/28]   เพราะว่าการเข้าถึง รู้ เห็น และเป็นธาตุล้วนธรรมล้วนฝ่ายพระหรือธรรมขาวนั้น ให้เป็นสุขด้วยความสงบดีนัก.

พระคุณของครู

ประสบการณ์ผู้ปฏิบัติธรรม

รัศมีแห่งบุญ

จากอิสลาม เข้าถึงพุทธ ที่สุดละเอียด

พระคุณของครู

ชาวคริสต์ผู้ปฏิบัติธรรมจริงจัง ก็ถึงธรรมกายได้

เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของข้าพเจ้า มิได้ต้องการให้เป็นการโอ้อวด   แต่มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญยิ่ง 2 ประการ คือ

ประการแรก เพื่อให้เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ที่ได้จากการปฏิบัติธรรมจริงๆ  เพื่อให้ผู้อื่นที่ได้ปฏิบัติเข้าถึงและพบปัญหาแบบเดียวกันเข้าใจ  สามารถแก้ไขตนเองได้ทัน  เพราะบางทีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อไม่มีครูบาอาจารย์อยู่ด้วย  ถ้าตนเองไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ก็อาจแก้ปัญหาไม่ถูกต้องตามแนวทาง  ทำให้เกิดผลเสียหนักขึ้นได้  การทำวิชชาชั้นสูงที่ละเอียดมากๆ  ต้องระวังอย่างยิ่ง  ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรง ที่ไม่อาจแก้คืนหรือแก้คืนได้ยาก เช่น อาจพลาดแล้วถูกภาคมาร (กิเลสมาร) ยึดสุดละเอียดไป ทำให้หลง ไม่เห็นกิเลสละเอียด ทำให้กาย วาจา ใจ เบี่ยงเบนไปจากธรรมฝ่ายสัมมาทิฏฐิไปทีละน้อย จนไม่รู้สึกตัว  แล้วจะถูกทำลายธาตุธรรมไปในที่สุด

ประการที่สอง  เป็นการยืนยันว่าธรรมกายเป็นของจริง  ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงป๋า ทราบและมั่นใจได้เลยว่า วิชชาธรรมกายที่หลวงป๋าสอน ตามพระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร) นั้น  เป็นธรรมะของจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และเมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้ว ย่อมได้ผลจริง

ขอพวกเราจงภูมิใจเถิดว่า เรานั้นไม่เสียชาติเกิดเลย ที่ได้มาเป็นลูกหลานของหลวงป๋า เพราะการสอนของท่าน เปิดใจกว้างเสมอ ไม่เคยปิดบังวิชชา  เรียกว่าเปิดกันจนหมดตัวหมดใจเลยทีเดียว แต่เฉพาะศิษย์กับครูเท่านั้นนะ ท่านถึงจะให้เห็น  เพราะท่านถือว่าจำเป็นในการสอน เพื่อที่ศิษย์จะได้เข้าใจถูกต้อง ครบถ้วน ตามจริง ไม่ถือว่าเป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม  ถือว่าเป็นการสอน

ทุกครั้ง ในการสอนธรรมะ  ข้าพเจ้าเห็นกายของท่านใสเป็นแก้ว  ฉัพพรรณรังสีปกคลุมไปทั่วบริเวณลานธรรม  บางครั้งเห็นมีอาสนะเป็นพญานาค 7 เศียร  นั่นหมายถึงท่านเป็นธาตุธรรมที่แท้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีที่เปล่งออกมาหมายถึงความเมตตาต่อสัตว์โลกทั้งหลาย  ไม่เคยแบ่งว่าใครเป็นพระหรือมาร  และข้าพเจ้าเห็นด้วยตัวเองว่า  เมื่อถึงตอนแผ่เมตตาด้วยความบริสุทธิ์ใจของท่าน  แม้แต่ไฟนรกยังดับ ทั่วทั้งจักรวาลมีแต่เสียงสาธุ   นี่คือการสอนธรรมะในแต่ละครั้งของท่าน  เพราะฉะนั้นที่วัดหลวงพ่อสดฯ ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสทำวิชชาทุกวันตลอดเวลา (เรียกว่า วิชชาเป็น)  ที่นั่นจึงเป็นศูนย์รวมแห่งความศักดิ์สิทธิ์  เพราะทุกอณูของวัดหลวงพ่อสดฯ เป็นเหมือนเกล็ดเพชรระยิบระยับอยู่เต็มพื้นที่  แต่เมื่อดูด้วยตาธรรมกายแล้ว จะเห็นเป็นองค์พระมากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรเสียอีก

จากจุดเริ่มต้นในวิชชาชั้นสูง ที่หลวงป๋าเปิดใจให้กับศิษย์ซึ่งมีความรู้แค่หางอึ่ง ยังไม่ลึกซึ้งในวิชชาธรรมกายเท่าไรนัก  จึงทำให้ข้าพเจ้าผู้ที่เป็นคนที่นับถือศาสนาอื่นมาก่อน เริ่มศรัทธาในศาสนาพุทธ และด้วยความเมตตาที่ท่านมีให้แก่ศิษย์  ท่านจะคอยประคับประคองในเรื่องวิชชา ไม่ให้เดินออกนอกลู่นอกทาง

อยู่มาวันหนึ่งข้าพเจ้าเกิดสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมทุกครั้งที่นั่งธรรมะเสร็จแล้ว แผ่เมตตา ไม่เคยเห็นพ่อแม่ ญาติพี่น้องของเราที่เสียชีวิตไปแล้วมาอนุโมทนาบุญเลย  จึงกราบเรียนให้ท่านทราบ  ท่านก็ให้ความกระจ่างมาว่า เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปอยู่สุดขอบจักรวาลโน่น   วิธีช่วยน่ะมี  แต่การช่วยคนนอกศาสนา ไม่เหมือนกับช่วยชาวพุทธที่อยู่ในนรกนะ  เพราะต้องแลกด้วยบุญบารมี (หมายถึงบุญบารมีของท่านที่สร้างมา จะต้องถูกตัดทอนลดลงไป)  ฉะนั้นให้เลือกมา 1 คน  จะเอาใคร  ข้าพเจ้าก็ขอเลือกแม่  ท่านเริ่มทำสมาธิ  ให้ข้าพเจ้าทำสมาธิตามไปด้วย  ในระหว่างที่เดินวิชชาอยู่นั้น  จะเห็นท่านเดินนำหน้าไปคอยอยู่แล้ว  เราก็เข้ากลางตามท่านไป  ความรู้สึกเวลานั้นไม่เหมือนกับนั่งสมาธิแล้ว  เหมือนกับว่าเข้าไปในมิติของแดนสนธยาเลย  ยิ่งเดินก็ยิ่งมืด  เห็นแต่หลวงป๋าองค์เดียว เพราะรัศมีกายท่านสว่างมาก  แต่บริเวณนั้นมืดหมด  ในที่สุดท่านก็บอกว่า ถึงแล้วนะ  ให้เรียกชื่อแม่ 3 ครั้ง  ท่านว่าแม่มาแล้ว   ข้าพเจ้ามองไปที่เท้าของหลวงป๋า เห็นแม่นั่งยองๆ  ผิวหนังขาดวิ่น ผมเป็นกระเซิง  เห็นสภาพของแม่แล้วน้ำตาไหลด้วยความสงสาร  เสียงหลวงป๋าดังขึ้นทันที  เข้ากลางเอาไว้  เพราะจิตเริ่มส่าย  ภาพของแม่เริ่มเลือนๆ   ถ้าคุมสติไม่อยู่ คงต้องเริ่มต้นกันใหม่   เข้ากลางอยู่พักหนึ่ง เมื่อใจเริ่มเป็นปกติ  ท่านก็ให้เรียกแม่อีก  ครั้งแรกแม่ทำท่าตกใจเมื่อเห็นข้าพเจ้า  เพราะเราเป็นองค์พระอยู่  หลวงป๋าให้เรียกแล้วให้บอกว่าเราเป็นลูกชื่ออะไร  เมื่อแม่จำได้ก็ร้องไห้  ขออธิบายเรื่องความจำของแม่สักนิด  คนที่ตายไปแล้ว  ถ้าสมัยมีชีวิตอยู่ไม่เคยฝึกสมาธิ ตายไปก็จำอะไรไม่ได้  เหมือนกับที่เราเกิดมาจากไหน เป็นอะไรมาก่อน เราก็ไม่รู้   ต้องมาฝึกสมาธิถึงจะรู้อดีตได้  แต่ที่แม่จำได้ก็เพราะหลวงป๋าคุมอยู่ตลอดเวลา  ในที่สุดท่านก็ให้แม่รับไตรสรณาคมน์  โดยการให้ข้าพเจ้าเข้ากลาง แล้วถ่ายทอดเสียงของหลวงป๋าไปยังแม่  เมื่อแม่รับไตรสรณาคมน์แล้วก็กราบ 3 หน  เป็นการยอมรับในบวรพระพุทธศาสนา  แล้วหลวงป๋าก็ใช้ให้จักรแก้วเป็นพาหนะ ส่งแม่ไปยังสวรรค์ ก็ช่วยได้แค่ดาวดึงส์เท่านั้น เพราะบุญของแม่มีน้อย  แถมยังทำบุญกับศาสนาของตัวเองโดยการฆ่าสัตว์ใหญ่ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษว่า เมื่อตายไปจะได้ขี่วัวขี่แพะ ขึ้นสวรรค์ไม่ต้องเดินให้ลำบาก  เพราะความเมตตาของหลวงป๋าในครั้งนั้น  ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งในความกรุณาของท่านเป็นยิ่งนัก  จะไม่มีวันลืมพระคุณของท่านได้เลยในชาตินี้  จึงขอมอบกายถวายชีวิตแด่บวรพระพุทธศาสนาตราบเท่าชีวิตจะหาไม่และทุกภพทุกชาติไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

… ท่านเคยบอกว่า  จำไว้นะ เมื่อเป็นคนของหลวงพ่อแล้ว (หมายถึง หลวงพ่อสด)  ท่านจะไม่ทิ้ง  เพราะถ้าหลงไปตามสิ่งที่มารเขานำมาล่อ จะถูกภาคมารยึดสุดละเอียด  หลังจากนั้นเขาจะให้ความสมบูรณ์ทุกอย่าง  เป็นต้นว่า ทรัพย์สมบัติหรืออะไรต่อมิอะไรก็ได้ทั้งนั้น  เพื่อทำให้เราหลง  แต่พอหมดประโยชน์กับเขาแล้ว  ทีนี้แหละ ความเดือดร้อนนานัปการจะทับทวีเป็น 10 เท่า 100 เท่าเลยทีเดียว  ได้ยินเช่นนั้นแล้ว  ความเชื่อมั่น ความศรัทธาต่อวิชชาธรรมกาย เปี่ยมล้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  ชี้ให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของหลวงป๋าที่มีต่อศิษย์ ถ้าเราตั้งใจทำวิชชา   ทีนี้ทุกครั้งที่นั่งต่อหน้าท่าน ก็ต้องระวังตัว ไม่กล้ากระดิกใจออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด  ท่านจะพูดกับข้าพเจ้าเสมอว่า จงร่วมกันสร้างบารมี

ท่านผู้ท่านที่รักทั้งหลาย  ความลับของหลวงป๋าในธาตุธรรมขององค์ต้นของหลวงพ่อสด ยังมีอีกมากมาย  ท่านที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลายจงรีบตักตวงวิชชาให้มากที่สุดเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่  อย่าให้ต้องเสียใจภายหลังเมื่อไม่มีท่านแล้ว  ความเป็นธาตุธรรมที่แท้จริงนั้น เปรียบเสมือนความศักดิ์สิทธิ์  ฉะนั้นใครก็ตามที่คิดไม่ดี ทั้งกาย วาจา ใจ ต่อท่าน  ขอบอกได้เลยว่า  ท่านผู้นั้นเมื่อตายไป มีที่อยู่แน่นอนคือนรกภูมิ จะเป็นขุมไหนก็เลือกได้ตามสบายเลย  เผลอๆ ยังไม่ทันจะตาย  กรรมก็ตามทันเสียแล้ว  พิสูจน์กันเอาเองก็แล้วกัน  ผู้ทำวิชชาจะรู้ดีว่า อาจารย์ของเขาเป็นอย่างไร

พูดถึงเรื่องรู้จิตรู้ใจ  มีเรื่องขำๆ หลายเรื่อง  จะเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบสัก 2 เรื่อง  เรื่องแรกมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง ท่านเล่าถึงชีวิตฆราวาส สมัยหนุ่มๆ ท่านทำกับข้าวเก่ง  ตำน้ำพริกก็เก่ง  น้ำพริกใส่อะไรท่านตำอร่อยทั้งนั้น  เราก็คิดในใจ เก่งจังเลย  เราเป็นผู้หญิงแท้ๆ  ตำเป็นแต่น้ำพริกกะปิ  แต่เราก็ตำอร่อย  เสียงท่านหัวเราะแล้วบอกว่า  เออ น้ำพริกกะปิเอ็งอร่อย  ข้าพเจ้าหยุดคิดทันที ทับทวีองค์พระอย่างเดียวเลย

เรื่องที่สอง  มีครั้งหนึ่งนั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปวัดหลวงพ่อสดฯ กับท่าน พอรถเลี้ยวเข้าวัด  พญานาคองค์ใหญ่ที่ดูแลวัดหลวงพ่อสดฯ อยู่ ก็ขึ้นมาล้อมโบสถ์  ข้าพเจ้าเห็นแล้วไม่กล้าพูด กลัวจะโดนดุ  เพราะมีทั้งพระทั้งโยมเต็มรถ  หลวงป๋าพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “ไอ้นิด พรรคพวกเขาขึ้นมาต้อนรับ” แล้วท่านก็ชี้มือไปทางโบสถ์   คนในรถเป็นงงที่อยู่ดีๆ  หลวงป๋าพูดขึ้นมาลอยๆ   ถามกันใหญ่ อะไรอยู่ไหน  ท่านหัวเราะชอบใจ  พญานาคที่ปรากฏนั้นเป็นกายละเอียด ผู้ที่ไม่มีตาในจึงไม่เห็น

เรื่องต่างๆ ที่เล่ามา เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าประสบมากับตัวเองในปีแรกเท่านั้น  ปัจจุบัน 10 ปีแล้วที่อยู่ในสำนักนี้มา  ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดได้อย่างไร ถึงความเชื่อมั่นและศรัทธาในวิชชาธรรมกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร)  นำมาสอน แล้วหลวงป๋านำมามาถ่ายทอดต่อ ที่เป็นของจริง พิสูจน์ได้  แม้องค์พระธรรมกายก็สัมผัสได้

ครั้งหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าทำวิชชาชั้นสูง เข้าไปในธาตุธรรมสุดละเอียด ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อสด ได้ยินเสียงของท่านดังขึ้นมาว่า “ผู้ที่เป็นหลักสำคัญในการเผยแพร่วิชชาธรรมกายที่เป็นของจริงของแท้ในขณะนี้มีอยู่ 2 องค์ คือ ท่านเจ้าคุณพระภาวนาโกศลเถร (วีระ คณุตฺตโม)  ผู้เป็นอาจารย์ของหลวงป๋า และเสริมชัย”   เมื่อนำมาพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างนั้น  ดูได้จากการเผยแพร่วิชชาธรรมกายที่ถึงพร้อมด้วยเนื้อหาวิชชา ทั้งทางเอกสาร หนังสือ และนิตยสาร   ทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ และสื่ออื่นๆ จนวิชชาธรรมกายเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งในประเทศและต่างประเทศ  เนื้อหาการสอนวิชชาธรรมกายชั้นต้น กลาง สูง ของทั้ง 2 องค์ มีความละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก  ดังตัวอย่างที่เล่าให้ทราบข้างต้น  

ถ้าไม่ได้หลวงป๋า  ผู้เขียนก็อาจหลงทาง ถูกภาคมารยึดสุดละเอียดไปแล้วก็ได้  ในปัจจุบันไม่ได้ยินว่ามีใครสอนเนื้อหาวิชชาธรรมกายชั้นสูงได้ลึกซึ้ง เปิดวิชชาเต็มที่เช่นนี้  ท่านผู้อ่านที่สงสัยสามารถพิสูจน์ได้จากคำสอนของท่านทั้งสอง   แม้แต่ชาวต่างประเทศที่มาอบรมพระกัมมัฏฐานที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ก็สามารถปฏิบัติจนได้วิชชาธรรมกายชั้นสูง สามารถเห็นนิพพาน ภพ 3  โลกันต์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นจริงอย่างไรได้ด้วยตนเอง  ไม่ต้องหลับตาเดาผิดๆ ถูกๆ   ดังนั้น เมื่อเรามีบุญวาสนาได้พบพระที่แท้ สะอาดบริสุทธิ์  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เป็นธาตุธรรมที่แท้ของต้นธาตุต้นธรรม คือ หลวงพ่อภาวนาและหลวงป๋าของเราแล้ว  จงอย่าปล่อยให้โอกาสอันงามที่จะได้ศึกษาวิชชาชั้นสูงที่ลึกซึ้งนี้หลุดไป

สุดท้ายนี้  ขอให้ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย มีศรัทธาพร้อมด้วยปัญญา แยกแยะผิดถูกได้ถูกต้อง  จงพิสูจน์ด้วยตนเอง  อย่าให้น้อยหน้าชาวต่างประเทศที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมา จนได้วิชชาธรรมกายชั้นสูงไป  ธรรมะเป็นของสูง เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด  จงรักษาไว้ตราบเท่าที่ชีวิตจะหาไม่ ทุกภพทุกชาติไป ตราบเท่าเข้าสู่นิพพาน  ขอความสันติสุขจงบังเกิดแก่ชาวโลกทั้งหลาย  จงรักกันเสมือนกับเป็นสายเลือดเดียวกัน อย่างเช่นหลวงป๋ารักเราทุกคน

จีราภา  เศวตนันท์
วิทยากรสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย

ชาวคริสต์ผู้ปฏิบัติธรรมจริงจัง ก็ถึงธรรมกายได้

ประสบการณ์ผู้ปฏิบัติธรรม

รัศมีแห่งบุญ

จากอิสลาม เข้าถึงพุทธ ที่สุดละเอียด

พระคุณของครู

ชาวคริสต์ผู้ปฏิบัติธรรมจริงจัง ก็ถึงธรรมกายได้

ในการอบรมพระกัมมัฏฐานรุ่นที่ 32  มีชาวออสเตรเลียผู้นับถือศาสนาคริสต์ 2 ท่าน  ได้มาอยู่ฝึกปฏิบัติพระกัมมัฏฐานตามแนววิชชาธรรมกาย ที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

ท่านผู้เฒ่า Alan ปฏิบัติผลดีและรวดเร็วมาก เพียง 2 วันเท่านั้นก็สามารถปฏิบัติได้ถึงธรรมกายแล้ว  และได้รับการฝึกเจริญฌานสมาบัติ ตรวจภพ ตรวจจักรวาล  ดูความเป็นไปของสัตว์โลกในภพ 3  ได้เห็นตามเป็นจริงว่า “ทำดีก็บริสุทธิ์เอง”  ทำชั่วก็มัวหมองเอง ได้ผลชั่วเอง  ไม่มีใครช่วยใครได้  และเห็นว่าธรรมทั้งปวงที่เป็นไปในภพ 3 มีสภาพเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา

ต่อเมื่อทำนิโรธ (ไม่ใช่นิโรธสมาบัติ)  ดับสมุทัย  จนจิตละเอียด เป็นธรรมกายที่บริสุทธิ์ล้วนๆ  จนธรรมกายที่สุดละเอียดปรากฏในอายตนะนิพพาน  ได้เห็นพระนิพพานธาตุ คือ ธรรมกายตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตขีณาสพที่ดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ สว่างไสวเต็มไปหมด  มีสภาพเที่ยง เป็นสุขอย่างยิ่ง และสถิตยั่งยืนอยู่ในอายตนะนิพพานนั้น

ผู้เฒ่า Alan ถึงกับน้ำตาไหลด้วยความปลื้มปีติที่ได้พบของจริงในพระพุทธศาสนา

แชร์เลย

Comments

comments

Share: