อานิสงส์บวช

http://www.84000.org/anisong/index.shtml

08 อานิสงส์บวช

…บวชนี้ย่อมมีผลานิสงส์อย่างมากมาย องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสเทศนาอานิสงส์แห่งการบรรพชาอุปสมบทไว้โดยอเนกประการว่า ทาสสฺส อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลใดมีศรัทธาบรรพชาทาสกรรมกรให้เป็นสามเณร หรือสามเณร มีอานิสงส์ ๔ กัล์ป บวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณี มีอานิสงส์ ๘ กัล์ป และถ้าอุปสมบทจะได้รับอานิสงส์ ๑๖ กัล์ป หากอุปสมบทได้อานิสงส์ ๓๒ กัล์ป ถ้าอุปสมบทตนเองในพระพุทธศาสนา ด้วยศรัทธาเลื่อมใสจะได้อานิสงส์ถึง ๖๔ กัล์ป บุคคลใดได้บรรพชาบุตรตนก็ดี บุตรของผู้อื่นก็ดี ก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิแล้วพระองค์ตรัสอีกว่าดูกรอานนท์ดังจะเห็นได้จากหญิงผู้หนึ่ง เขามีบุตรอยู่คนเดียว บุตรชายเขาขอไปบวชมารดาก็ไม่ให้บวชบุตรชายจึงหนีไปบวช อยู่มาวันหนึ่งมารดาของสามเณรนั้นออกจากบ้านไปแต่เช้า เพื่อจักแสวงหาฟืน มารดาสามเณรครั้นหาฟืนได้พอสมควรแล้วก็กลับบ้าน พอมาถึงระหว่างทางได้พักอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ แล้วลงนอนพักผ่อนก็หลับไป ได้นิมิตรฝันไปว่ามีพระยายมราชมาถามว่า ดูกรผู้หญิง เธอได้กระทำบุญหรือว่าไม่ได้กระทำเลย มารดาของสามเณรนั้นตอบว่าข้าแต่เจ้า ดิฉันไม่ได้กระทำบุญอย่างไรเลย พระยายมราชทราบแล้ว ก็จับเอาผู้หญิงนั้นไปใส่นรกทันที ได้และเห็นไฟนรกลุกโพรงก็ถามพระยายมราชว่า อันไฟแดงนั้นเป็นอย่างไร พระยายมราชว่า อันไฟแดงนั้นเป็นไฟนรก ผู้หญิงจึงบอกว่าเหมือนกับผ้าจีวรของลูกชายของข้าพเจ้าอันได้บวชเป็นสามเณรนั้นแล พระยายมราชจึงกล่าวว่าดูกรผู้หญิง ลูกชายของเธอยังได้บวชหรือนางก็ตอบว่าลูกชายยังได้บวชเป็นสามเณรอยู่พระยายมราชได้ยินคำของนางดังนั้นแล้ว จึงนำนางมาคืนไว้เดิมเสีย เหตุอันนี้ก็เพราะบุญของลูกชายตนได้บวชเป็นสามเณร ในพุทธศาสนาไปกั้นไว้ในนรกได้ ครั้นนางตื่นขึ้นมาก็ตกใจกลัวรีบกลับบ้าน ตั้งแต่นั้นนางก็เลื่อมใสในพุทธศาสนา เฝ้าปฏิบัติสามเณรลูกชายของตน มิได้ขาดจนนางได้ตายไปตามอายุขัยก็ไปบังเกิดในสวรรค์ดั้งนี้ เป็นต้น

—————————————————————————
จากหนังสือ มหาอานิสงส์ ๑๐๘ กัณฑ์   (บางส่วน)

การบวชลูกหลานทาสาทาสีสามีภรรยาของตน  ให้เป็นภิกษุ  ภิกษุณี  สามเณร  สามเณรี  ในพระพุทธศาสนานั้น  จัดได้ว่าเป็นญาติในพระศาสนาข้อนี้ปรากฏตามข้อความสนทนาระหว่างพระเจ้าศรีธรรมาโศการาช  เรื่องมีว่า  พระองค์ทรงเป็นผู้ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก  ได้บริจาคทรัพย์สร้างวิหารเจดีย์ถึง  ๘๔,๐๐๐  แล้ว  ได้ไปตรัสถามพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระว่า  ” โยมสละทรัพย์ในการก่อสร้างเจดีย์วิหาร  ๙๖ โกฏิแล้วจัดได้ว่าเป็นญาติในพระพุทธศาสนาแล้วหรือยัง ?  พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระถวายพระพรว่า  ” ยังไม่เป็นญาติในพระศาสนา  เป็นแต่เพียงคนเลื่อมใสได้บำรุงพระศาสนาเท่านั้น ”  พระเถระกล่าวต่อไปว่า  ” ผู้ใดเป็นคนจนหรือคนร่ำรวยก็ตามที  ถ้าได้มีศรัทธาบวชลูกหลาน  ทาสาทาสี  สามีภรรยา  ไว้ในพระพุทธศาสนา  ผู้นี้แหละเรียกว่าเป็นญาติในพระพุทธศาสนา  จึงในเวลาต่อมา  พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้บวชเจ้ามหินทกุมาร  และนางสังฆมิตตา  ผู้เป็นโอรสราชธิดาไว้ในพระพุทธศาสนา  พระเถระเจ้าจึงซ้องสาธุการแด่พระมหากษัตริย์ว่า  ” บัดนี้พระองค์ได้เป็นญาติในพระพุทธศาสนาแล้ว “

แชร์เลย

Comments

comments

Share: