เล่าเรื่องหลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดินแห่งบ้านละลม โดย หลวงตาอู๋ 22 ก.ย. 2560 หลวงปู่สรวงท่านชอบพักอยู่ในเขตรอยต่อระหว่าง อ.ขุขันธ์ (จ.ศรีษะเกษ) และ อ.ภูสิงห์ ท่านมักจะย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ แต่ก็จะอยู่ในละแวกแถบนี้ การจะไปกราบท่านต้องสอบถามจากชาวบ้านในแถบนั้นว่าขณะนี้หลวงปู่ไปพักอยู่ตรงไหน หาท่านไม่ยากเพราะคนในแถบนั้นรู้จักหลวงปู่สรวงเป็นอย่างดีว่าท่านเป็นพระอภิญญาอันเป็นที่รักของชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายของชาวเขมรโดยมักเรียกท่านกันว่า “หลวงตาเบ๊าะ” หรือหลวงตาดาบสในภาษาไทย บางคนก็บอกว่าจุดที่ท่านอยู่นั้นแท้จริงต้องเรียกว่า ต.กวัน อ.บัวเชต จ.สุรินทร์ จุดเรียกที่อยู่ของท่านบอกยากเพราะท่านอยู่ในทุ่งนาที่กันดาร มองดูไม่รู้ว่าเขตไหนเป็นเขตไหน แต่ก็หาไม่ยากเพราะที่ๆ ท่านอยู่จะไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนกับบ้านของชาวบ้านเลย เพราะมีธงบ้าง ผ้าจีวรมากางขึงบ้าง มีเสาไม้ไผ่ผูกว่าวไว้ที่ปลายเสาบ้าง ฯลฯ เชื่อกันว่าท่านจบวิชา “ธาตุวัชระ” จากหลวงปู่เทพโลกอุดร ทำให้ท่านมีอายุยืนยาววันหนึ่งอยู่ๆ ท่านก็เอามือไปจับอกของภรรยาของเจ้าของที่นาที่ท่านมาพำนักอยู่นี้ ทำให้เธอตกใจมาก แต่ต่อมาโรคมะเร็งทรวงอกขั้นที่ 3 ที่เธอเป็นอยู่กลับหายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งๆที่หมอจากโรงพยาบาลยืนยันว่าเธอเป็นมะเร็งที่อกและหมอก็ได้นัดแนะเตรียมการผ่าตัดไว้ให้แล้ว ข้าพเจ้า (อู๋) ได้คุยกับสามีของเธอก็ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เจ้าของที่นาท่านนี้ชื่อว่าลุงตง ส่วนภรรยาของท่านที่เป็นมะเร็งอกชื่อป้าแน๊ตหลวงพ่อบุญเรน จันทวังโส วัดบางน้ำผึ้งนอก อ.พระประแดง กทม. ท่านเล่าว่ารู้จักกับหลวงปู่สรวงตั้งแต่ท่านยังเป็นเด็ก เพราะท่านเกิดที่จ.บุรีรัมย์ ห่างจากที่หลวงปู่สรวงอยู่ราว 10 กม. เท่านั้น ตอนนี้ท่านก็แก่แล้วแต่หลวงปู่สรวงท่านก็ยังเหมือนเดิมไม่แก่ขึ้น ยังคงแก่เหมือนกับตอนที่ท่านยังเป็นเด็ก ชาวบ้านก็รู้เรื่องนี้ดีว่าหลวงปู่ท่านไม่ยอมแก่ คนในหมู่บ้านแก่ตายไปไม่รู้เท่าไหร่แต่หลวงปู่ก็ยังแก่เท่าเดิม หลวงปู่ทำอะไรแปลกๆ ไม่เหมือนใคร ฉันก็ไม่เป็นเวลานึกจะฉันก็ฉันเลยหรือไม่ก็ไม่ฉันเลยเป็นเวลานานๆ บางคนไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจึงไปถามกับหลวงปู่ว่าหลวงปู่ไม่ฉันข้าวหลายๆ วันได้จริงหรือ ท่านก็จะเดินไปที่ดินทรายแล้วเอามือกอบดินทรายแบ่งเป็น 2 กอง หันไปถามคนพูดว่ามากินกันคนละกองไหม ฉันกองนี้เธอกองนี้ ว่าแล้วท่านก็กอบดินทรายหยิบเข้าปากเคี้ยวเหมือนได้ฉันข้าวหน้าตาเฉยพระผู้ปกครองวัดในเขตอำเภอนั้นรู้เรื่องต่างๆ ที่ท่านไม่ค่อยเคร่งครัดอยู่ในวินัยจึงให้คนนำท่านมาที่วัดเตรียมจะสึกท่านในวันรุ่งขึ้น คืนนั้นจึงให้ท่านจำวัดในโบสถ์ ปรากฏว่าพระเณรต่างไม่ได้นอนเลยเพราะปรากฏแสงสว่างขึ้นเองในโบสถ์ และมีแสงเป็นลำพุ่งจากหลังคาโบสถ์ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน รุ่งเช้าพระผู้ปกครองรูปนั้นถึงกับเข้าไปกราบขอขมาลาโทษกับท่าน ไม่กล้าสึกท่าน ทั้งยังเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยะบุคคลแล้วอีกด้วย ข้าพเจ้า (อู๋) เคยนั่งในรถเก๋งมิตซูบิชิรุ่นแชมป์ ที่เจ้าของศรัทธาหลวงปู่สรวงมาก และขอให้หลวงปู่ปัสสาวะใส่ในรถเพื่อเป็นสิริมงคลโดยที่เจ้าของบอกว่าตั้งแต่ให้ท่านปัสสาวะก็ไม่เคยล้างภายในรถเลย แต่ปรากฏว่ากลับไม่มีกลิ่นฉุนของปัสสาวะ เป็นเรื่องน่าแปลกแต่ก็เป็นเรื่องจริง ผมเองก็ยังได้นั่งในรถคันนั้นตรงที่หลวงปู่ปัสสาวะรดไว้นั่นแหละ ขอรับรองว่าไม่มีกลิ่นจริงๆ แถมหลวงปู่สรวงยังได้เขียนภาษาเขมรอะไรไม่รู้โดยใช้ปากกาเมจิสีน้ำเงินเขียนไว้เต็มเพดานหลังคารถ เจ้าของรถก็นึกว่าหลวงปู่เขียนยันต์ไว้ให้ ต่อมานำไปให้คนที่อ่านภาษาเขมรได้อ่านให้ฟัง ปรากฏว่ากลายเป็นเลขหวยที่หลวงปู่เขียนไว้ให้จำนวน 12 งวด เอาไปซื้อถูกหวยรวยจนหมดหนี้หมดสินเลย ถ้าหลวงปู่สรวงเลือกไปนั่งรถคันไหน ชาวบ้านก็จะพากันวิ่งกรูตามหลวงปู่ไปติดๆ เพื่อไปจดเลขท้าย 2 ตัวของรถคันนั้นเพื่อเอาไปแทงหวย ตัวผมเองก็ตามไปจดกับเขาเหมือนกัน งวดนั้นผมเองเลยถูกหวยเลขท้าย 2 ตัวพร้อมๆ กับชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน (นานๆ ผมจะถูกหวยกับเขาเสียทีเพราะไม่ค่อยได้ซื้อ) เลขหวยที่ออกจะถูกตรงๆ ไม่ต้องกลับให้เสียเวลา หลวงปู่นั่งรถคันไหนก็ซื้อเลขท้ายของรถคันนั้นได้เลย การขับรถตามท่านก็จะวิ่งตามกันเป็นขบวน แต่ต้องมีเทคนิคว่าเวลาขับตามท่านต้องขับให้ชิดติดรถของท่านอย่าให้มีระยะห่าง เพราะท่านชอบใช้วิชาย่นระยะทาง ถ้าเราขับตามห่างหน่อยแล้วมีช่วงที่เรากระพริบตา รถท่านจะหายไปเลย โน่น…ท่านไปอยู่อีกอำเภอแล้ว บางครั้งท่านก็ให้จอดรถคอยพวกที่วิ่งตาม พอไปทันกันก็ต่อว่าคนขับรถให้ท่านว่าทำไมขับรถไม่รอกันเลย เขาก็บอกว่าผมขับแค่ 120 เท่านั้น แต่คนขับตามท่านเหยียบไปที่ 140-150 ก็ยังตามท่านไม่ทัน ชนิดวิ่งอยู่ดีๆ พอหลุดโค้งรถท่านก็หายแว๊บไปกับตาครั้งหนึ่งขณะที่ผม (อู๋) ได้เข้าไปกราบหลวงปู่เพื่อลาท่านกลับ ได้กำหนดจิตคิดในใจขอให้ท่านเป่ากระหม่อมให้ หลวงปู่สรวงท่านนั่งอยู่บนแคร่ไม้ ส่วนผมนั่งอยู่กับพื้นทำให้อยู่ห่างจากท่านประมาณ 2 เมตร ท่านทำเหมือนไม่ได้สนใจผมเลย คือนั่งนิ่งหันหน้าไปอีกทาง แต่ขณะที่ผมก้มลงกราบท่านปรากฏว่าได้มีกระแสไอเย็นเฉียบเป็นลำแท่งเท่ากับท่อนซุงพุ่งเข้าใส่ที่กลางกระหม่อม แล้วพุ่งเข้ากลางลำตัว ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งเงยหน้ามองท่าน แต่ท่านก็ยังคงนั่งในท่าเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมจึงกำหนดจิตกล่าวขอบพระคุณท่านในใจและยังคงจดจำได้จนถึงทุกวันนี้ ที่จริงผมเคยได้รับการเป่ากระหม่อมจากพระดังๆ มาก็มากแทบจะทั่วประเทศ แต่มีเพียงหลวงปู่สรวงเท่านั้นที่เป่าแล้วเย็นเข้าไปถึงในลำตัวทั้งๆ ที่ท่านนั่งห่างออกไปเกือบ 2 เมตร และไม่ได้หันหน้ามาทางผมด้วยซ้ำ นับเป็นความภูมิใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเพราะเท่าที่ทราบยังไม่เคยมีใครได้รับการเป่ากระหม่อมแบบที่ผมเคยได้รับแบบนี้มาก่อน แม้แต่ลูกศิษย์ที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดกับท่านก็ตาม
Posted in พระเกจิอาจารย์, หลวงตาอู๋