ประวัติหลวงปู่ชื้น
วัดญาณเสน ต.ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
หลวงปู่ชื้นเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดญาณเสน เจ้าตำราเคล็ดวิชา
อันลือลั่น “พระรัตนจักร “ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านไสย
ศาสตร์วิชาอาคมและแพทย์แผนโบราณโดยนำความรู้ทุกแขนงมาช่วยปัด
เป่าทุกข์ให้กับชาวเมืองกรุงเก่าจนเป็นที่เคารพเลื่อมใสในความมีเมตตา
ธรรมอันสูงส่งนอกจากนี้ ยังมีวัตถุมงคลขลังที่มากด้วยประสบการณ์ ด้าน
เมตตา แคล้วคลาด นับเป็นพระดีศรีอยุธยา อีกรูปหนึ่งที่ชาวเมืองกรุงเก่า
ภาคภูมิใจยิ่งนัก
พื้นเพของท่านเป็นชาวหมู่บ้านไฝต่ำ อ.หนองแค จ.สระบุรี นามเดิมว่า
เกิดเมื่อวันพุธ เดือน 4 ปีมะแม ตรงกับวันที่ 18 มีนาคม ในตระกูลของ
นายจันนางหงิม สกุล ยอดฉิม” ซึ่งประกอบอาชีพทางการเกษตร เบื้องต้น
ได้ศึกษาเล่าเรียนที่วัดเกาะลอย ซึ่งอยู่ในหมู่บ้าน
จากนั้นเมื่ออายุ15 ปี ก็บรรพชาเป็นสามเณรจนถึงอายุ 18 ปี ก็ลา
สิกขาบทออกมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนาอยู่ประมาณ 3 ปีภายหลังจึง
เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดเกาะลอย ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2470
โดยมีหลวงพ่อยอด วัดหนองปลาหมอ จ.สระบุรีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่ง
เมืองสระบุรีเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการมาด วัดหนองแคเก่าเป็นพระ
กรรมวาจาจารย์ พระอธิการทองดี วัดเกาะลอย เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ได้รับฉายาว่า พุทธสโร ท่านเป็นพระที่ขยันหมั่นเพียรในการเรียนพระ
ปริยัติธรรมจนกระทั่งพรรษาที่ จึงสอบได้นักธรรมตรีก่อนที่จะตัดสินใจ
เลิกเรียนทางด้านนี้เบนเข็มทิศไปหาความรู้ทางด้านไสยศาสตร์วิชาอาคม
จากครูบาอาจารย์วัดเกาะลอยซึ่งทั้งวิชาไสยเวทย์และแพทย์แผนโบราณ
เมื่อมีความรู้รักษาตนเองได้จึงออกธุดงค์บำเพ็ญเพียรเสาะหาพระเกจิ
อาจารย์เพื่อร่ำเรียนวิชาอาคมอย่างต่อเนื่องได้ออกเดินทางจากจังหวัด
สระบุรีเรื่อยมาจนถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและมาหยุดจำพรรษาที่วัด
ญาณเสนในปัจจุบันนี้
ณ อารามแห่งนี้ท่านได้ศึกษาวิชาไสยศาสตร์ โหราศาสตร์และวิชาเล่นแร่
แปรธาตุกับพระอาจารย์สาย หรือขุนโจรย่ามแดงในอดีต ได้อยู่จำพรรษา
ตั้งแต่นั้นมาโดยพึงพอใจกับวิชาความรู้ที่ช่วยสงเคราะห์ญาติโยมที่มาให้
ท่านช่วยปัดเป่าบรรเทาความเดือดร้อนอยู่หลายปีด้วยกัน ช่วงเวลานั้นชื่อ
เสียงของพระอาจารย์สายและพระอาจารย์ชื้นเป็นที่ร่ำลือถึงความเข้มขลัง
และศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าใครจะเป็นอะไรมาท่านทั้งสองจะช่วยสงเคราะห์ได้หมด
ชื่อเสียงขจรไกลถึงกรุงเทพฯซึ่งขณะนั้นได้มีเศรษฐีผู้หนึ่งได้เกิดเป็นโรค
เหน็บชา รักษาอย่างไรก็ไม่หายยาไทยยาเทศกี่ขนานก็เอาไม่อยู่ เมื่อล่วงรู้
เกียรติศักดิ์ของหลวงพ่อชื้นจึงเดินทางมาให้ท่านรักษา ท่านเสกไพรไป
ให้ทานปรากฏว่าหายเป็นปลิดทิ้งเขาจึงกราบเรียนท่านไปจำพรรษาอยู่ที่
วัดแค นางเลิ้ง (วัดสุนทรธรรมทาน) กรุงเทพฯพร้อมถวายตัวเป็นโยมอุ
ปัฎฐาก แต่เมื่อท่านไปปรึกษากับพระอาจารย์สายได้รับเหตุผลและแง่คิด
มากมาย จนทำให้ต้องบอกปฏิเสธไปต่อมาพระอาจารย์สายได้ลาสิกขาบท
ออกไปทำให้หลวงปู่ชื้นต้องอยู่อย่างลำพังต้อนรับญาติโยมที่นับวันจะมาก
ขึ้นทุกวันจึงเริ่มเบื่อหน่ายในวิชาไสยศาสตร์และคาถาอาคมทำให้ร่างกาย
และจิตใจของท่านเกิดความร้อนรุ่ม
ประกอบกับมีข่าวเกี่ยวกับพระภิกษุรูปหนึ่งมาปลักกลดอยู่ที่หน้าวัดกุฎี
ทองมีญาติโยมขึ้นกันมากมาย ปฏิปทาของพระอาจารย์รูปนั้นเป็นที่โจษ
ขานกันมากโดยในวันพระจะไม่พูดกับใครเลยและจะไม่ฉันอาหารใดๆ
ทั้งสิ้นส่วนวันธรรมดาก็จะพูดน้อยมาก อัฐบริขารก็จะมีเพียงกลด จีวร
และรองเท้าเก่าๆส่วนในย่ามก็มีเพียงกะลาสำหรับเป็นภาชนะใส่ข้าวและ
ช้อนที่ทำจากกะลาเท่านั้นมารู้ภายหลังว่าพระอาจารย์รูปนั้นคือ พระ
อาจารย์เสน เตชธัมโม” ธุดงค์มาจากอ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา หลวงปู่ชื้น
จึงไม่รีรอที่จะเข้าไปใกล้ชิดเพื่อสัมผัสและพิสูจน์ตามคำโจษขานนั้น และ
ได้รับคำทักท้วงว่า ท่านเดินผิดทางแล้วพระอาจารย์เสนย้ำอยู่อย่างนี้
หลายครั้งหลายหน จนท่านนำคำพูดนั้นมาทบทวนและค่อยใช้สติสมาธิ
พิจารณาถึงความหมาย จนกระทั่งพบข้อเท็จจริงแห่งสัจธรรมทั้งสองท่าน
ก็ปรารถณาเป็นศิษย์-อาจารย์กัน ทบทวนศีล พระธรรมวินัยต่างๆโดย
หลวงปู่ชื้นได้นำตำราไสยศาสตร์วิชาอาคมต่างๆที่เล้าเรียนมาตั้งแต่ต้น
เผาทิ้งจนหมดสิ้นจึงกลับมาปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดกับพระอาจารย์
เสนพร้อมทั้งนิมนต์ให้ผู้เป็นอาจารย์มาจำพรรษาที่วัดญาณเสนจาก
ปฏิปทาที่เปลี่ยนแปลงไปของท่าน จึงมีเสียงครหาไปในทางไม่สู้ดีแต่ท่าน
ก็ไม่สนใจยังคงมุ่งหน้าที่จะมุ่งปฏิบัติต่อไปจนถึงขั้นอุกฤษฎ์ใต้ต้นโพธิ์
ข้างโบสถ์เป็นเวลา 1 เดือน ด้วยการนั่งสมาธิตลอดเวลา ยกเว้น เวลาฉัน
ปัสสาวะและขับถ่ายเท่านั้นชั่วเวลาเพียง 24 วัน จากการเริ่มปฏิบัติท่าน
ก็สำเร็จสุดยอดวิชารัตนจักรพร้อมกันนั้นท่านก็ถูกร้องเรียนไปทางคณะ
สงฆ์จังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้พิจารณาในปฏิปทาที่เพี้ยนๆเป็นต้นว่า
ชอบอยู่อย่างสมถะ สันโดษ ข้าวของที่ญาติโยมนำมาถวาย ใครจะหยิบ
อย่างไรก็ไม่ห้ามปรามหมู หมา กา ไก่ ฯลฯจะมาอยู่ในวัดสร้างความ
สกปรกอย่างไรท่านก็วางเฉยไม่ดำเนินการใดๆทั้งสิ้น จึงมีมติให้ปลดท่าน
จากการเป็นเจ้าอาวาสหลวงปู่ชื้นท่านก็มิได้อนาทรร้อนใจใดๆทั้งสิ้น
เพียงขอทางคณะสงฆ์ว่าการตั้งเจ้าอาวาสให้ตั้งจากพระที่มาจากวัดญาณ
เสนเท่านั้นในความรู้สึกของชาวบ้านและญาติโยมทั่วไปก็ยังคงเคารพ
นับถือหลวงปู่ชื้นไม่มีเสื่อมคลายในวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื้นที่ผ่านการ
อธิษฐานจิตจากท่านหลวงปู่จะอัญเชิญพระรัตนจักรมาสถิตในวัตถุมงคล
นั้นๆเสมอ
ต่อไปนี้คือข้อมูลซึ่งอ้างอิงมาจากหนังสือ พุทธคุณ ปี 2545
ผู้เขียนรู้จักหลวงปู่ชื้นเมื่อประมาณ 6-7 ปีก่อน ตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 20 ปี
เป็นพวกชอบตามล่าหาเกจิอาจารย์ ให้ท่านเป่าหัวบ้าง จารแผ่นจารบ้าง
สุดแท้แต่ท่านจะเห็นควร ใครว่าองค์ไหนเก่ง องค์ไหนดีก็ตามไปกราบ
ตามไปขอของดีพวกวัตถุมงคลต่าง ๆ เจอองค์ไหนดุหน่อยก็โดนเอ็ด โดน
ว่ากัน แต่ก็ยังไม่เคยเข็ด ที่ผู้เขียนได้รู้จักหลวงปู่มาจากพระอาจารย์ท่าน
หนึ่งท่านพระของวัดป่า สายของหลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านพาไปกราบ
ท่านบอกว่าองค์นี้เก่ง เราก็ไม่รู้ว่าเก่งยังไง แบบไหน ไม่เห็นดังเลย คือไม่
เคยได้ยินชื่อหลวงปู่ชื้นเลยตอนนั้นพระอาจารย์ก็บอกว่าองค์นี้ดังเงียบ (
ไม่เปิดตัว) เราก็ตกลงไปกราบท่าน แค่บอกว่าท่านเก่งก็ไปแล้ว
เข้ากราบหลวงปู่ครั้งแรกก็เห็นท่านเป็นพระชรารูปหนึ่ง ขอท่านเป่าหัว
ท่านก็ทำให้ ขอท่านจารแผ่นทองท่านก็ทำให้ ขอท่านเสกท่านเป่าท่านก็
ทำให้ ตอนนั้นก็ยังเฉย ๆ อยู่ เพราะยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก มาคิดได้
ตอนหลังว่าถ้าไม่ใช่เพราะท่านเมตตามากแล้ว ท่านคงไม่หอบสังขารอัน
ชราภาพมากแล้วมาทำให้ไอ้พวกเด็ก ๆ พวกนี้หรอก ทำให้ก็แทบจะไม่
ได้อะไรเลย นับเป็นครั้งแรกที่เจอหลวงปู่
พอผู้เขียนเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ชื้นบ่อยขึ้น
เพราะต้องขับรถผ่านอยุธยาบ่อยประกอบกับเป็นคำสั่งของครูบาอาจารย์
ให้ไปกราบหลวงปู่กอง วัดสระมณฑล ให้ไปทำบุญกับปลวงปู่กองให้มาก
เลยได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ชื้นด้วย เพราะวัดอยู่ใกล้กัน ช่วงนั้นหลวง
ปู่ชื้นเริ่มอาพาธเข้ากราบท่านแต่ละครั้งต้องพูดเสียงดัง ๆ และย้ำให้ท่าน
จำได้ เพราะความจำท่านหลงลืม เหมือนคนแก่ทั่ว ๆ ไป ทำให้ผู้เขียนเกิด
ความสงสัยว่าทำไม ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว มีอภิญญา มี
ความสามารถมาก ทำไมเกิดหลงลืมได้ สุดท้ายก็ต้องกลับไปถามครูบา
อาจารย์ ท่านก็เมตตาเฉลยให้ฟังว่า เวลาเราไปกราบพระเถระบางรูป
ท่านทำท่าเหมือนคนบ้า ๆ บอ ๆ ไม่เต็มบาท หรือเลอะเลือนไป พูดจาไม่รู้
เรื่องเป็นพระห้ามลบหลู่ท่านเด็ดขาดจะเป็นบาปมากแก่เรา เพราะท่าน
ฝึกฝนปฏิบัติมานาน ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จิตท่านบริสุทธิ์ แต่สังขาร
ท่านไม่เที่ยงมีความเสื่อมไป สักญญาก็ไม่เที่ยง (สัญญา ความจำได้หมาย
รู้) มีความเสื่อมไป ถ้าหากมันเที่ยงแท้ก็ผิดกับคำสอนของพระพุทธเจ้านะสิ
ถึงบางอ้อละทีนี้ ก็เลยได้เข้ากราบหลวงปู่ชื้นอย่างสบายใจ พ.ศ. 2542
หลังจากเดินทางไปกราบครูบาชัยวงศาพัฒนา ได้เข้ากราบหลวงปู่ชื้นกับ
เพื่อนรุ่นพี่คือ คุณน.นันทวิจิตร ขณะเดินทางไปเกิดความสงสัยอยากรู้
เกี่ยวกับหลวงปู่ชื้นว่าที่ท่านเก่งน่ะ ท่านอยู่ระดับไหนแล้ว ช่วงเดินทางก็
คิดอยู่ในใจว่าถ้าถามหลวงปู่ตรง ๆ คงไม่ตอบ เผลอ ๆ นิ่งเงียบหรือไม่ก็
โดนสวดยาวแน่เลย เลยคิดคำถามก็คุยกับคุณพี่ไปว่าน่าจะดีไหม ก็ตกลง
กันได้คำถามที่คิดว่าไม่โดนหลวงปู่สวดแน่ แต่จะตอบหรือไม่นั้นก็ไม่แน่
ก็ลองเสี่ยงดู
เข้ากราบหลวงปู่ ถวายสังฆทาน 10 โมงครึ่งทันเวลาไม่มีคนอยู่รบกวน มี
แต่คณะของผมที่กวนหลวงปู่อยู่ท่านก้ยิ้มแย้มแจ่มใส เมตตามาก พูดคุย
กันรู้เรื่องทุกอย่าง ทำให้แปลกใจว่า มาช่วงก่อนหลวงปู่ยังหลงอยู่เลย แต่
ครั้งนี้คุยรู้เรื่องทุกอย่าง ความจำดีมากพวกเราเลยได้ที่ชวนหลวงปู่คุย
ถามข้อข้องใจต่าง ๆ
หลวงปู่ครับ หลวงปู่สักด้วยเหรอครับ (ท่านก็โชว์รอยสักที่ข้อแขน)
สักสมัยเป็นหนุ่ม แล้วมีฉายาฉัน อุปัชฌาย์ (อีกชื่อผู้เขียนจำไม่ได้) สัก
กลับวัดมาโดนอุปัชฌาย์บ่นว่าสักทำไม
หลวงปู่รู้จักครูบาวงศ์ไหมครับ ที่อยู่ที่ลำพูนนะครับ องค์นี้เป็นโพธิสัตว์
ครับ
ไม่รู้จักหรอก (ท่านก็ชี้รูปข้างหลังให้ดู) นี่อาจารย์ฉัน เป็นโพธิสัตว์มี
กระดูกแขนท่อนเดียว
ครับ หลวงปู่รู้จักหลวงปู่กอง วัดสระมณฑลไหมครับ
ตากองน่ะรู้จัก
หลวงปู่ครับ ทำไมพระของหลวงปู่ถึงมีพระ 3 องค์ มีจักรด้วย หมายถึง
อะไรครับ (เรียกรัตนจักร)
พระ 3 องค์ คือ พระรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จักรคือ
อำนาจ
หลวงปู่ครับ พระรัตนตรัยมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วพระ
ปัจเจกพุทธะ รวมอยู่ในพระรัตนตรัยหรือเปล่าครับ
แยกอีกพวกหนึ่ง
สมัยนี้พระปัจเจกพุทธะ จะยังมีอยู่มาถึงสมัยนี้หรือเปล่าครับ
มี พวกนี้เหาะได้นะ (พูดแล้วยิ้ม) เมื่อก่อนเคยเห้นเป็นผู้หญิงเหาะมาอยู่
ตรงหน้าวัด ฉันอยู่ตรงนี้เห็นเหาะมาแต่เขาไม่เข้ามาในวัดนะ
หลวงปู่ปรารถนาพุทธภูมิหรือปรารถนาพ้นทุกข์ครับ
พ้นทุกข์
ถ้าหลวงปู่ตายแล้ว หลวงปู่จะกลับมาเกิดอีกหรือเปล่าครับ
ไม่กลับมาแล้ว (พร้อมส่ายหัว)
หลวงปู่ครับ บุคคน 8 จำพวก หลวงปู่ได้ครบหรือยังครับ
หา (ฟังไม่ได้ยิน หรือไม่เข้าใจก็ไม่ทราบ)
ครับ (เสียงดัง) อริยะบุคคล 8 จำพวก หลวงปู่ได้ครบหรือยังครับ (แอบ
เปลี่ยนคำถาม)
ได้ครบแล้ว (พยักหน้า)
อิ่มใจเลยทีนี้ได้สร้างมหาบุญกับพระอรหันต์ขีนาสพแล้วโดยไม่รู้ตัว หาย
สงสัยเลยทีเดียวที่ว่าเก่งแบบไหนนะ ไม่มีสงสัยอีกแล้ว ตอนนี้ก็จะเอาบุญ
กับท่านท่าเดียว ถ้าใครสงสัยในคำพูดของหลวงปู่ละก็เชิญโทรถาม คุณ
น.นันทวิตร ได้เลยครับ เพราะไปฟังมาด้วยกัน ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้ว
แต่นะครับ แต่สำหรับผมเชื่อเต็มร้อย สำหรับด้านอภินิหารต่าง ๆ นั้นของ
หลวงปู่ไม่ค่อยอยากเขียน เพราะมีมากที่เจอกับตัวเอง ขอบอกแต่ว่า
กระแสบารมีของหลวงปู่สว่างไสวมากครับ เขียนไปสู้ได้เห็นกับตัวเองไม่
ได้
ตอนนี้หลวงปู่อายุ 96 แล้ว สังขารชราภาพมากแล้ว ใครอยากทำบุญกับ
ท่านต้องรีบนะ สังขารมันไม่เที่ยงนะ แต่เตือนท่านที่จะไปว่าให้เข้ากราบ
ตอนเวลา 08.00 น. – 11.00 โมงเช้า ให้ตรงเวลานะครับ หลังจากนั้น
หลวงปู่จะพักผ่อน ถ้าฝืนก้ต้องเสี่ยงดวงนะครับ
นี่คือบันทึกประสบการณืกราบพระอริยเจ้าของ “คนรุ่นใหม่” ท่านหนึ่ง
ด้วยสำนวนที่ใสบริสุทธิ์และจริงใจ น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง แต่หากว่าใคร
อยากจะได้ ที่มาด้วยคุณธรรมและคุณวิเศษ ที่เพียบพร้อมด้วยมหาบารมี
อันหนักแน่นปานภูผามาการันตีตอกย้ำจิตใจแห่งศรัทธาให้ปักลึกลงที่
กลางใจจนสุดขั้วเพิ่มเติมอย่างแท้จริงแล้วงานนี้ก้ไม่มีผิดหวังด้วยเช่นกัน
ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.
พระนครศรีอยุธยา ผู้เป็น”สายตรง” ในหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
พระมหาโพธิสัตว์เจ้าอันเกรียงไกร ยังดำรงสังขารอยู่ก็ได้มีลูกศิษย์จากเขต
อ.วังน้อย ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดท่านหนึ่งได้กราบเรียนถามหลวงปู่พรหม
ปัญโญอย่างตรงไปตรงมาที่สุดว่า
“หลวงปู่ครับ ….หากว่าหลวงปู่มรณภาพจากไปแล้ว พวกกระผมจะไป
กราบพระที่ไหนเป็นครูบาอาจารย์ต่อไปดีขอรับ…..????
เมื่อได้ฟัง หลวงปู่ดู่ก็ได้เมตตาวิสัชนาไปในทันใดว่า
“เออ….งั้นให้พวกแกไปกราบ “พี่ชื้น” ที่วัดญาณเสนแทนเถอะ ท่านเป็น
พระดีนะ…..”
นอกจากนี้….การันตีจากหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
ที่เคยเอ็ดเอากับชาวอยุธยาหลังวัดญาณเสนคนหนึ่งว่า “ใกล้เกลือกินด่าง”
ด้วยเหตุที่ “ตาหมากขามขี้” (สำนวนหลวงปู่ชอบ ฐานสโม อันมีความ
หมายว่า “ตาไม่ถึง”) ด้วยเดินผ่านกุฏิหลวงปู่ชื้นอยู่เป็นกิจวัตร กลับไม่รู้อิ
โหน่อิเหน่ว่ามี “เพชรแท้” อยู่หน้าบ้านตัวเอง แต่กลับแล่นไปกราบหลวง
ปู่แหวน ซึ่งอยู่ห่างไปตั้งหลายร้อยกิโลเมตรก็ดี หรือกรณีที่หลวงพ่อคูณ
ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ที่ได้ถวายอนุดมทนาสาธุการยัง
หลวงปู่พุทธสโร ว่า “ท่านเป็นพระดีนะ…” พร้อมกับแนะนำให้ทั้งพระทั้ง
โยมไปกราบอยู่เป็นหลายวาระก็ดี ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ทุก ๆ
ท่านมั่นใจได้อย่างสิ้นสงสัยว่า ท่านนั้นกราบพระไม่ผิดองค์เป็นแน่นอน
แล้วจริง ๆ ….
ข้อมูลประวัติ หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน ต.ท่าวาสุกรี พระนครศรีอยุธยา
เมื่อก่อนปี พ.ศ. 2500 ที่วัดญาณเสน ต. ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มีพระอาจารย์ผู้เรืองวิชารูปหนึ่ง ชื่อ หลวงพ่อชื้น พุทธสโร ช่วยเหลือชาวบ้าน รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยน้ำพระพุทธมนต์ มีชื่อเสียงมากในทางแก้คุณไสย ป้องกันภูตผีปีศาจ ถูกกระทำ โรคกรรมเก่า โรคจิตวิปริต จิตฟุ้งซ่าน คลอดลูกไม่ออก พ่นตาแดง รักษาฝี ฯลฯ
เมื่อหลวงพ่อชื้นเสกน้ำมนต์ ให้ดื่มกินก็ปรากฏว่าหายวัน หายคืน เป็นไปอย่างน่าประหลาด เหล่าภูตผี เจ้าที่หรือวิญญาณที่มีสิงสู่ในตัวตน เมื่อรู้ว่ามีผู้นำน้ำพุทธมนต์เสกของ หลวงพ่อชื้น มา ก็รีบหนีไปผุดไปเกิดทันที จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วตลาดหัวรอ ตลาดเจ้าพรหม
ผู้ทีชอบทางค้าขายหลวงพ่อก็จะเสกธะนางกวักเรียกคนเข้าร้านให้
ผู้ที่ชอบทางโลดโผน ผจญภัย เป็นรั้วของชาติ ท่านก็สร้างตะกรุดโทนแจกให้
เล่นแร่แปรธาตุ
ในสมัยนั้นบรรดาเกจิอาจารย์นิยมเล่นแร่แปรธาตุ โดยนำโลหะต่างชนิดกันมาผสมกัน เพื่อให้เป็นทองคำให้เป็นแร่ธาตุกายสิทธิ์ผสมโลหะ 5 อย่าง 7 อย่าง 9 อย่าง ออกมาเป็นสัตตโลหะ นวโลหะ อย่างเช่น หอกของหลายชุมพล ปลายหอกทำด้วยสัตตโลหะ ใครที่ว่าเหนียว เมื่อเจอโลหะผสมก็เปื่อยเป็นเนื้อต้มทีเดียว หลวงพ่อชื้น ท่านก็ลองวิชาของท่านเหมือนกัน นำโลหะมาผสมได้เนื้อเหลืองทางทองคำก็มี เนื้อเหลือบใสแดงขาวก็มี ท่านเรียกโลหะของท่านว่า เนื้อลูกแก้ว ท่านผสมไว้มากมายใต้ถุนกุฏิ เมื่อใครมาขอท่านก็หลอมเป็นลูกอมเล็ก ๆ ให้พกติดตัว ผู้ที่ได้ไปก็แคล้วคลาดภัยอันตรายต่าง ๆ ถ้าวันใดว่าง ๆ ท่านก็จะให้ศิษย์ไปหาตะปูสังฆวานรตามเจดีย์ร้างเก่า ๆ มาหลอมรีดเป็นตะกรุด ผู้ได้ไปก็มีความคงกระพันชาตรี มหาอุด หยุดลูกปืน จนท่านทำให้แทบไม่หวาดไหว
พระธุดงค์มาสอนธรรมะเพื่อความหลุดพ้น
ต้นปี พ.ศ. 2500 มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้ธุดงค์ผ่านมาที่วัดญาณเสน พบกับ หลวงพ่อชื้นเข้าโดยบังเอิญ ท่านอาจารย์ทั้งสองเกิดถูกอัธยาศัยกัน จึงได้สนทนาธรรมกับผู้ศึกษาธรรมย่อมรู้ญาณซึ่งกันและกัน เพียงสนทนากันไม่กี่ประโยคก็ทราบได้ว่ามีความรู้เพียงใด บำเพ็ญเพียร มามากเพียงใด
อาจารย์ต้องการศิษย์
.ศิษย์ต้องการอาจารย์
พระธุดงค์เปรยขึ้นมาว่า ที่ท่านชื้นได้ร่ำเรียนวิชามานั้น ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ในวัตถุ ต้องปล่อยปละละวาง ละความโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง พร้อมทั้งแนะนำธรรมะ และข้อปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอีกหลายข้อ ตามแนวทางของพระพุทธองค์หลวงพ่อชื้น จึงได้กราบขอเป็นศิษย์ พระธุดงค์รูปนั้นก็มิได้ปฏิเสธ และพูดว่า นับเป็นกุศลของอาตมาที่จะได้ช่วยให้ผู้มีบุญวาสนาอยู่แล้วได้สำเร็จมรรคผล นับแต่วันนั้นมาพระภิกษุทั้ง 2 รูป ก็ได้ทบทวนศีล 227 ข้อ พระธรรมวินัยต่าง ๆ ภายในพระอุโบสถ ครั้นยามค่ำคืนก็พากันนั่งสมาธิอยู่โคนต้นโพธิ์ ภายในวัดญาณเสน โดยที่หลวงพ่อชื้นจะภาวนาพระคาถาต่าง ๆ ไปด้วย และลงท้ายด้วยภาวนา นัตถิเม มีพระธุดงค์รูปนั้น ได้นั่งสมาธิคุมไปด้วย
ความสำเร็จ
จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไป 2 เดือน กับอีก 27 วัน หลวงพ่อชื้น ท่านก็ยังไม่ได้อะไร เพียงแต่ว่าจิตใจสบายและสงบขึ้น และในคืนวันที่ 27 นั้นตอนใกล้รุ่งที่โคนต้นโพธิ์ หลวงพ่อชื้น ท่านได้ยินเสียงเหมือนคนหว่านทรายมารอบ ๆ ตัวท่าน จึงลืมตาถาม พระธุดงค์ พี่เลี้ยงว่า นั่นเสียงอะไร พระธุดงค์ จึงตอบว่า ผีประจำต้นโพธิ์มันจะเข้าต้นไม้ มันไล่ท่านแล้ว คืนต่อมาหลวงพ่อชื้น จึงขอเข้ามานั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ จะได้ไม่ไปรบกวนเจ้าที่เจ้าทาง หลังจากนั่งในพระอุโบสถคืนที่ 3 ใกล้รุ่ง หลวงพ่อชื้น ก็นิมิตเห็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งสมาธิลอยมา ถึง 3 พระองค์ และพระธรรมจักร เปล่งรัศมีโชติช่วง หมุนอยู่ระหว่างกลาง องค์พระทั้ง 3 พระองค์ เมื่อหลวงพ่อชื้นถอนสมาธิก็บังเกิดความสว่างขึ้นภายในดวงใจ เต็มไปด้วยความปิติ จะนึกสิ่งใดต้องการรู้สิ่งใดก็มีคำตอบขึ้นมาเสร็จ ท่านจึงได้เล่านิมิตให้พระธุดงค์ฟัง พระธุดงค์รูปนั้นท่านก็บอก ว่า อาตมาหมดหน้าที่แล้ว อาตมาจะกลับไปที่บ้านเกิดของอาตมา ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดโบสถ์ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
พระอาจารย์มรณภาพ
หลังจากวันนั้นแล้วพระธุดงค์องค์นั้นก็ธุดงค์กลับ แม้หลวงพ่อชื้นจะอ้อนวอนให้อยู่ต่อ เพื่อจะได้สนองคุณดูแลเมื่อยามแก่เฒ่า หลวงพ่อชื้น เล่าว่า พระธุดงค์องค์นี้ ชื่อ หลวงพ่อเสน เตชะธัมโม เป็นชาวโคราช อำเภอสูงเนิน มาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เล็ก ๆ กับพระยาท่านหนึ่ง ต่อมาได้อุปสมบทที่วัดบรมนิวาส ได้เล่าเรียนพระปริยัตธรรม วิปัสสนากรรมฐานอยู่กับ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) จนกระทั่งมีความคงแก่เรียน จึงได้ออกรุกขมูลธุดงค์หาความวิเวกไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนกระทั่งบำเพ็ญเพียรถึงขั้นสูงสุดหลวงพ่อชื้น เล่าว่า ท่านได้ส่งกระแสจิตถึงกันอยู่เสมอ เพียงแต่นึกถึงกัน ก็สนทนากันได้แล้ว และหลังจากนั้นอีก 5 ปี พระอาจารย์เสน เตชะธัมโม ก็มรณภาพ ในท่านั่งสมาธิอยู่บนภูเขาแห่งหนึ่ง ในอำเภอสูงเนิน เมื่อหลวงพ่อชื้นทราบข่าว ก็ขึ้นไปทันที กว่าจะหาศพพบ ก็เป็นเวลา 7 วัน ปรากฏว่านั่งมรณภาพในขณะสมาธบำเพ็ญเพียรอยู่ในซอกหิน ศพไม่เน่าเปื่อยเหมือนคนหลับธรรมดา สัตว์ป่า หรือ มด แมลง ก็มิได้มาไต่ตอมหลวงพ่อชื้น ท่านก็ได้ช่วยทำการฌาปนกิจอย่างสมเกียรติ แล้วจึงเดินทางกลับ
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา ยังบอกว่า “ถ้าข้าไม่อยู่แล้ว ให้ไปกราบพี่ชื้น วัดญาณเสน”
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ยังได้บอกศิษย์ว่า ให้ไปทำบุญกับหลวงปู่ชื้น จ.อยุธยา
หลวงปู่พรหมา เขมจาโร ยังให้ลูกศิษย์ที่เป็นฤาษี มาเก็บพระหลวงปู่ชื้น
หลวงปู่แหวน วัดดอกแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ยังเคยเอ็ดเอากับชาวอยุธยาว่า “ใกล้เกลือกินด่าง” หมายความว่า ชาวอยุธยาผู้นั้นเดินผ่านวัดหลวงปู่ชื้นกลับไม่รู้ว่ามีเพชรแท้อยู่หน้าบ้านตัวเอง แต่กลับไปกราบหลวงปู่แหวน ซึ่งห่างไปตั้งหลายร้อยกิโล
ผมเคยถามท่านด้วยตัวเองว่า พระของหลวงปู่กันนิวเคลียร์ได้ใช่ไหมครับ (เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้) ท่านตอบว่า “ได้” และบอกอีกว่า นิวเคลียร์เป็นพลังทางโลกจะสู้พลังทางธรรมไม่ได้!
คำอาราธนาพระเครื่อง
ให้อาราธนาว่าดังนี้
ข้าพเจ้าขอพระบารมีคุณ
พระพุทโธ พระธัมโม พระสังโฆ เป็นที่พึ่ง……… หรือ
พุทธัง ฤทธิ ธัมมัง ฤทธิ สังฆัง ฤทธิ ชัยยะมังคะลัง
เอหิ พุทธัง เอหิ ธัมมัง เอหิ สังฆัง เอหิ จิตตัง มะมะ เอหิ
ให้ท่านอาราธนาทุกเช้าค่ำแล้วท่านจะสำเร็จตามความปรารถนาตามที่ท่านอธิษฐาน