กำเนิดโลกและชีวิต(ปฐมมูลสังขยา)

กำเนิดโลกและชีวิต(ปฐมมูลสังขยา) เรื่องลำดับที่ 2 ชุด วิถีล้านนา : ปทัสถานสังคมคุณภาพ

หมายเหตุ

งานเรียบเรียงชุดนี้ อยู่ในเรื่อง “วิถีล้านนา : ปทัสถานสังคมคุณภาพ เป็นเรื่องที่ 1(พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์)

กำเนิดโลกและชีวิต(ปฐมมูลสังขยา)[1]

ความย่อ

               ปฐมมูลสังขยา ฉบับวัดกลางนี้ มีเนื้อหาเริ่มต้นตั้งแต่ การเกิดขึ้นครั้งแรกของพระไตรปิฎก และอักขระ 41 ตัว จากสำนักพระติกขคะพุทธเจ้า พระองค์แรก ในปทุมมกัป จึงได้นามว่า ปฐมมูลสังขยา แล้วบรรรยายถึงปฐมกำเนิดโลก มีวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไป กาลเวลานานมากนับเป็นหลายอสงไขย์[2] เริ่มก่อตัวจากธาตุทั้ง 4 ผสมกันได้สัดส่วนทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต พืช และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังก่อน แล้วจึงเกิดสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง  นับจากปฐมกัปมีอายุได้ 3 อสงไขย์ จึงเกิดมีมนุษย์ คนแรกเป็นเพศหญิง นามว่า  “อิตถังเคยยะสังคะสี”  นางนี้เป็นคนสร้างสัตว์ 12 ชนิด (สัตว์ประจำ 12 นักษัตร) ต่อมาจึงเกิดเพศชาย ชื่อว่า “เคยยะสังคะสี”[3] เมื่อทั้งสองมาพบกันก็ช่วยกันสร้างมนุษย์ขึ้นมาจาก เถ้าไคล จำแนกเป็น บุรุษ สตรี และนปุงสกลิงค์(กระเทย) สร้างฤดู วัน เดือน ปี ภพภูมิของสัตว์ทั้งหลาย จนถึงกาลเวลาที่โลกจะล่มสลายไป และกลับมาเกิดใหม่หมุนวนเป็นวัฏจักร มีพระพุทธเจ้าเกิดมา การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า และรายนามของพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตด้วย ตอนท้ายเรื่องปฐมมูลสังขยาแสดงภิกขุปาฏิโมกข์ กล่าวถึงศีลของภิกษุเอาไว้ด้วย

ความเรียงสาระของเรื่อง

ปฐมมูลสังขยา

               สมัยที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับ ณ นิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ พระมหากัจจายนะได้เทศนาธรรมว่าด้วยพระไตรปิฎกและอักขระทั้ง 41 ตัว คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ กะ ขะ คะ ฆะ งะ จะ ฉะ ชะ ฌะ ญะ ฏะ ฐะ ฑะ ฒะ ณะ ตะ ถะ ทะ ธะ นะ ปะ ผะ พะ ภะ มะ ยะ ระ ละ วะ สะ หะ ฬะ อัง วิภัติ 7 หมู่ คือ สิ โย, อัง โย, นา หิ, สะ นัง, สฺมา หิ, สะ นัง, สฺมิง สุ ลิงค์ 3 คือ อิตถีลิงค์ ปุงลิงค์ นปุงสกลิงค์ ดังนี้ พระเถระทั้งหลายถามว่า บัญญัติเหล่านี้แต่แรกเริ่มเดิมทีมาจากไหน มาจากพระพุทธเจ้าก่อนหน้านั้น นับได้ล้านโกฏิใช่หรือไม่ พระมหากัจจายนะตอบว่า ไม่ใช่ พระเถระทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ทูลถามพระพุทธเจ้าเพื่อแก้ข้อสงสัย พระพุทธเจ้ามีดำรัสว่า อักขระ 41 ตัวนี้ แต่แรกเริ่มมาจากสำนักพระพุทธเจ้าองค์แรก พระนามว่า “ติกขคะ”  ได้สืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ดังนั้น อักขระ 41 ตัวนี้จึงได้ชื่อว่า “ปฐมมูลสังขยา”

               พระมหาโกณฑัญญะ จึงอาราธนาพระพุทธเจ้าขอให้แสดงธรรมเรื่องนี้ ดังใจความว่า

               เดิมที สรรพสิ่งมืดมนอยู่หาที่สุด ที่สว่างยังไม่ได้ มีความหนาวและความร้อนมาปะทะกัน เกิดเป็นแผ่นลมหนาแน่น จากนั้นก็กลายเป็นไฟและน้ำตามลำดับ  เมื่อน้ำพัดต้องลมเกิดเป็นเมฆ ตกเป็นฝนลงมา เกิดเป็นแผ่นหิน เป็นภูเขา ไฟก็ได้ไหม้ให้แตกสลายไปกลายเป็นผุยผง มีรสอันหวานหอม เกิดมีหนอนดินและแมงคอนจากธาตุทั้ง 4 เป็นอันดับแรก จากนั้นแผ่นดินเกิดมีธาตุต่างๆ ขึ้นมา เกิดมีต้นหญ้า มีต้นไม้ เถาวัลย์ นานนับได้หนึ่งอสงไขย สัตว์ทั้งหลายเกิดตายได้หนึ่งอสงไขยจึงรู้ว่ากลัวตาย สัตว์รู้กลัวตายเกิดตายได้หนึ่งอสงไขยจึงมีกระดูก และเลือด

               เมื่อปฐมกัปป์ตั้งอยู่ได้ 3 อสงไขย จึงเกิดสตรีหนึ่งขึ้นมาด้วยธาตุทั้ง 4 ชื่อว่า “นางอิตถัเคยยะสังคะสี” มีเกสรดอกไม้เป็นอาหาร ครั้งหนึ่ง นางอิตถังเคยยะสังคะสี ได้สร้างสัตว์ 12 ชนิด อันได้แก่ หนู วัว เสือ กระต่าย นาค งู ม้า แพะ ลิง ไก่ หมา ช้าง อย่างละสองตัวเอาธาตุทั้งสี่ใส่เข้าไปให้มีชีวิต เพื่อให้มากินหญ้าและเถาวัลย์ที่ขึ้นรก ต่อมาสัตว์ทั้งหลายได้ออกลูกสืบพันธุ์กันเป็นอันมาก และได้กินต้นไม้ให้ดอกอันเป็นอาหารของนางอิตถังเคยยะสังคะสีหมดไป

               ในขณะนั้น มีชายคนหนึ่ง ชื่อว่า “ปู่(ปุริ)สังเคยยะสังคะสี” เกิดจากลมไฟและน้ำ มีเกสรดอกไม้เป็นอาหาร ปู่สังเคยยะสังคะสา เดินไปเรื่อยๆจนไปพบกับนางอิตถังเคยยะสังคะสี จึงมีใจปฏิพัทธ์อยากได้นางอิตถังเคยยะสังคะสีเป็นเมีย นางอิตถังเคยยะสังคะสีจึงตั้งโจทย์ปัญหาว่า ถ้าหากทำให้สัตว์ทั้ง 12 ตระกูลนี้ไม่ต้องตายแล้วเกิดมาอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะยอมเป็นเมีย ปู่สังเคยยะสังคะสีได้นำปัญหาไปคิดเป็นเวลานานนับอสงไขย จึงบอกให้นางอิตถังเคยยะสังคะสีนำเหงื่อไคลของตนมาปั้นเป็นบุคคล 3 จำพวก คือ บุรุษ สตรี และนปุงสกลิงค์ เอาเมล็ดผักกาดเป็นหัวใจ เพื่อให้มากระทำบุญเพื่อดับสิ้นทุกข์ไม่กลับมาเกิดอีก โดยที่สัตว์ทั้งหลายเมื่อตายไปแล้วให้เอาจิตมาเกิดยังบุคคล 3 จำพวกนี้ จากนั้น ทั้งสองก็ได้ตกแต่งสร้าง ฤดูทั้ง 3 คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว เมื่อมนุษย์ทั้ง 3 เติบโตขึ้น จึงได้เป็นผัวเมียกัน และมีลูกด้วยกัน ลูก ๆ ของทั้งสอง เมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็มีลูกด้วยกันอีก จนขยายครอบครัวออกไปอย่างมากมาย เมื่อจำนวนมนุษย์โลกมีมากขึ้น ปู่สังเคยยะสังคะสี และนางอิตถังเคยยะสังคะสี จึงได้สร้างช้างมโนศิลาขึ้น ตั้งปราสาทพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้บนหลังช้าง เพื่อกำหนดเป็นวัน เดือน ปี ถัดนั้นจึงตั้งนักขัตฤกษ์ขึ้น

               ผู้คนในโลกนั้นมีจิตใจเสมอกันจะกระทำบุญก็ทำเหมือนกัน จะกระทำบาปก็ทำเหมือนกันปู่และนางสังคะสีจึงได้กำหนดให้สัตว์และคนเมื่อตายแล้วให้วิญญาณไปอยู่กับต้นไม้ทั้งหลาย แล้วค่อยถือเอาปฏิสนธิเกิดมาเป็นคนอีกที เมื่อนั้นผู้คนทั้งหลายจึงมีจิตใจแตกต่างกัน บางคนใจบุญ บางคนใจบาป

               ในวันหนึ่ง มีชายผู้หนึ่งพ่อแม่ได้เสียชีวิต ชายผู้นั้นเสียใจร่ำไห้เป็นอันมาก จึงหนีเข้าสู่ป่ายึดเอาโคนต้นไม้เป็นที่พำนัก เจริญมรณานุสติ ทำบุญให้ทาน ครั้นเมื่อตายแล้วจึงได้ไปเกิดบนสวรรค์ เป็นเทวดาองค์แรก ชื่อว่า อินทเทวบุตร   และได้สั่งสอนผู้คนเป็นจำนวนมาก  ครั้นผู้คนเหล่านั้นตายไป  ก็ได้ไปเกิดเป็นบริวารของอินทเทวบุตร ยังมีหญิงผู้หนึ่งคอยตักน้ำให้พ่อแม่ดื่มกิน และอาบทุกวัน  วันหนึ่ง นางได้ไปเห็นชายตาบอดที่ถูกญาติทอดทิ้ง มากินและอาบน้ำที่ท่าน้ำทุกวัน นางมีจิตกุศล จึงได้นำไม้มาขัดเป็นทางให้ชายตาบอดนั้น ด้วยผลบุญอันนี้เมื่อนางตายไปแล้วจึงได้ไปเกิดเป็นอัครมเหสีของอินทเทวบุตร เฝ้าสั่งสอนมนุษย์โลกเป็นต้นมา

               เมื่อปู่และนางสังคะสีเห็นว่า โลกตั้งอยู่ในธรรม จึงได้สร้างสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นขึ้น เพื่อเป็นที่อยู่ของเทวดาทั้งหลาย และได้สร้างนรกสำหรับผู้ที่ทำบาปทั้งหลาย สร้างพรหมโลกเพื่อเป็นที่อยู่ของผู้มีบุญญาสมภาร

               ครั้นเมื่อโลกจะแตกสลาย ปู่และนางสังคะสี จึงให้ช้างมโนศิลาหยุดหายใจ เมฆและฝนหายไป บังเกิดเป็นไฟเผาผลาญโลกและสวรรค์ สัตว์ทั้งหลายได้มาอุบัติขึ้นที่ชั้นอาภัสสรพรหม เมื่อไฟเผาไหม้หมดแล้ว ช้างมโนศิลาจึงหายใจอีกครั้ง บังเกิดเป็นเมฆฝนและลมตกลงมา กลายเป็นแผ่นดินมีกลิ่นอันหอม มีรสอันหวาน พรหมที่อยู่ในชั้นอาภัสสรานั้น ต่างก็ลงมากินดิน และไม่สามารถกลับขึ้นไปยังชั้นอาภัสสรพรหมได้  เมื่อดินหายไป บังเกิดหน่อดินขึ้นมาแทน พรหมเหล่านั้นกินหน่อดิน หน่อดินหายไปบังเกิดต้นกัลปพฤกษ์ พรหมทั้งหลายกินดอกและผลกัลปพฤกษ์นั้น รัศมีหายไป บังเกิดมีทวารและเพศขึ้นมา ครั้นต้นกัลปพฤกษ์หายไปบังเกิดมีข้าวสาลี ซึ่งตอนนี้พรหมทั้งหลายได้กลายเป็นมนุษย์แล้วนั้น ก็ได้ปักปันเขตแดนซึ่งกันและกัน ไม่นานนักได้เกิดความโลภ จึงได้ลักขโมยข้าวสาลีของผู้อื่น เขาทั้งหลายจึงแต่งตั้งผู้ที่มีความรู้สามารถมาปกครองดูแล

               เมื่อโลกตั้งอยู่ได้ 4 อสงไขย ช้างมโนศิลาก็ได้หยุดหายใจอีกครั้ง น้ำทั้งหลายแห้งเหือด บังเกิดมีพระอาทิตย์ 7 ดวง เผาไหม้โลกให้ดับสลายไปจนถึงพรหม 6 ชั้นแรก เมื่อนั้นช้างมโนศิลาก็กลับมาหายใจอีกครั้ง

               โลกครั้นถูกไฟไหม้ครบ 7 ครั้งแล้ว น้ำจึงท่วมทำลายโลก 1 ครั้ง เกิดเป็นฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาท่วมถึงชั้นเวหัปผลาพรหม  ครั้นน้ำท่วมโลกครบ 7 ครั้ง ลมจึงพัดทำลายโลก 1 ครั้ง เกิดเป็นลมใหญ่พัดโลกให้แตกสลายไปจนถึงขั้นอกนิฏฐาพรหม

                เมื่อโลกตั้งขึ้นมาอยู่ได้นานพอสมควร จึงบังเกิดพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์แรกชื่อว่า “ปัจเจกมูล” เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายอสงไขยนับไม่ถ้วน จึงบังเกิดพระสัพพัญญูพุทธเจ้าชื่อว่า “ติกขคะ” ผู้บัญญัติอักขระ 41 ตัว ทรงบัญญัติปฐมเทศนา(อัฏฐังคิกมรรค) ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทรงเทศนา ปฐมมังคลสูตร ปฐมรตนสูตร ปฐมกรณียเมตตสูตร ปฐมปริตรสูตร ปฐมขันธปริตร ปฐมอนุสติธรรม อาฏานาฏิยสูตร ชยมังคลสูตร ปฐมวินัย ปฐมอภิธรรม ปฐมสิกขาบัญญัติ พร้อมทั้งเรื่องพระพุทธเจ้า 3 ประเภท คือ พระปัญญาธิกพุทธะ พระสัทธาธิกพุทธะ พระวิริยาธิกพุทธไว้ว่า ครั้งหนึ่งมีชายสามคนต้องการสร้างพระพุทธรูปถวายพระติกขคะพุทธเจ้า ชายคนแรกสร้างเสร็จใน 4 วัน ทรงพยากรณ์ว่า นับแต่นี้ไป 4 อสงไขยปลายแสนมหากัป จะได้เป็นพระปัญญาธิกพุทธเจ้า ชายคนที่สองสร้างเสร็จใน 8 วัน ทรงพยากรณ์ว่า นับแต่นี้ไป 8 อสงไขยปลายแสนมหากัป จะได้เป็นพระสัทธาธิกพุทธเจ้า ชายคนที่ 3 สร้างเสร็จใน 16 วัน ทรงพยากรณ์ว่า นับแต่นี้ไป 16 อสงไขยปลายแสนมหากัปจะได้เป็นพระวิริยาธิกพุทธเจ้า

               พระปัญญาธิกพุทธเจ้านั้นมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา โปรดสัตว์ให้เข้าสู่นิพพานได้ 24 อสงไขยปลายแสนคน พระศาสนาตั้งอยู่ได้ 5,000 พรรษา พระสัทธาธิกพุทธเจ้านั้น มีพระชนมายุได้ 80,000 (แปดหมื่น) ปี โปรดสัตว์ให้เข้าสู่นิพพานได้ 24 อสงไขยปลาย 60 โกฏิ ปลายแสนคน ศาสนาตั้งอยู่นาน 84,000 พรรษา พระวิริยาธิกพุทธเจ้านั้นโปรดสัตว์ทั้งหลายได้ 4 อสงไขยปลาย 60 โกฏิ ปลายแสนคน

ทวีปทั้ง 3 [4]

               บุพวิเทหทวีป มีสัณฐานเป็นดั่งพระจันทร์วันเพ็ญ มีไม้ข้าวสารหรือไม้คอมค่อเป็นไม้หมายทวีป ผู้คนในทวีปนี้มีอายุได้ 100 ปี หากตายจะไปเกิดในชั้นจตุมหาราชิกา แล้วมาเกิดยังบุพวิเทหทวีปสลับกันไปมา

               อุตตรกุรุทวีป มีสัณฐานเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมด้านเท่า มีไม้กาลพฤกษ์(กัลปพฤษ์) เป็นไม้หมายทวีป ผู้คนในทวีปนี้มีอายุได้ 1,000 ปี ข้าวของทุกอย่างในทวีปนี้ล้วนเป็นของทิพย์ทั้งสิ้น ผู้คนตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ฉกามาพจร(สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น) อมรโคยานทวีป มีสัณฐานเป็นดั่งพระจันทร์เสี้ยว มีไม้งิ้วเป็นไม้หมายทวีป

นรกขุมใหญ่ทั้ง 8 ขุม

               สัญชีวนรก เป็นนรกที่อยู่บนสุด เป็นที่อยู่ของพวกที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ที่ชอบกดขี่ ยึดเอาข้าวของประชาชนมาเป็นของตน ทั้งยังไม่เคยกระทำการอันเป็นกุศลเลยสักน้อยนิด สัตว์นรกขุมนี้ จะถูกตาข่ายเหล็กคลุมไว้ หนามเหล็กจะทิ้มแทง เมื่อวิ่งไปยังป่าหวายจะถูกหนามหวายทิ่มแทง ทั้งยังมีหมาปากเหล็กคอยกัดสัตว์นรกนั้นให้ขาดเป็นสองท่อน

               กาฬสุตตนรก ผู้ที่ลักขโมยข้าวของผู้อื่น แย่งชิง โลภตราชั่ง เมื่อตายไปจะมาอยู่ในนรกขุมนี้ นายนิรยบาลทั้งหลายต่างถือตะขอเหล็กเกี่ยวเนื้อสัตว์นรกนั้น บ้างก็เอาแผ่นเหล็กใหญ่ติดไฟทาบปากสัตว์นรก สัตว์นรกในขุมนี้เสวยทุกข์เป็นเวลา 1,000 ปีนรก

               สังฆาฏนรก ผู้เล่นชู้สู่ชาย ผิดลูกผิดเมียท่านเมื่อตายไปจะมายังนรกขุมนี้ นายนิรยบาลจะเอาเหล็กแดงใหญ่ลักษณะคล้ายองคชาติใส่เข้าไปในวัยวะเพศของผู้หญิง และจะเอาลูกเหล็กแดงอันใหญ่ลักษณะดังอวัยวะเพศของผู้หญิงครอบใส่องคชาติผู้ชายได้รับความเจ็บปวดมากนัก เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายวิ่งหนี จะไปเจอต้นงิ้วใหญ่ มีหมาปากเหล็กคอยไล่งับอยู่ สัตว์นรกปีนขึ้นต้นงิ้วนั้นถูกหนามแหลมทิ่มแทงเป็นอันมาก

               โรรุวนรก ผู้ที่หลอกลวงผู้อื่นด้วยกระทำการบอกว่าจะทำบุญใหญ่ ให้นำของมาร่วมทำบุญ ภายหลังกลับเอาไปเลี้ยงลูกเมีย ผู้เอาข้าวเปลือกปนข้าวสารขาย เมื่อตายจากโลกมนุษย์จะได้มาเกิดในนรกขุมนี้ ด้วยบาปที่ทำจึงทำให้หิวน้ำหิวข้าวอยู่ตลอดเวลา ของที่จะกินเข้าไปจะกลายเป็นแกลบลุกเป็นไฟ

               มหาโรรุวนรก ผู้ใดดื่มเหล้า 5 ประการ คือ เหล้าไห เหล้าทำจากลูกไม้ต่างๆ ทำด้วยดอกไม้ต่างๆ   ทำด้วยหน่อไม้ต่างๆ ทำด้วยข้าวต่างๆ 5 อย่างนี้ เมื่อตายไปจะไปเกิดใน โรรุวนรก นายนิรยบาลเอาตะขอเหล็ก
ง้างปากเอาน้ำทองแดงกรอกปากอยู่เนืองนิด

               ตาปนรก ผู้จับสัตว์ขึงมัดกับเสาแล้วฆ่าด้วยหอก ดาบ อาวุธ เป็นต้น เมื่อตายไปจะเกิดในนรกขุมนี้ นายนิรยบาลจะนำสัตว์นรกเหล่านี้จับขึงกับเสาเหล็กคอยเอาหอก ดาบ อาวุธต่างๆทิ่มแทง

               มหาตาปนรก ผู้ไม่รู้จักคุณพระรัตนตรัย ผู้ติเตือนพระอริยะเจ้า ผู้กล่าวหาผูอื่นว่าปราชิก ฯลฯ      เมื่อตายไปจะเกิดในนรกขุมนี้ เสวยทุกขเวทนาเป็นเวลา ครึ่งกัป

               มหาอเวจีนรก ผู้ในกระทำอนันตริยกรรม 5 ประการ อันได้แก่ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ทำลายเจดีย์ ตัดต้นศรีมหาโพธิ์ ทำพระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต ดังเช่นพระเทวทัตนั้น เมื่อตายไปจะเกิดในนรกขุมนี้ เสวยทุกข์เวทนาเป็นเวลา 1 กัป

เขาสิเนรุ(เขาพระสุเมรุ)

               เขาสิเนรุนั้นมีภูเขาทั้ง 7 ลูก   ได้แก่ ยุคันธร กรวิก อิสินธร สุทัศ เนมินธร วินตกะและอัสกัณ ล้อมรอบและมีความสูงลดหลั่นกันลงมา

สวรรค์ 6 ชั้น

               มีชั้นจตุมหาราชิกาตั้งอยู่เหนือเขายุคันธร มีท้าวจตุโลกบาลคอยรักษาอยู่ 4 ทิศ ได้แก่ ท้าวธตรฐ อยู่ทิศตะวันออก มีคนธรรพ์เป็นบริวาร ท้าววิรุฬห์ อยู่ทิศใต้ มีกุมภัณฑ์เป็นบริวาร ท้าววิรูปักข์อยู่ทิศตะวันตก มีกุมภัณฑ์เป็นบริวาร ท้าวเวสสุวัณ อยู่ทิศเหนือ มียักษ์เป็นบริวาร ถัดจากนั้นขึ้นไปเป็นชั้นดาวดึงส์เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ มีพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ตั้งประดิษฐานไว้ ถัดนั้นเป็นสวรรค์ชั้นยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวาสวัสดี ตามลำดับ

พรหมโลก

               ผู้ใดก็ตามที่เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่นั้นได้ปฏิบัติสมาธิภาวนาจนกระทั่งสำเร็จฌานขั้นต่างๆ เมื่อสิ้นชีวิตย่อมมาบังเกิดในชั้นพรหมโลกตามฌานที่ตนได้บรรลุ ดังนี้

               ผู้ที่ได้ปฐมฌานครั้นตายจักได้มาเกิดในชั้นพรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหม

               ผู้ที่ได้ทุติยฌานครั้นตายจักได้มาเกิดในชั้นปริตตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา 

               ผู้ที่ได้ตติยฌานครั้นตายจักได้มาเกิดในชั้นปริตตสุภา (อัปปมาณสุภา สุภกิณหา) 

               ผู้ที่ได้จตุตถฌานครั้นตายจักได้มาเกิดในชั้นเวหัปผลาและอสัญญีสัตตา

               ถัดจากนั้นขึ้นไปเป็นจะเป็นชั้นพรหมสุทธาวาส (ชั้นพรหมที่สำเร็จพระอนาคามี) คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา และถัดจากนั้นขึ้นไปจะเป็นชั้นอองค์พรหม(อรูปพรหม) คือ อากาสานัญ-จายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ตำนานราหูอมพระจันทร์และพระอาทิตย์

               แต่เดิมพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เป็นพี่น้องในตระกูลเดียวกัน พระราหูก็ได้เกิดเป็นทาสชายในเรือนของสองพี่น้องนั้น มีอยู่วันหนึ่งสองพี่น้องต้องการจะทำบุญเลี้ยงพระโดยมีพระเวสสภูพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยความที่ทาสนั้นลืมเอาทัพพีมา ทั้งสองพี่น้องจึงใช้ให้กลับไปเอา ด้วยโกรธเมื่อได้ทัพพีมาแล้ว สองพี่น้องจึงเอาทัพพีเคาะหัวทาสคนละสามทีเป็นที่อับอายแก่ฝูงชน ทาสโกรธมากจึงตั้งความปรารถนาไว้ เมื่อรู้ว่า สองพี่น้องปรารถนาเป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์  ขอให้ตนได้เกิดเป็นราหูมีร่างกายอันใหญ่โต เมื่อทั้งหมดจุติตายไปจากโลกนี้แล้ว ก็ได้ไปเกิดตามที่ตนปรารถนา เมื่อใดที่พระราหูมาพบพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ก็จักไล่จับกินทันที พระอาทิตย์และพระจันทร์นั้นเมื่อเห็นว่าภัยกำลังมาถึงตัว จึงได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอพระองค์เป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสคาถาขึ้นมาเพื่ออนุเคราะห์พระอาทิตย์และพระจันทร์ให้พ้นจากภัย เมื่อพระราหูได้ยินคาถาที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้นก็รีบปล่อยพระอาทิตย์ พระจันทร์ทันที

แม่น้ำ (5สาย)

               แม่น้ำใหญ่ 5 สาย ประกอบด้วย คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ แม่น้ำทั้ง 5 สายนี้มีต้นกำเนิดมาจากสระอโนดาต ไหลมากระทบกับก้อนหินซัดขึ้นฟ้าแล้วตกออกมาเป็น 5 สาย

มหานคร

               มหานครทั้ง 16 ได้แก่ พาราณสี สาวัตถี เวสาลี มิถิลา อาฬวี โกสัมพี ตักสิลา สาคละ สุสิมะ ราชคหะ กปิลวัตถุ เจตรถะ อินทปัตถะ อุกกัฏฐะ ปาฏลีบุตร วิเทหะ สากยะ กุสินารา(ในรายชื่อมหานครทั้งหมดมี จำนวน 18 รายชื่อ)

สระใหญ่

               สระใหญ่ทั้ง 7 [5] ได้แก่ อโนดาต กัณณมุณฑะ รถการะ กุณาละ มัณฑากิณี สีหัปปาตะ (ฉัททันตะ) สระทั้งหลายนั้นล้วนมีเขาล้อมรอบ คือ เขาจิตรกูฏประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ เขากาฬกูฏประดับด้วยเงิน กุณาละประดับด้วยแก้วผลึก คันธมาทน์ประดับด้วยแก้วปัทมราช  สุทัสสนะประดับด้วยทองคำ ส่วนนี้ เป็นเรื่องเขาสัตตบริภัณฑ์  สระอโนดาตนั้น มีทางน้ำไหลออกมา 4 ทาง คือ ปากช้าง ปากม้า ปากราชสีห์ ปากวัวอุสุภราช น้ำที่ไหลออกมาจากปากทั้ง 4 จะไหลประทักษิณ 3 รอบแล้วค่อยไหลออกไปตามทิศที่ตนไหลมา

กำเนิดพระพุทธเจ้า 3 ประเภท และพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

               เมื่อครั้งกำเนิดโลกขึ้นมานั้น มนุษย์โลกได้ถือกำเนิดมา 32 คน มีเม็ดผักกาดเป็นหัวใจ เอาธาตุทั้ง 4 เข้าใส่ไว้เป็นรูปร่าง มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งกำเนิดขึ้นมา ทั้ง 32 คนนั้นกินแล้วบังเกิดกิเลสตัณหาเป็นอันมากเอากันเป็นผัวเมีย มีลูกออกมามากมาย ต้นกัลปพฤกษ์หายไปบังเกิดเป็นข้าวสาลี ผู้คนกินข้าวสาลีเกิดราคะโทสะโมหะเป็นอันมาก ผิดเถียงกันฆ่าฟันกันมากมาย เมื่อนั้น เขาทั้งหลายปรารถนาอยากได้พระเจ้าแผ่นดิน เมื่อนั้น มหาพรหมผู้เป็นหน่อวิริยาธิกโพธิสัตว์จึงมาอุบัติขึ้นบนโลกใบนี้ ได้เป็นพระราชาขึ้นครองราชย์เหนือคนทั้งหลาย ทรงตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม 10 ประการ ชื่อ ท้าวสมันตราช มีพระราชบุตรและพระราชธิดารวม 32 คน เป็นชาย 16 หญิง 16 ในจำนวนบุตร 16 คนนั้น มีบุตรคนหนึ่งซึ่งเหนือกว่าบุตรทั้ง 16 คน และธิดาทั้ง 16 คน ต่อมาก็ได้ขึ้นครองราชย์แทนพ่อ ชื่อว่า พญาชุมพูธิปติราชา ซึ่งเป็นหน่อพระสัทธาธิกะโพธิสัตว์ ครั้นแล้วลูกของพญาชุมพูธิปติราช ชื่อพญาเอกราชนั้นก็ได้เป็นหน่อพระปัญญาธิกะโพธิสัตว์ ลูกของพญาเอกราชก็ได้เป็นหน่อพระปัจเจกพุทธเจ้า

สุเมธฤาษี

               สุเมธฤาษี คือ พระโคตมะพุทธเจ้า ก่อนหน้าที่จักมาเกิดเป็นสุเมธฤาษีนั้นได้เกิดเป็นชายยากไร้เข็ญใจ หาไม้และฟืนขายเลี้ยงชีพและแม่ผู้เฒ่าแก่ วันหนึ่งได้พาแม่ขึ้นเรือสำเภาไปออกไปค้าขายกับพ่อค้าทั้งหลาย เรือเกิดล่มกลางทะเล พระโพธิสัตว์พาแม่ลอยอยู่ในมหาสมุทรได้ 7 วัน จึงตั้งสัจจะวาจาว่าหากในกาลข้างหน้าตนจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ขอให้รอดชีวิตกลับไปด้วยเถิด  เมื่อนั้นเทวดาจึงมาช่วยคุ้มครองพระโพธิสัตว์ให้รอดชีวิต เมื่อกลับมาสู่เรือนจึงกระทำการให้ทานแก่ภิกษุสงฆ์แลเปล่งวาจาตั้งความปรารถนาอธิษฐานขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเสวยพระชาติเป็นสุเมธฤาษี อยู่ในสมัยของพระทีปังกรพระพุทธเจ้า สุเมธฤาษีได้ทอดตัวลงบนเปรอะตมให้พระทีปังกรพระพุทธเจ้าเดินข้าม เมื่อนั้น พระทีปังกรพระพุทธเจ้าได้ทำนายเป็นครั้งแรกว่าสุเมธฤาษีจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งชื่อ โคตมะ เป็นองค์ที่ 4 ที่จะมาตรัสรู้ใน ภัทรกัปข้างหน้า เมื่อพ้นจากชาติที่เกิดเป็นสุเมธฤาษีนั้นก็เวียนว่ายตายเกิดสร้างบารมีมาโดยตลอดและได้รับพุทธยากรณ์จากพระพุทธเจ้าอีก 23 พระองค์ว่าจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามาโดยตลอด จนกระทั่งได้มาชาติสุดท้ายได้บำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด

ภิกขุปาฏิโมกข์

               นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงศีลและข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุจำนวน 227 ข้อ คือ ปราชิก 4, สังฆาทิเสส 13, อนิยตะ 2, นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30, ปาจิตตีย์ 92, ปาฏิเทสนีย์ 4, เสขิยะ 75 และอธิกรณสมถะ 7

               ปริวรรต : อุไร ไชยวงศ์, สวัสดิ์ ดีใส และ ชนินทร์ เขียวสนุก (ตุลาคม 2556)

ตรวจสอบและเรียบเรียงใหม่ : พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์, ชนินทร์ เขียวสนุก, ยศพล เจริญมณี (ตุลาคม 2558)


                [1] ปฐมมูลสังขยา ฉบับวัดกลาง ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย รหัสไมโครฟิล์ม 82.116.11.075-082  สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปริวรรตโดย อุไร ไชยวงศ์, สวัสดิ์ ดีใส, ชนินทร์ เขียวสนุก 2556  ข้อสังเกต ปฐมมูลสังขยาฉบับนี้ เป็นการนำข้อมูลจากอัคคัญสูตร จริยาปิฎก  ในพระไตรปิฎกมาเล่าต่อ หลายตอน มีปรากฏในตำนานมูลศาสนา จักรวาลทีปนี วรรณกรรมทางล้านนาอีกหลายเรื่องผสมผสานเข้าไปด้วย

[2] อสงไชย์ จำนวนเลขที่นับไม่ได้ ปราชญ์ท่านว่า ให้ตั้งเลข 1 แล้วตามด้วยเลขศูนย์อีก 140 ตัว นับเป็น 1 อสงไขย์

[3] ในเอกสารต้นฉบับ ระบุชื่อเพศชายว่า ปุ(ริ)สังเคยยสังคสี เหมือนกัน แต่ตามตำนานปรัมปราว่า ชื่อ “ปุริสังเคยยสังคสา”

[4]  คัมภีร์จักรวาลทีปนี และ เตภูมิกถา กล่าวถึงทวีป มี 4  ทวีป คือ บุพพวิเทหทวีป ชมพูทวีป  อปรยานทวีป และ อุตตรกุรุทวีป ในปฐมมูลสังขยา กล่าวเพียง 3 ทวีป ขาด ชมพูทวีป ที่บังเกิดของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เข้าใจว่า การเกิดโลกที่เล่ามามาตอนต้น หมายถึง ชมพูทวีปนั่นเอง จึงเป็น 4 ทวีป

[5] ปฐมมูลสังขยา ให้รายชื่อสระทั้ง 7 ไม่ครบ ในป่าหิมพานต์  มีสระใหญ่ 7 สระ คือ สระอโนดาต สระกัณณมุณฑะ  สระรถการะ สระฉัททันตะ สระกุณาละ  สระมัณฑากิณี  สระสีหัปปาตะ

เขียนโดย phisit1955@gmail.com ที่ วันพุธ, มิถุนายน 01, 2559 

แชร์เลย

Comments

comments

Share: