เธอมันเป็นพวกที่หลวงพ่อสดเกณฑ์ลงมาเกิด โดย หลวงตาอู๋ 6 เมษายน 2561
ประโยคนี้คือคำพูดที่หลวงป๋าบอกผม (อู๋) เมื่อได้พบกันครั้งแรก เมื่อราวๆ ปี 2520 ตอนนั้นหลวงป๋าท่านยังไม่ได้บวช ยังคงทำงานอยู่ที่ USIS (สำนักข่าวสารอเมริกัน) ส่วนตัวผมเองก็ยังเรียนอยู่ปี 3 ของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย คำว่าโดนเกณฑ์ลงมาเกิดก็คงจะเป็นเรื่องจริง คือลงมาเกิดทั้งกึ่งโดยสมัครใจและกึ่งขอให้ลงมาเกิดเพื่อช่วยงานพระศาสนาและวิชชาธรรมกาย เขาว่ากันว่าในยุคกึ่งพุทธกาลมีเทพเทวาที่ลงมาเกิดเพื่อช่วยงานพระศาสนากันจำนวนมาก
ได้พบหลวงพ่อสดครั้งที่ 1
คนที่หลวงพ่อสดเกณฑ์ลงมาเกิดนั้น มักจะมีเครื่องหมายประจำตัวเพื่อให้ทราบกัน ตัวของผมเองก็จะมีปานดำเป็นรูปกากบาทที่ต้นขาขวามาตั้งแต่เกิด ทุกวันนี้ปานนั้นก็ยังอยู่ ผมได้เคยสอบถามคนใกล้ชิดที่มาทำงานให้วิชชาธรรมกายด้วยกัน เขาก็มีปานที่ต้นขาขวาเหมือนกัน แต่บางคนก็มีปานที่ต้นแขน
ผมเกิดเมื่อปี 2498 คุณแม่เล่าว่าตอนท้องท่านฝันว่าท่านได้สร้อยทอง ตอนผมเกิดก็ไม่ค่อยจะเหมือนใครเพราะคุณแม่เล่าว่าการคลอดผมนั้นมันง่ายมาก ท่านบอกว่า “เหมือนไปขี้” คือพอปวดท้องจะคลอดก็เบ่งผมออกมาได้เลย เป็นการคลอดที่สะดวกสบายมาก พอผมเกิดมาได้เพียงแค่ 1-2 วัน คุณแม่และคุณตาผมก็อุ้มผมไปกราบหลวงพ่อสดที่วัดปากน้ำเลย แม้ว่าในสมัยนั้นการเดินทางไปวัดปากน้ำจะลำบากเพียงใด แต่คุณแม่ของผมท่านก็ไม่สนใจเพราะท่านเคารพหลวงพ่อสดเป็นที่สุด แถมหลวงพ่อสดท่านยังเป็นผู้ตั้งชื่อให้ผมอีกด้วย คุณแม่ผมบอกว่าท่านเคารพหลวงพ่อสดมากที่สุดแม้ทุกวันนี้คุณแม่ก็ยังเคารพหลวงพ่อสดเหมือนเดิม ทำให้ผมเป็นคนที่โชคดีที่สุดคนหนึ่งที่มีโอกาสได้กราบหลวงพ่อสดตั้งแต่เกิด เหมือนดังกับว่าผมต้องมารายงานตัวกับท่านว่า “ผมลงมาเกิดแล้วนะครับ”
ได้พบหลวงพ่อสดครั้งที่ 2
หลังจากที่ผมได้พบกับหลวงป๋าแล้วผมก็ได้ช่วยงานของท่านในการเผยแพร่วิชชาธรรมกาย โดยในขณะนั้นหลวงป๋าท่านได้รวบรวมตำราและคำเทศน์ของหลวงพ่อสดเข้าไว้เป็นเล่มๆ หน้าที่ของผมก็คือช่วยท่านตรวจพิสูจน์อักษรและประสานงานกับทางโรงพิมพ์ พร้อมทั้งวิ่งไปวิ่งมาในการเตรียมต้นฉบับระหว่างหลวงป๋า (ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวช) กับหลวงพ่อภาวนาที่วัดปากน้ำ ในช่วงนั้นผมเริ่มเปลี่ยนวิธีนั่งสมาธิจากการจับลมหายใจมาเป็นการตรึกนึกถึงดวงแก้วตามแนววิชชาธรรมกายแล้ว
เช้าตรู่วันหนึ่งในราวๆ ปี 2520 ผมก็ได้มีนิมิตว่าตัวผมเองได้ลอยขึ้นไปในอากาศ ลอยขึ้นไปสูงมากจนมองไม่เห็นพื้นดินเลย รอบตัวมีแต่ท้องฟ้าและก้อนเมฆอยู่ประปราย บริเวณนั้นสว่างไสวเยือกเย็น ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเป็นที่ไหนกันแน่เพราะที่แห่งนั้นเวิ้งว้างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ไม่มีอะไรเลยนอกจากฟ้ากว้าง (น่าจะเป็นสวรรค์ชั้นดุสิต) ทันใดนั้นผมก็เห็นว่ามีวิมานหรือโบสถ์ก็ไม่ทราบมาปรากฏอยู่ตรงหน้า มีลักษณะคล้ายๆ โบสถ์แต่ไม่ใหญ่นัก มองดูเหมือนปราสาทมากกว่าเพราะลักษณะไม่เหมือนโบสถ์ที่อยู่ในเมืองมนุษย์สีขาวโปร่งแสง จะว่าเป็นแก้วก็ไม่ใสขนาดนั้น คือเป็นสีขาวแต่โปร่งแสงมองทะลุได้
ในนิมิตนั้นผมได้ไปกับเพื่อนอีก 2 คน รวมกับผมด้วยเป็นสามคน ผมจึงเดินนำเพื่อนๆ เข้าไปที่ด้านหน้าประตูโบสถ์ซึ่งมีบันไดขึ้นไปประมาณ 5 ขั้น บรรยากาศตอนนั้นมันไม่เหมือนที่ไหนเลยเพราะรู้สึกสงบและเยือกเย็นมาก พอเดินเข้าไปในโบสถ์ก็เห็นว่าเป็นที่โปร่งๆ โล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย พื้นโบสถ์และผนังทุกด้านเป็นแบบเดียวกันหมดคือมีสีขาวอ่อนที่โปร่งแสง ไม่มีพรม ไม่มีภาพวาดบนฝาผนังใดๆ เหมือนโบสถ์ที่เราคุ้นเคย มีแต่พระองค์หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางโบสถ์ ท่านนั่งอยู่บนพื้นที่ยกระดับขึ้นมา พวกผมจึงคลานเข้าไปหาท่าน เมื่อได้เห็นท่านในระยะใกล้ก็ต้องแปลกใจ เพราะท่านคือหลวงพ่อสดวัดปากน้ำนั่นเอง ผมจ้องมองท่านเพราะไม่เคยพบท่านมาก่อน แล้วก็ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้พบท่านแบบใกล้ชิดอย่างนี้ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมฝันเห็นหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ใบหน้าของท่านก็เหมือนกับในรูปถ่ายที่นิยมติดไว้บูชาตามบ้าน ท่าทางท่านดีใจที่ได้เจอพวกผม แต่ดวงตาของท่านนั้นคมกริบจะว่าดุก็ไม่ดุ จะว่าใจดีก็ไม่น่าใช่ แต่ดูแล้วน่าเกรงขามมากกว่า
เมื่อผมได้กราบท่านเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็เอ่ยถามพวกผมอย่างอารมณ์ดีว่า “เอ้า พวกเธอมีชื่ออะไรกันบ้าง” เพื่อนผมทั้งสองคนก็ตอบท่านไปว่า “ผมชื่อ….(ชื่อของเขา)” พอมาถึงคิวของผม ผมกลับตอบท่านไปว่า “ผมชื่อเสริมชัยครับ” ในนิมิตนั้นผมก็ยังสงสัยตัวเองว่าทำไมผมจึงบอกท่านไปว่าผมชื่อเสริมชัย เพราะชื่อเสริมชัยนี้ไม่ใช่ชื่อของผม แต่เป็นชื่อจริงของหลวงป๋าในขณะนั้น หลวงพ่อสดท่านก็รับทราบและไม่ได้มีทีท่าสงสัยอะไรในคำตอบของผมเลย การไปกราบหลวงพ่อสดในครั้งนี้ของผม ก็เหมือนกับการไปรายงานตัวว่า “ผมมาช่วยงานหลวงพ่อแล้วนะครับ” อย่างไรอย่างนั้น หลังจากนั้นผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา
ผมมานั่งทบทวนความฝันของผมในครั้งนี้แล้วก็คิดว่าคงจะเป็นฝันที่ใช้ไม่ได้ เพราะเรื่องราวมันดูแปลกๆ มันไม่มีความสมจริงเลย โดยเฉพาะในการที่ผมบอกหลวงพ่อสดไปว่าผมชื่อเสริมชัย หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้มีโอกาสไปพบหลวงป๋าที่ที่ทำงานของท่าน แล้วก็ได้เล่าให้ท่านฟังว่าผมเพิ่งมีนิมิตว่าขึ้นไปกราบหลวงพ่อสดมา แต่ผมดันไปบอกหลวงพ่อสดว่าผมชื่อเสริมชัย แต่สิ่งที่หลวงป๋าท่านตอบผมกลับนั้นกลับทำให้ผมประหลาดใจยิ่งกว่า เพราะหลวงป๋าท่านบอกว่า “ไม่เห็นแปลกอะไรเลย เป็นนิมิตฝันที่ถูกต้องแล้ว เพราะตอนที่หลวงป๋าขึ้นไปกราบหลวงพ่อสดที่ปราสาททำวิชชานั้น หลวงป๋าก็บอกกับหลวงพ่อสดว่าชื่อวีระเหมือนกัน” หลวงป๋าท่านก็ไม่ได้บอกหลวงพ่อสดว่าชื่อเสริมชัย แต่บอกว่าชื่อวีระซึ่งเป็นชื่อเดิมของหลวงพ่อภาวนาอาจารย์ของท่านนั่นเอง
อ้าว…มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ในทางวิชชาแล้วเวลาที่เราจะบอกใครว่าเราคือใคร เขาจะบอกชื่ออาจารย์ของเราเพื่อให้รู้ที่มาที่ไปว่ามาจากไหน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกินกว่าจินตนาการของผม นั่นก็แสดงว่าการที่ผมได้มีนิมิตว่าขึ้นไปกราบหลวงพ่อสดก็เป็นนิมิตที่เชื่อถือได้ เป็นนิมิตที่ดี ซึ่งเมื่อผ่านกาลเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังรู้สึกได้ว่าหลวงพ่อสดท่านไม่ได้อยู่ไกลจากผมเลย ท่านยังคงเฝ้าดูให้กำลังใจและคอยช่วยเหลือลูกศิษย์ของท่านอยู่ตลอดเวลา
ได้พบหลวงพ่อสดครั้งที่ 3
ในราวปลายปี 2559 ตอนนั้นผมได้สร้างองค์พระปฐมบรมศาสดาที่หล่อด้วยเหล็กไหลทองปลาไหลขนาด 81 นิ้วทั้งองค์จนเกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็มีความคิดว่าจะหยุดการสร้างพระเสียที เพราะรู้สึกเหนื่อยล้าอยากไปบวชไม่อยากสร้างอะไรอีกและการได้สร้างองค์หลวงพ่อพระปฐมบรมศาสดาก็ถือว่าเป็นที่สุดแล้ว คือองค์ท่านสร้างออกมามีลักษณะที่งดงามมากที่สุดในยุคนี้ ในช่วงนั้นเองผมก็ได้มีนิมิตมาว่าหลวงพ่อสดท่านมาหาผมที่บ้าน ท่านเดินมาองค์เดียวพร้อมกับถือบาตรมาด้วย ท่านมาอยู่ที่บ้านผมที่โชคชัย 4 นานมากคืนหนึ่งเต็มๆ ผมและภรรยา (นิด) จึงได้นำอาหารคาวหวานมาใส่บาตรท่าน ผมมีโอกาสใส่บาตรท่านในคืนนั้นถึง 3 ครั้ง ซึ่งเป็นความฝันที่แปลกมากคิดเองเออเองไม่ได้แน่ เพราะการฝันถึงการใส่บาตรก็น่าจะใส่บาตรเพียงครั้งเดียว นับเป็นการได้พบกับหลวงพ่อสดที่นานที่สุด การฝันว่าได้ใส่บาตรท่านถึง 3 ครั้งจึงทำให้ผมจำได้แม่นไม่มีวันลืม และทำให้ผมรู้สึกปลาบปลื้มที่ครูบาอาจารย์ท่านมาโปรดถึงบ้าน
หลังจากนั้นไม่กี่วันหลวงป๋าท่านก็โทรมาหาผมบอกว่าอยากให้ผมสร้างรูปหล่อของหลวงพ่อสดด้วยเหล็กไหลให้หน่อย ผมก็บอกท่านไปว่าผมเหนื่อยแล้วขอคิดดูก่อน อีกไม่กี่วันหลวงป๋าท่านก็มาหาผมที่บ้านแล้วก็พูดเรื่องนี้อีกซึ่งผมก็รับปากกับท่านไปว่าตกลง แต่ผมขอสร้างให้ใหญ่กว่าที่หลวงป๋าบอกคือ 27 นิ้ว ซึ่งผมคิดว่ารูปหล่อของหลวงพ่อสดขนาด 27 นิ้ว (เท่าองค์จริง) นั้นมีผู้สร้างกันมาหลายองค์แล้ว ถ้าผมจะสร้างผมขอสร้างให้ใหญ่กว่านั้น ขอสร้างในขนาด 42 นิ้ว ต่อมาผมก็ขยายขนาดท่านขึ้นไปอีกเพราะมีผู้ขอร่วมบุญกันมาก จึงขยายไปเป็น 54 นิ้ว 72 นิ้ว และ 84 นิ้ว จนในที่สุดกลายเป็น 93 นิ้ว ขนาดสุดท้ายนี้ผมไม่ได้สั่ง เพราะผมสั่งปั้นในขนาดแค่ 84 นิ้ว ช่างเองก็ปั้นขนาด 84 นิ้ว แต่พอปั้นเสร็จกลายเป็น 93 นิ้วได้อย่างไรไม่ทราบ รูปหล่อหลวงพ่อสดมงคลเลิศฤทธิ์องค์นี้จึงกลายเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุดของวัดหลวงพ่อสด เป็นพระเหล็กไหลช่อทิพย์เงินยวงทั้งองค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ใช้เหล็กไหลไปทั้งสิ้นถึง 3,800 กิโล)
การได้พบและกราบหลวงพ่อสด จึงเป็นนิมิตหมายให้ผมได้มีกำลังใจในการสร้างบารมี นับถึงตอนนี้ก็ได้ช่วยงานหลวงพ่อสดท่านมากว่า 40 ปีแล้ว การลงมาครั้งนี้ก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดครับ