ครูบาชัยวงศาพัฒนาคืออดีตพระฤๅษีวาสุเทพ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)

ครูบาชัยวงศาพัฒนาคืออดีตพระฤๅษีวาสุเทพ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)

ครูบาชัยวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม (ข้าวต้ม) อ.ลี้ จ.ลำพูน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่รู้ใจคน ถอดกายได้โดยมีผู้ถ่ายรูปเดี่ยวของท่าน แต่ปรากฏว่ารูปถ่ายที่ออกมากลายเป็น 2 องค์ คือองค์หนึ่งนั่งอีกองค์หนึ่งยืน ท่านออกธุดงค์ตั้งแต่ยังหนุ่ม ครูบาศรีวิชัยซึ่งเป็นอาจารย์องค์แรกของท่านเคยทำนายตอนที่ท่านยังเป็นเณรว่า ท่านจะเป็นผู้มาสร้างวัดพระพุทธบาทห้วยต้มแห่งนี้ นอกจากนั้นท่านยังเป็นลูกศิษย์ของครูบาพรหมจักร (พระอุปัชฌาย์ของท่าน) และครูบาอภิชัย ขาวปี ที่มรณะแล้วร่างไม่เน่าเปื่อยอีกด้วย

ท่านยังได้เรียนวิชาทางจิตจากตำราเก่าสมัยอยุธยาที่พระเก่งๆ ในสมัยโบราณนำมาซ่อนไว้ในถ้ำเพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือพวกพม่า โดยเทวดามาบอกที่ซ่อนคัมภีร์นี้ เมื่อท่านฝึกสำเร็จแล้วท่านจึงนำเข้าไปเก็บรักษาไว้ในเจดีย์ที่วัด ท่านฉันเจและชอบฉันลูกเกาลัด ที่แปลกก็คือท่านชอบไปเข้าฝันคนทั่วไป เช่นเคยไปเข้าฝันบอกตัวยาแก้โรคกระเพาะให้ คนตายแล้วฟื้นเล่าว่าได้ไปพบครูบาศรีวิชัยท่านบอกให้มากราบครูบาวงศ์เพราะท่านเป็นพระอริยะ และเทวดาที่วัดพระบาทห้วยต้มบอกวัดนี้จะเป็น 1 ใน 3 วัด ที่จะอยู่ได้จนครบ 5,000 ปี

ที่วัดยังมีรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าได้ทรงมาประทับรอยไว้เมื่อคราวที่เสด็จมาที่วัดแห่งนี้ ในครั้งนั้นนายพรานได้ทำข้าวต้มเนื้อกวางถวายแก่พระพุทธเจ้า แต่พระองค์ทรงฉันเฉพาะแต่ข้าวต้มเท่านั้นไม่ทรงฉันเนื้อกวางที่ถวาย ทั้งนี้เพราะทรงทราบว่ากวางตัวนั้นเป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรซึ่งต่อมาก็คือครูบาชัยวงศ์นั่นเอง และเนื้อกวางนั้นต่อมาได้กลายเป็นหิน ปัจจุบันก็ยังเก็บรักษาไว้อยู่ที่วัดพระบาทห้วยต้ม

ท่านครูบาวิจิตร มนูญโญ แห่งวัดกุเตอร์โกล ต.สามหมื่น อ.แม่ระมาด จ.ตาก ได้เล่าให้ฟังว่าเคยขึ้นเขาไปกับท่านครูบาชัยวงศ์เพื่อไปกราบพระพุทธบาท “วังตวง” ได้เห็นท่านครูบาชัยวงศ์ได้เอาเท้าของท่านเหยียบลงบนก้อนหินที่บนเขานั้น แล้วก็บอกให้ท่านคอยดูนะ เมื่อท่านยกเท้าขึ้นก็ได้ปรากฏรอยเท้าบนก้อนหินนั้นจริงๆ

ท่านคือพระฤๅษีวาสุเทพในอดีตชาติ คุณวันทนา พัวพันธ์สกุล เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อปลายปี ๒๕๔๑ เธอได้รับมอบหมายจากทางเทศบาลเมืองลำพูน ให้เป็นผู้วาดภาพเชิงเสมือนจริงของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งหริภุญชัย ขนาดเท่าองค์จริง เนื่องในวโรกาสที่นครศรีหริภุญชัย ก้าวสู่ศตวรรษที่ ๑๔

เธอจึงเข้ากราบขอความเมตตาจากหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์เพื่อขอคำแนะนำ เริ่มตั้งแต่เขียนแบบเค้าพระพักตร์ คิ้ว ปาก คาง จมูก แม้กระทั่งสี ผิวพรรณ สัดส่วน ลักษณะสีหน้าท่าทางและความสูง ขณะที่พูดถึงความสูงของพระนางฯ หลวงปู่บอกว่า สูง ๓ ศอกเดี้ยม ซึ่งเท่ากับ ๑๖๙ เซนติเมตร เธออดสงสัยไม่ได้ จึงพลั้งปากถามหลวงปู่ว่า

“ครูบาเจ้าทราบได้อย่างไรว่าสูง ๑๖๙ เซนติเมตร”

หลวงปู่ตอบว่า “เจ้าแม่มาบอกเอง”พองานผ่านไปได้ระดับหนึ่ง หลวงปู่ท่านยังได้เมตตาไปตรวจงานถึงที่บ้าน ด้วยความที่เธอยังไม่หมดความสงสัยเพราะเคยได้ยินได้ฟังมานานแล้วว่าหลวงปู่ในอดีตเคยมีความเกี่ยวข้องกับพระนางจามเทวี แต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงกราบขอสุมาเรียนถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ครูบาเจ้า คือ ฤาษีวาสุเทพ หรือสุเทวฤาษีใช่ก่อเจ้า”

หลวงปู่มองหน้าแล้วตอบสั้นๆ ว่า “ฮื่อ”

เธอจึงหายสงสัยว่าทำไมหลวงปู่จึงมีพระรอดสมัยพระนางจามเทวีอยู่ในคำหมากไว้แจกลูกหลานจนเป็นที่อัศจรรย์นัก

พระรอดในกล่องนมเรื่องพระรอดชานหมากมีเรื่องที่ศิษย์จำนวนมากของหลวงพ่อ ประสบกันมามากมายเพียงแต่ต่างวาระโอกาสกันเท่านั้น

เมื่อปี ๒๕๓๕ ครั้งนั้นหลวงพ่อเดินทางไปกราบสังเวชนียสถาน ในขณะที่พวกเรากำลังเดินทางโดยรถโดยสาร ผู้ช่วยทัวร์บริษัทสยามอินทรชัยการท่องเที่ยวซึ่งเป็นผู้นำทัวร์ ได้ถวายนมกล่องแด่หลวงพ่อ ท่านรับไปฉันจนเกือบหมด แล้วจึงคืนกล่องนมให้คุณสุปรีดา

ตอนแรกคุณสุปรีดาคิดในใจว่า อยากจะเก็บไว้ให้ลูกเมื่อกลับถึงเมืองไทย แต่เมื่อคิดดูอีกทีอีกหลายวันเหลือเกินกว่าจะได้กลับ จึงเปลี่ยนใจขอดื่มเสียเองขณะกำลังยกกล่องนม เธอได้ยินเสียงดังเหมือนมีของบางอย่างกลิ้งไปมาอยู่ในกล่องด้วยความอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน เธอจึงใช้มีดผ่ากล่องนมจึงได้พบพระรอดองค์เล็กๆ ๑ องค์อยู่ในนั้นการเดินทางไปอินเดียเที่ยวนี้ ไม่เพียงแต่คุณสุปรีดาเท่านั้นที่โชคดีได้พระรอด

ยังมีอีกหลายคนในคณะที่ได้พระรอด โดยการที่หลวงพ่อยื่นคำหมากที่เคี้ยวออกจากปากส่งให้ศิษย์บางคนที่ยังไม่เคยได้ หรือผู้ที่ยังไม่เชื่อ หากมีวาสนาก็มักจะได้พระรอดเป็นที่อัศจรรย์เสมอ ตลอดการเดินทางในครั้งนั้น มีผู้ได้รับพระรอดจากหลวงพ่อคนละองค์เป็นจำนวนถึง ๑๕ คน ด้วยกันชานหมากกลายเป็นพระรอดประมาณปี ๒๕๓๘ ขณะที่หลวงพ่อเข้ารับการตรวจสุขภาพและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ต้องนอนพักที่ศิริราช เพื่อรอผลการตรวจ

วันนั้นมีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งทราบข่าว และได้เข้าไปเยี่ยม หลังจากกราบนมัสการหลวงพ่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ทุกคนจะกลับ ต่างก็เห็นหลวงพ่อกำลังหยิบชานหมากแห้งๆ มาไว้ในมือเพื่อที่จะแจก ทุกคนที่ไปกราบท่านในวันนั้นต่างก็ดีใจที่จะได้รับแจกชานหมากในขณะที่ท่านกำลังส่งให้ถึงมือแต่ละคนนั้น ยังเป็นเพียงชานหมากธรรมดาเท่านั้น พอตกถึงมือแต่ละคนแล้วชานหมากนั้นกลับกลายเป็นพระรอด เรื่องนี้เป็นเรื่องอจินไตย ใครอยากทราบว่าเป็นจริงอย่างไรไปขอดูของจริงได้ที่ คุณสุรชัย วีระมโนกุล ซึ่งเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้พระรอดดังกล่าวมาไว้ในครอบครอง

เกศากลายเป็นพระธาตุ (โดย สุวรรณา)ศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อท่านหนึ่งซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ครั้งหนึ่งได้นิมนต์หลวงพ่อครูบาชัยวงศ์มาพักที่บ้าน ระหว่างที่เดินทางมาบ้านของเธอ หลวงพ่อได้เมตตามอบหลอดแก้วเล็กๆ ซึ่งบรรจุเส้นเกศาของท่านไว้ มาให้บูชาติดตัว เมื่อเธอได้รับหลอดแก้วบรรจุเส้นเกศาของหลวงพ่อ ก็ได้เก็บไว้เฉยๆ ประมาณ ๔-๕ ปี จึงได้เอาหลอดแก้วนั้นไปเลี่ยมทอง เพื่อใช้ห้อยคอติดตัวเป็นประจำวันหนึ่งได้มีคนรู้จักและสนิทกันมาทักทาย และได้ขอดูหลอดแก้วที่ได้มานั้น เมื่อได้พิจารณาดูสักครู่ ก็ได้ถามว่า หลอดแก้วนี้บรรจุทับทิมเอาไว้ด้วยหรือ เธอรู้สึกแปลกใจที่ถูกถามเช่นนั้น ได้ตอบไปว่าไม่ได้ใส่อะไรเพิ่มเข้าไปเลย ตั้งแต่ได้มา คงมีแต่เส้นเกศาของหลวงพ่อสีเทาขาวบรรจุอยู่เต็มภายในนั้นอย่างเดียว คงยืนกรานเช่นนั้นแต่ทว่า เพื่อนคนนั้นได้ท้วงว่าก็เห็นอยู่นี่ไง จึงได้หยิบมาพิจารณาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วก็ต้องแปลกใจและดีใจเป็นอย่างมาก ที่ได้เห็นว่าภายในหลอดแก้วนั้น นอกจากจะมีเส้นเกศาของหลวงพ่อ แล้วยังมีเม็ดทับทิมเล็กๆ อยู่ภายในนั้นด้วย ต่างคิดว่าคงเป็นเพราะบุญฤทธิ์และความเมตตาของหลวงพ่อเป็นแน่ เส้นเกศาของท่านจึงได้กลายเป็นพระธาตุสีทับทิมเหมือนปาฏิหาริย์ต่อมาอีกระยะหนึ่ง เส้นเกศาที่เหลือของท่านก็ได้เริ่มกลายเป็นเส้นสีทองไปบ้างแล้วอย่างเห็นได้ชัด โอ้หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ศิษย์ท่านนั้นเล่าด้วยความปีติใจ

พระธาตุเสด็จในสำลี (โดย อุบาสิกา จิตสมา)เจ้าของพระธาตุ เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเธอได้มีโอกาสเดินทางไปทำธุระกับหลวงปู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระหว่างทางที่หยุดเติมน้ำมัน หลวงปู่ควักเอาสำลีเปล่าๆ ออกมาเช็ดขี้ตา เช็ดเสร็จแล้วท่านก็ส่งให้เธอ จากนั้นเธอก็ได้เก็บติดตัวมาโดยตลอดเพราะปกติเป็นคนชอบกลัวผี จึงเอาสำลีที่ได้พับเก็บไว้ในผ้ายันต์มาตลอดเป็นเวลานับ ๑๐ ปี

หลังจากหลวงปู่มรณภาพ ได้มีสารวัตรคนหนึ่งซึ่งเคยได้ยินมาว่า เธอมีผ้ายันต์ของหลวงปู่ จึงอยากจะเห็น และได้ขอเธอดู เมื่อเธอเปิดให้ดูก็พบว่ามีพระธาตุจำนวน ๖ องค์อยู่ในสำลี ซึ่งเธอเก็บไว้ในผ้ายันต์ เธอจึงแปลกใจว่าพระธาตุที่ไหนมาอยู่ในสำลีของเธอ ทั้งๆ ที่ตอนแรกที่หลวงปู่ให้มา เป็นเพียงแค่สำลีเปล่าๆ ที่ใช้เช็ดขี้ตาของหลวงปู่ ด้วยบุญบารมีของหลวงปู่แท้ๆ แม้แต่ขี้ตาก็ยังกลายเป็นพระธาตุขึ้นมาได้ และยังมีพระธาตุอื่นๆ เสด็จมารวมอยู่ด้วย

หลวงปู่คือท่านวังหน้าวิเศษชัยชาญในอดีต

สมัยก่อนหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา เวลาหลวงปู่จะเข้ากรุงเทพฯ ท่านมักจะแวะที่บ้านอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ท่านหนึ่ง ทั้งขาไป และขากลับ มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้แวะไปที่บ้านอาจารย์ท่านนั้นอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่อยู่เป็นการส่วนตัว หลวงปู่ได้ปรารภกับอาจารย์ท่านนั้นว่าหลวงปู่จำเขาได้ เพราะว่าเคยเป็นพ่อลูกกันมาหลายชาติแล้วและเขาก็ได้ติดตามหลวงปู่มาโดยตลอด

ในขณะที่หลวงปู่พูด ท่านก็ได้หยิบกระดาษมาวาดรูปบุคคลสำคัญท่านหนึ่งในอดีตซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ของกษัตริย์ไทย ท่านวาดเสร็จก็ยื่นให้อาจารย์ท่านนั้นดูแล้วถามว่าหลวงปู่ถามว่า

“รู้จักไหมว่าใคร”อาจารย์ท่านนั้น “ไม่ทราบครับครูบา”หลวงปู่ตอบว่า “หลวงปู่ในอดีต”อาจารย์ท่านนั้นถามว่า “ใครครับครูบา”หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า “วังหน้าวิชัยชาญ”

เนื้อหาบางส่วนจาก: หนังสือพระชัยวงศานุสสติ

แชร์เลย

Comments

comments

Share: