“ภพชาตินี้ เป็นภพชาติที่โยมได้มาเกิด ได้มารู้ ได้มาเห็น เป็นบุญบารมีของโยมแล้วส่วนหนึ่ง ได้มารู้ธรรมะ ได้มาเห็นการกระทำบุญ มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล โยมก็มีสติปัญญาที่จะทำ และรู้ต่อไปว่าที่ตรงไหน เดี๋ยวจะบอกว่าเป็นการเห็นแก่ตัว ที่ตรงไหนเป็นเนื้อนาบุญ โยมพิจารณาแล้ว โยมทำบุญไป อย่าได้มืออ่อน บอกได้เท่านี้ ชาตินี้โยมทำดีแล้ว มันส่งผลไปไกลเลยโยม ถึงมรรคผลนิพพานได้เลย
จึงขอยกตัวอย่างว่า อาตมาให้สร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ พระมหาเจดีย์สมเด็จฯนี่ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น พูดแล้วพูดอีก วันนี้พูดต่ออีกหน่อยนึง ให้โยมทราบเป็นการตอกย้ำ
ผู้ออกแบบเขาออกแบบเป็นวิหารใหญ่ ๔ วิหาร มี ๔ มุก มีวิหารเล็กอีก ๔ วิหาร ก็เป็น ๔ มุกรอง รวมเป็น ๘ มุก แล้วก็มีชั้นต่างๆ ๔ ชั้น ก่อนจะถึงรูปร่างลักษณะพระมหาเจดีย์ นี่มีชั้นต่างๆ ๔ ชั้น
ชั้นที่ ๑
เบื้องล่างเอาไว้บำเพ็ญกุศล
ชั้นที่ ๒
เอาไว้ประชุม ศึกษาสัมมาปฏิบัติ
ชั้นที่ ๓
เอาไว้ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญ และตัวอย่างการปฏิบัติธรรมของบูรพาจารย์ที่สำคัญ นี่ก็เป็นตัวอย่างในการศึกษาสัมมาปฏิบัติ
ชั้นที่ ๔
เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ แล้วก็ต่อยอดลงไปสูงถึง ๑๐๘ เมตร
อาคารทั้งหมดนี้ มีลักษณะเป็น”วิหารทาน” ให้พุทธบริษัทสามารถมาจากทุกทิศ ไม่ใช่สี่ทิศล่ะ แปดทิศเลย หรือจะสิบหกทิศก็ได้ มาอยู่ศึกษาและปฏิบัติธรรมได้
ทีนี้..วิหารทานนี้
พระมหาโมคคัลลานะ ท่านชอบท่องเที่ยวไปในเทวโลก ไปเห็นวิมานของเทวดา เอ๊ะ!! เจ้าของไม่อยู่ แต่ว่ามีนางอัปสรอยู่เยอะเลย
นางอัปสรนี่สวยแค่ไหน พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเทียบว่า นางงามของโลกหรือของประเทศนี่ ถ้าจะเปรียบเทียบกับนางอัปสรแล้ว เหมือนนางลิงรุ่น แหมนี่ อาตมาจำมาจนบัดนี้ นางลิงรุ่นเป็นอย่างไร ลิงหางกุด หูกุด จมูกแหว่ง นั่นแหละเรียกว่านางลิงรุ่น แล้วก็นั่งจับเจ่าอยู่บนหัวตอ นี่..ทรงเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นความงามของเทพยดาหรือนางอัปสร เรียกว่าในเมืองมนุษย์สวยเท่าไหร่มันเทียบกันไม่ได้ แต่ก็ยังติดอยู่ในกาม
แต่เอาล่ะ ว่านี้คือบริวารที่จะมาอยู่ร่วมกับผู้บำเพ็ญวิหารทาน เป็นมานพฟังธรรมของพระพุทธเจ้า มีจิตศรัทธาเลยสร้างวิหารขึ้นหลังหนึ่ง หรือกี่หลังก็จำไม่ได้ละ แล้วก็ให้พุทธบริษัทสามารถมาอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมได้ มาจากทุกทิศได้ อานิสงส์นี้ วิมานเกิดแล้ว พร้อมด้วยนางอัปสรรออยู่
พระมหาโมคคัลลานะเข้าไปเห็นวิมานลอยอยู่ ก็เข้าไปถาม โยมวิหารนี้ของใคร ทำไมไม่มีเจ้าของ มีแต่โยมอยู่ นางอัปสรก็ออกมาถวายความเคารพ หรือกราบไหว้ไปตามประสาเทวดาของเขา บอกว่า ดิฉันก็เป็นนางอัปสรมารออยู่ รอรับใช้เทพบุตรที่จะเสด็จอุบัติขึ้นที่นี่ ก็เลยบอกชื่อมานพ ว่าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย
พระมหาโมคคัลลานะ พอได้ความก็เหาะลิ่วเลย เพียงชั่วคู้แขนถึงแล้ว ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนทำบุญในโลกมนุษย์นี่ ทำบุญแล้วยังไม่ตายนี่ มีวิมานอยู่ในชั้นดาวดึงส์หรือในชั้นเทวโลกด้วยหรือพระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าบอก โมคคัลลานะก็เธอเห็นมาแล้วมิใช่หรือ นี่..พระพุทธองค์ทรงทราบ ก็เลยบอกเธอเห็นมาแล้วไม่ใช่หรือ มาถามตถาคตทำไม นี่คือความจริงในคัมภีร์
และถ้าใครปฏิบัติได้ถึงธรรมกาย จะรู้เห็นวิมานของตน อยู่ชั้นไหนก็ตาม ชั้นนั้นแหละ ตายไปแล้วก็ชั้นนั้นแหละ แต่ถ้าทำไม่ดีวิมานหาย ทำไม่ดีวิมานที่เคยมีหาย ไปไหนเล่า เตรียมไปทุคคติ หรืออยู่ในมนุษยโลก ก็แล้วแต่
เพราะฉะนั้น บุญนี่..เราทำไปเถอะ ผลบุญเขารอให้ผลเราอยู่ อย่าได้ลังเล อย่าได้มืออ่อน ยิ่งบรรดาท่านที่มีอายุ ไม่รู้ละล่วงหกสิบไปแล้ว อ้าว! ห้าสิบขึ้นไปแล้ว ให้มีสำนึกตรงนี้นะ จริงๆควรมีสำนึกทุกอายุ ความตายมาเยือนใครเมื่อไหร่ก็ได้ บางทีคนแก่ก็หนังเหนียวไม่ตายสักที ไอ้คนหนุ่มนึกว่าจะอยู่ไปได้อีกนาน ที่ไหนได้ล่ะ พอไม่กี่วันไม่กี่เดือนไม่กี่ปีตายจ้อยเลย ดังนี้เป็นต้น ยังไม่ทันรู้ตัวก็ตายไปแล้วก็มี หรือรู้ตัวก็ตายก็มี แล้วไม่ได้ทำบุญน่ะ แถมยังคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี เป็นบาปอกุศลอีก
พระพุทธเจ้าตรัสนะ
“จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา”
เมื่อจิตเศร้าหมองแล้วทุคคติเป็นอันหวังได้
มันมีอยู่ในจิตสันดานเลย ตายไปปุ๊บไปเกิดอย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้น โยมอย่าประมาทนะ อะไรเราทำได้ เราจงทำด้วยสติปัญญา ก่อนที่จะทำก็ให้มีจิตศรัทธา รู้ด้วยปัญญาว่านี้เป็นเนื้อนาบุญ และไปทำบุญเพื่ออะไร ขณะทำก็ให้มีจิตศรัทธาด้วยปัญญาอันเห็นชอบ ทำแล้วก็อิ่มใจในบุญ
เพราะฉะนั้น
คนทำบุญด้วยอาการ ๓ อย่างนี้ หน้าตาจะอิ่มเอิบ สบายอกสบายใจ ยกเว้นว่าจะเป็นหวัดคัดจมูก เป็นไข้อะไรประมาณนั้น นั่นอีกเรื่องนึง แต่ว่าปกติก็จะหน้าตาผ่องใส คนผิวดำก็ผิวดำนวลๆผ่องใส มันออกมาจากความใสบริสุทธิ์ของดวงบุญบารมีนะ เจริญพรให้โยมทราบ
และเจริญพรไปอีกนิดหนึ่งว่า วิหารทานที่กล่าวมานี้ ให้จำไว้ว่า ใครทำบุญวิหารทาน ได้อานิสงส์ยิ่งกว่าถวายภัตตาหารอิมหนึ่ง แก่พระพุทธเจ้าแวดล้อมด้วยพระสาวกอีก เรียกว่าได้บุญมากแล้ว นี่..วิหารทานยังบุญยิ่งกว่านั้น สรุปไว้ตรงนี้ก่อนแค่นี้
เท่านั้นยังไม่พอ
เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ วันนี้ต้องกล่าว ไม่กล้าไปกล่าวที่ไหนมาก กล่าวตรงนี้ว่า สมเด็จพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ทั้งของพระสมณโคดมและของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ เป็นชิ้นส่วนขนาดเท่าเล็บมือก็มี เล็กกว่านั้นก็มี ไปถึงของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆที่สำเร็จด้วยพุทธานุภาพ นำมาโดยตั้งแต่พรหมสุทธาวาส ลงมาถึงพรมธรรมดา แต่ส่วนมากก็เป็นพรหมสุทธาวาสซะโดยมาก และก็เทพยดาในชั้นต่างๆที่ครอบครองพระบรมสารีริกธาตุส่วนใดส่วนหนึ่งเอาไว้ เผอิญว่า ท่านประทานมาที่วัดหลวงพ่อสด ให้เป็นที่บำเพ็ญบุญของญาติโยมสาธุชน ก็บอกต่อๆกระซิบกันก็ได้ ทั่วประเทศ ทั่วโลก เพราะเป็นบุญใหญ่กุศลใหญ่
เพราะฉะนั้น
พระมหาเจดีย์ที่สร้างนี้ พยายามจะให้อยู่จนสิ้นอายุพระศาสนาพระสมณโคดม เรานี่ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด กี่ภพกี่ชาติ ในแต่ละภพละชาติ ที่เราทำบุญชาตินี้โดยความเป็นวิหารทานก็บุญมหาศาลแล้ว เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุน่ะสูงไปยิ่งกว่า สูงอีกเพราะอะไร เพราะผู้มาบำเพ็ญบุญกุศล มาเคารพกราบไหว้นั้น ต้องกลับไปคิด ไปพูด ไปทำ ที่เป็นบุญเป็นกุศลดังกล่าวแล้ว ตัวเราเองก็ยกภูมิจิตให้สูงขึ้น ตายไปก็ไปสุคติภพ และเมื่อภูมิจิตสูงขึ้น มันก็บุญต่อบุญยิ่งๆไป ก็เลยไม่รู้จักตกต่ำ
แม้บาปอกุศลที่เคยทำมาแล้ว ที่หนักก็จะเป็นเบา ที่เบาก็จะหายไปเลย ไม่ได้หายไปไหน ตามไม่ทัน จนถึงบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ หรือพระอรหันตปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กลายเป็นอโหสิกรรมไปในภพชาตินั้น
นี่..ที่กล่าวนี้เป็นบุญใหญ่กุศลใหญ่ ให้ญาติโยมทราบว่า ถ้าโยมได้ปฏิบัติธรรม ได้เรียนรู้หลักธรรม และปฏิบัติไปแล้วถึงปฏิเวธ คือเห็นแจ้งแทงตลอด หรือเห็นแจ้งทั่วถึง คือเข้าใจทั่วถึง แล้วจะเข้าใจเรื่องนี้อย่างดีว่า วัดเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้อยู่
ใครมาบำเพ็ญกุศลสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯเป็นมหากุศล มีในคัมภีร์ว่า ผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ที่ได้เคยสร้าง-ซ่อมพระมหาเจดีย์อย่างนี้มาแล้วนั้น ท่านบอกว่า ต่อแต่นั้นท่านไม่รู้จักทุคคติภูมิเลย ชอบใจไหม ไม่รู้จักทุคคติภูมิเลยนี่ชอบใจไหม เพราะการจะไปทุคติภูมินี่ คิดไม่ดีหน่อยเดียว พูดไม่ดีหน่อยเดียว มันจะไปอยู่แล้ว
แต่ว่า..สติปัญญานี่มันจะเกิดขึ้นด้วยบุญบารมี คิดแต่เรื่องดีๆ พูดแต่คำพูดที่ดีๆ ทำแต่กรรมที่ดีๆ เพราะฉะนั้นก็ดีไปเรื่อยๆ จนบุญนำหน้าบาป ท่านจำไว้บุญนำหน้าบาป
เพราะฉะนั้น
บรรดาพระอรหันต์บุคคล หรือพระพุทธเจ้า ที่เคยทำบุญมาอย่างนี้ได้เล่าให้ฟังแล้วว่า ไม่รู้จักทุคติเลย แล้วในภพชาติต่อๆไปนี่มีแต่เจริญรุ่งเรือง ไม่มีเสื่อม
เพราะฉะนั้น
ผู้ที่รู้บุญนี้ เขาจึงทุ่มเทกำลังกาย สติปัญญา ความสามารถ และกำลังทรัพย์ มาทำบุญ ด้วยบุญบารมีของเขาเองที่มันแก่กล้าขึ้นเป็นลำดับ
เรายังทำได้เท่าเขา หรือไม่เท่าเขา ก็อนุโมทนาบุญซึ่งกันและกัน ก็เป็นบุญต่อบุญ ไม่มีบาปเลย เพราะฉะนั้น ใครทำดีในวัดนี้ พวกเราช่วยอนุโมทนา อย่าไปขัดข้อง ถ้าไปขัดข้องเหมือนกับเราแอ่นอกไปสู่ทางปืน ท่านจำไว้นะ อาตมาบอกไว้ เดี๋ยวจะว่าไม่บอก เพราะฉะนั้น อันนี้ก็เจริญพรเพื่อทราบ”
หลวงป๋า
ผู้ออกแบบเขาออกแบบเป็นวิหารใหญ่ ๔ วิหาร มี ๔ มุก มีวิหารเล็กอีก ๔ วิหาร ก็เป็น ๔ มุกรอง รวมเป็น ๘ มุก แล้วก็มีชั้นต่างๆ ๔ ชั้น ก่อนจะถึงรูปร่างลักษณะพระมหาเจดีย์ นี่มีชั้นต่างๆ ๔ ชั้น
ชั้นที่ ๑
เบื้องล่างเอาไว้บำเพ็ญกุศล
ชั้นที่ ๒
เอาไว้ประชุม ศึกษาสัมมาปฏิบัติ
ชั้นที่ ๓
เอาไว้ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญ และตัวอย่างการปฏิบัติธรรมของบูรพาจารย์ที่สำคัญ นี่ก็เป็นตัวอย่างในการศึกษาสัมมาปฏิบัติ
ชั้นที่ ๔
เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ แล้วก็ต่อยอดลงไปสูงถึง ๑๐๘ เมตร
อาคารทั้งหมดนี้ มีลักษณะเป็น”วิหารทาน” ให้พุทธบริษัทสามารถมาจากทุกทิศ ไม่ใช่สี่ทิศล่ะ แปดทิศเลย หรือจะสิบหกทิศก็ได้ มาอยู่ศึกษาและปฏิบัติธรรมได้
ทีนี้..วิหารทานนี้
พระมหาโมคคัลลานะ ท่านชอบท่องเที่ยวไปในเทวโลก ไปเห็นวิมานของเทวดา เอ๊ะ!! เจ้าของไม่อยู่ แต่ว่ามีนางอัปสรอยู่เยอะเลย
นางอัปสรนี่สวยแค่ไหน พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเทียบว่า นางงามของโลกหรือของประเทศนี่ ถ้าจะเปรียบเทียบกับนางอัปสรแล้ว เหมือนนางลิงรุ่น แหมนี่ อาตมาจำมาจนบัดนี้ นางลิงรุ่นเป็นอย่างไร ลิงหางกุด หูกุด จมูกแหว่ง นั่นแหละเรียกว่านางลิงรุ่น แล้วก็นั่งจับเจ่าอยู่บนหัวตอ นี่..ทรงเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นความงามของเทพยดาหรือนางอัปสร เรียกว่าในเมืองมนุษย์สวยเท่าไหร่มันเทียบกันไม่ได้ แต่ก็ยังติดอยู่ในกาม
แต่เอาล่ะ ว่านี้คือบริวารที่จะมาอยู่ร่วมกับผู้บำเพ็ญวิหารทาน เป็นมานพฟังธรรมของพระพุทธเจ้า มีจิตศรัทธาเลยสร้างวิหารขึ้นหลังหนึ่ง หรือกี่หลังก็จำไม่ได้ละ แล้วก็ให้พุทธบริษัทสามารถมาอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมได้ มาจากทุกทิศได้ อานิสงส์นี้ วิมานเกิดแล้ว พร้อมด้วยนางอัปสรรออยู่
พระมหาโมคคัลลานะเข้าไปเห็นวิมานลอยอยู่ ก็เข้าไปถาม โยมวิหารนี้ของใคร ทำไมไม่มีเจ้าของ มีแต่โยมอยู่ นางอัปสรก็ออกมาถวายความเคารพ หรือกราบไหว้ไปตามประสาเทวดาของเขา บอกว่า ดิฉันก็เป็นนางอัปสรมารออยู่ รอรับใช้เทพบุตรที่จะเสด็จอุบัติขึ้นที่นี่ ก็เลยบอกชื่อมานพ ว่าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย
พระมหาโมคคัลลานะ พอได้ความก็เหาะลิ่วเลย เพียงชั่วคู้แขนถึงแล้ว ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนทำบุญในโลกมนุษย์นี่ ทำบุญแล้วยังไม่ตายนี่ มีวิมานอยู่ในชั้นดาวดึงส์หรือในชั้นเทวโลกด้วยหรือพระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าบอก โมคคัลลานะก็เธอเห็นมาแล้วมิใช่หรือ นี่..พระพุทธองค์ทรงทราบ ก็เลยบอกเธอเห็นมาแล้วไม่ใช่หรือ มาถามตถาคตทำไม นี่คือความจริงในคัมภีร์
และถ้าใครปฏิบัติได้ถึงธรรมกาย จะรู้เห็นวิมานของตน อยู่ชั้นไหนก็ตาม ชั้นนั้นแหละ ตายไปแล้วก็ชั้นนั้นแหละ แต่ถ้าทำไม่ดีวิมานหาย ทำไม่ดีวิมานที่เคยมีหาย ไปไหนเล่า เตรียมไปทุคคติ หรืออยู่ในมนุษยโลก ก็แล้วแต่
เพราะฉะนั้น บุญนี่..เราทำไปเถอะ ผลบุญเขารอให้ผลเราอยู่ อย่าได้ลังเล อย่าได้มืออ่อน ยิ่งบรรดาท่านที่มีอายุ ไม่รู้ละล่วงหกสิบไปแล้ว อ้าว! ห้าสิบขึ้นไปแล้ว ให้มีสำนึกตรงนี้นะ จริงๆควรมีสำนึกทุกอายุ ความตายมาเยือนใครเมื่อไหร่ก็ได้ บางทีคนแก่ก็หนังเหนียวไม่ตายสักที ไอ้คนหนุ่มนึกว่าจะอยู่ไปได้อีกนาน ที่ไหนได้ล่ะ พอไม่กี่วันไม่กี่เดือนไม่กี่ปีตายจ้อยเลย ดังนี้เป็นต้น ยังไม่ทันรู้ตัวก็ตายไปแล้วก็มี หรือรู้ตัวก็ตายก็มี แล้วไม่ได้ทำบุญน่ะ แถมยังคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี เป็นบาปอกุศลอีก
พระพุทธเจ้าตรัสนะ
“จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา”
เมื่อจิตเศร้าหมองแล้วทุคคติเป็นอันหวังได้
มันมีอยู่ในจิตสันดานเลย ตายไปปุ๊บไปเกิดอย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้น โยมอย่าประมาทนะ อะไรเราทำได้ เราจงทำด้วยสติปัญญา ก่อนที่จะทำก็ให้มีจิตศรัทธา รู้ด้วยปัญญาว่านี้เป็นเนื้อนาบุญ และไปทำบุญเพื่ออะไร ขณะทำก็ให้มีจิตศรัทธาด้วยปัญญาอันเห็นชอบ ทำแล้วก็อิ่มใจในบุญ
เพราะฉะนั้น
คนทำบุญด้วยอาการ ๓ อย่างนี้ หน้าตาจะอิ่มเอิบ สบายอกสบายใจ ยกเว้นว่าจะเป็นหวัดคัดจมูก เป็นไข้อะไรประมาณนั้น นั่นอีกเรื่องนึง แต่ว่าปกติก็จะหน้าตาผ่องใส คนผิวดำก็ผิวดำนวลๆผ่องใส มันออกมาจากความใสบริสุทธิ์ของดวงบุญบารมีนะ เจริญพรให้โยมทราบ
และเจริญพรไปอีกนิดหนึ่งว่า วิหารทานที่กล่าวมานี้ ให้จำไว้ว่า ใครทำบุญวิหารทาน ได้อานิสงส์ยิ่งกว่าถวายภัตตาหารอิมหนึ่ง แก่พระพุทธเจ้าแวดล้อมด้วยพระสาวกอีก เรียกว่าได้บุญมากแล้ว นี่..วิหารทานยังบุญยิ่งกว่านั้น สรุปไว้ตรงนี้ก่อนแค่นี้
เท่านั้นยังไม่พอ
เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ วันนี้ต้องกล่าว ไม่กล้าไปกล่าวที่ไหนมาก กล่าวตรงนี้ว่า สมเด็จพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ทั้งของพระสมณโคดมและของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ เป็นชิ้นส่วนขนาดเท่าเล็บมือก็มี เล็กกว่านั้นก็มี ไปถึงของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆที่สำเร็จด้วยพุทธานุภาพ นำมาโดยตั้งแต่พรหมสุทธาวาส ลงมาถึงพรมธรรมดา แต่ส่วนมากก็เป็นพรหมสุทธาวาสซะโดยมาก และก็เทพยดาในชั้นต่างๆที่ครอบครองพระบรมสารีริกธาตุส่วนใดส่วนหนึ่งเอาไว้ เผอิญว่า ท่านประทานมาที่วัดหลวงพ่อสด ให้เป็นที่บำเพ็ญบุญของญาติโยมสาธุชน ก็บอกต่อๆกระซิบกันก็ได้ ทั่วประเทศ ทั่วโลก เพราะเป็นบุญใหญ่กุศลใหญ่
เพราะฉะนั้น
พระมหาเจดีย์ที่สร้างนี้ พยายามจะให้อยู่จนสิ้นอายุพระศาสนาพระสมณโคดม เรานี่ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด กี่ภพกี่ชาติ ในแต่ละภพละชาติ ที่เราทำบุญชาตินี้โดยความเป็นวิหารทานก็บุญมหาศาลแล้ว เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุน่ะสูงไปยิ่งกว่า สูงอีกเพราะอะไร เพราะผู้มาบำเพ็ญบุญกุศล มาเคารพกราบไหว้นั้น ต้องกลับไปคิด ไปพูด ไปทำ ที่เป็นบุญเป็นกุศลดังกล่าวแล้ว ตัวเราเองก็ยกภูมิจิตให้สูงขึ้น ตายไปก็ไปสุคติภพ และเมื่อภูมิจิตสูงขึ้น มันก็บุญต่อบุญยิ่งๆไป ก็เลยไม่รู้จักตกต่ำ
แม้บาปอกุศลที่เคยทำมาแล้ว ที่หนักก็จะเป็นเบา ที่เบาก็จะหายไปเลย ไม่ได้หายไปไหน ตามไม่ทัน จนถึงบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ หรือพระอรหันตปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กลายเป็นอโหสิกรรมไปในภพชาตินั้น
นี่..ที่กล่าวนี้เป็นบุญใหญ่กุศลใหญ่ ให้ญาติโยมทราบว่า ถ้าโยมได้ปฏิบัติธรรม ได้เรียนรู้หลักธรรม และปฏิบัติไปแล้วถึงปฏิเวธ คือเห็นแจ้งแทงตลอด หรือเห็นแจ้งทั่วถึง คือเข้าใจทั่วถึง แล้วจะเข้าใจเรื่องนี้อย่างดีว่า วัดเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้อยู่
ใครมาบำเพ็ญกุศลสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯเป็นมหากุศล มีในคัมภีร์ว่า ผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ที่ได้เคยสร้าง-ซ่อมพระมหาเจดีย์อย่างนี้มาแล้วนั้น ท่านบอกว่า ต่อแต่นั้นท่านไม่รู้จักทุคคติภูมิเลย ชอบใจไหม ไม่รู้จักทุคคติภูมิเลยนี่ชอบใจไหม เพราะการจะไปทุคติภูมินี่ คิดไม่ดีหน่อยเดียว พูดไม่ดีหน่อยเดียว มันจะไปอยู่แล้ว
แต่ว่า..สติปัญญานี่มันจะเกิดขึ้นด้วยบุญบารมี คิดแต่เรื่องดีๆ พูดแต่คำพูดที่ดีๆ ทำแต่กรรมที่ดีๆ เพราะฉะนั้นก็ดีไปเรื่อยๆ จนบุญนำหน้าบาป ท่านจำไว้บุญนำหน้าบาป
เพราะฉะนั้น
บรรดาพระอรหันต์บุคคล หรือพระพุทธเจ้า ที่เคยทำบุญมาอย่างนี้ได้เล่าให้ฟังแล้วว่า ไม่รู้จักทุคติเลย แล้วในภพชาติต่อๆไปนี่มีแต่เจริญรุ่งเรือง ไม่มีเสื่อม
เพราะฉะนั้น
ผู้ที่รู้บุญนี้ เขาจึงทุ่มเทกำลังกาย สติปัญญา ความสามารถ และกำลังทรัพย์ มาทำบุญ ด้วยบุญบารมีของเขาเองที่มันแก่กล้าขึ้นเป็นลำดับ
เรายังทำได้เท่าเขา หรือไม่เท่าเขา ก็อนุโมทนาบุญซึ่งกันและกัน ก็เป็นบุญต่อบุญ ไม่มีบาปเลย เพราะฉะนั้น ใครทำดีในวัดนี้ พวกเราช่วยอนุโมทนา อย่าไปขัดข้อง ถ้าไปขัดข้องเหมือนกับเราแอ่นอกไปสู่ทางปืน ท่านจำไว้นะ อาตมาบอกไว้ เดี๋ยวจะว่าไม่บอก เพราะฉะนั้น อันนี้ก็เจริญพรเพื่อทราบ”
หลวงป๋า