อวิชชา เป็นมูลรากฝ่ายเกิด หรือที่เรียกว่าสมุทัย
“… สมุทัย นั้น แปลความเป็นสยามภาษาว่า อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ,
วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป,
นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ๖,
อายตนะ ๖ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ,
ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา,
เวทนาเป็น ปัจจัยให้เกิดตัณหา,
ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน,
อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ,
ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ,
ชาติเป็นปัจจัยให้มีความแก่ ความตาย และความเศร้าโศกต่าง ๆ
สิ่งเหล่านี้จะดับได้ก็เพราะชาติดับ,
ชาติดับได้ก็เพราะภพดับ,
ภพจะดับได้ก็เพราะอุปาทานดับ,
อุปาทานจะดับได้เพราะตัณหาดับ,
ตัณหาจะดับได้ก็เพราะเวทนาดับ,
เวทนาจะดับได้เพราะผัสสะดับ,
ผัสสะจะดับได้ก็ต่อเมื่ออายตนะดับ,
อายตนะจะดับได้ต่อเมื่อนามรูปดับ,
นามรูปจะดับได้ต่อเมื่อวิญญาณดับ,
วิญญาณจะดับได้ต่อเมื่อสังขารดับ,
สังขารจะดับลงก็เพราะอวิชชาดับ,
เหตุผลเกิดดับเกี่ยวข้องกันเป็นลูกโซ่เช่นนี้ เรียกว่า ปัจจยาการ ที่พระองค์ได้รู้แจ้งแทงตลอดในวันตรัสรู้นั้นทั้งสิ้น พิจารณาตามลำดับดังที่ยกขึ้นกล่าวมาข้างต้น เมื่อย่นให้ได้ความเข้าใจ อันจะเป็นผลในทางปฏิบัติแล้ว ก็มีตัวสำคัญอันเดียว คือ อวิชชา เป็นมูลรากฝ่ายเกิด หรือที่เรียกว่าสมุทัย และในทางดับ หรือที่เรียกว่า นิโรธ ก็ทำนองเดียวกัน อวิชชาเท่านั้นเป็นตัวการสำคัญ ถ้าดับอวิชชาได้อย่างเดียว อื่น ๆ ดับเรียบหมด เพราะอวิชชาเหมือนต้นไฟ แต่ถ้ายังดับอวิชชาไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีหวังว่าอย่างอื่นจะดับได้ ที่หมายสำคัญในคำสอนของพระองค์จึงอยู่ที่ว่า ให้ผู้ปฏิบัติเพียรหาทางกำจัดอวิชชาเสีย จึงจะพ้นจากห้วงลึก คือวัฏฏสงสารได้ …”
คัดลอกบางส่วนจาก
พระธรรมเทศนา เรื่อง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
เทศน์เมื่อ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๘ – ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘
โดยพระเดชพระคุณ #พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)